ตอนที่ 73 ออกจากภูเขา

ลำนำสตรียอดเซียน

เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ฝึกตนที่ติดขัดอยู่ที่คอขวดที่ต้องออกเดินทางท่องเที่ยว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายคนซึ่งฝึกตนจนถึงขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณแต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะสร้างฐานแห่งพลังมักจะเลือกที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ดังนั้น เมื่อโม่เทียนเกอกลับมาและรายงานต่อโถงคนงาน นางก็ได้รับอนุญาตทันที

 

 

การท่องเที่ยวไปทั่วนี้ไม่ได้หมายถึงการเที่ยวชมนกชมไม้แต่อย่างใด การท่องเที่ยวนั้นความจริงแล้วคือการทำเพื่อตามหาชะตาลิขิต

 

 

ชะตาลิขิตนับได้ว่ามีอิทธิพลเหนือกว่าพื้นฐานต้นทุนทางธรรมชาติของผู้ฝึกตนมากนัก ตัวอย่างเช่น เมื่อหลายพันปีก่อนมีผู้ฝึกตนที่ด้อยทางด้านต้นทุนทางธรรมชาติได้พบกับชะตาลิขิตที่ยิ่งใหญ่ เขาสามารถฝึกตนจนเข้าถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์พิเศษ และท่องเที่ยวไปทั่วคุนอู๋

 

 

แน่นอนว่าชะตาลิขิตนั้นยากที่จะพบเจอ ชะตาลิขิตแบบนี้อาจจะปรากฏขึ้นได้หนึ่งครั้งในรอบหลายปี อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ฝึกตนส่วนมาก การที่ได้รับพืชวิญญาณเล็กน้อยและวัตถุวิญญาณต่างๆ หรือได้รับความรู้แจ้งเห็นจริงและบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนนั้นก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้ยึดถือกับความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ด้วยต้นทุนทางธรรมชาติของนาง ถ้านางหวังพึ่งแต่ชะตาลิขิตแต่ไม่อาจครอบครองมันได้ นางคงไม่สามารถเข้าถึงระดับดินแดนต่างๆ ถึงแม้ว่านางจะมีอายุขัยถึงแปดร้อยปีก็ตาม

 

 

อีกอย่างสถานการณ์ของนางในตอนนี้ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือการมีจิตใจที่ไม่มั่นคง ไม่ใช่ติดขัดอยู่บริเวณคอขวดอย่างที่กล่าว เพราะนางรู้สึกถึงความกดดันของช่วงเวลาในขณะที่ความสามารถทางธรรมชาติของนางยังด้อย นางรู้สึกไร้ซึ่งความหวังที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง ส่งผลให้นางไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้

 

 

หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน โม่เทียนเกอก็คิดว่านางน่าจะไปพบกลุ่มผู้ฝึกตนดีๆ บางกลุ่มและพูดคุยกับศิษย์ของพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นางอายุยังน้อยและนางก็ได้ครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลังมาแล้ว นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงอะไรไปกับการตามหาชะตาลิขิต

 

 

ด้วยการตัดสินใจเช่นนั้นอยู่ภายในใจตัวเอง นางมุ่งตรงไปหาท่านอารองเพื่อกล่าวลาและออกจากเขาอวิ๋นอู้ไป

 

 

นี่เป็นครั้งแรกของนางที่จะต้องเดินทางไกลคนเดียว ตั้งแต่ที่นางมาถึงเขาคุนอู๋ นางไม่เคยทิ้งท่านอารองเพื่อออกเดินทางคนเดียว อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่เด็กน้อยจากเมื่อหลายปีก่อนตอนที่มาเขาคุนอู๋ครั้งแรก นางได้เห็นและผ่านอะไรมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนที่นางเผชิญ นางก็มั่นใจว่านางจะสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม

 

 

เขาอวิ๋นอู้ตั้งอยู่อย่างสันโดษทางมุมทิศตะวันออกของคุนอู๋ ก่อนที่จะถูกยึดครอง มีเพียงสำนักจื่อซย่าและโรงเรียนจินเตาที่อยู่ใกล้เคียง นอกเหนือไปจากสองที่นี้ กลุ่มผู้ฝึกตนที่ใกล้ที่สุดก็ยังห่างไปมากกว่าพันไมล์และไม่นับรวมถึงกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ สถานที่ที่อยู่ใกล้เขาอวิ๋นอู้มากที่สุดนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นอารามของผู้นำของเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือสำนักเทียนเต้าเส้นทางแห่งความชอบธรรม

 

 

เจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ของคุนอู๋คือ สำนักเทียนเต้า โรงเรียนเสวียนชิง สำนักกู่เจี้ยน สำนักปี้อวิ๋น โรงเรียนเจิ้งฝ่า สำนักหลิงโซ่ว และโรงเรียนตานติ่ง

 

 

ระหว่างกลุ่มพวกนั้น สำนักหลิงโซ่วและโรงเรียนตานติ่งเชี่ยวชาญในการควบคุมสัตว์ร้ายให้เชื่องและปรุงยา ทั้งสองไม่ใช่กลุ่มใหญ่ จำนวนลูกศิษย์ที่พวกเขามีมากกว่ากลุ่มผู้ฝึกตนขนาดกลางเพียงเล็กน้อย แต่เพราะวิธีเฉพาะตัวในการคุมสัตว์ร้ายให้เชื่องและการปรุงยาของพวกเขานั้นค่อนข้างเยี่ยมยอด ทำให้พละกำลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่ากลุ่มผู้ฝึกตนขนาดกลาง และเพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงถูกรวมเข้าอยู่ในเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่

 

 

กลุ่มที่แข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อยคือสำนักปี้อวิ๋นและโรงเรียนเจิ้งฝ่า โรงเรียนเจิ้งฝ่าเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ดังนั้นศิษย์ส่วนมากจะส่วมชุดคลุมของลัทธิเต๋า สำนักปี้อวิ๋นเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเฉพาะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ศิษย์ทุกคนที่รับเข้าสำนักล้วนหน้าตาดีทั้งนั้น นอกจากนี้ พวกเขามีลูกศิษย์ผู้หญิงเยอะ ดังนั้นจึงเกิดคู่ครองแห่งเต๋าหลายคู่ซึ่งมีการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กันในสำนักนี้

 

 

ถัดจากพวกเขาคือสำนักกู่เจี้ยนและโรงเรียนเสวียนชิง

 

 

สำนักกู่เจี้ยนเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญทางด้านวิชาฝึกตนสายกระบี่ วิชาฝึกตนสายกระบี่ดังกล่าวหมายถึงผู้ฝึกตนจะฝึกด้วยการใช้กระบี่เล่มเดียวเท่านั้นตลอดชีวิตและพวกเขาจะผสานพลังศักดิ์สิทธิ์ลงในกระบี่ของเขา

 

 

พละกำลังในการต่อสู้ทางด้านพลังเวทของผู้ฝึกตนสายกระบี่นั้นจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปเล็กน้อย แต่จะยากสำหรับพวกเขาที่จะบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนถัดไป เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจำนวนของผู้ฝึกตนระดับสูงที่สำนักกู่เจี้ยนมีจะเทียบเท่าได้กับโรงเรียนเจิ้งฝ่าและสำนักปี้อวิ๋น แต่พละกำลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าอีกสองกลุ่มเล็กน้อย และมักจะถูกพิจารณาให้เกือบเทียบเท่ากับโรงเรียนเสวียนชิง

 

 

พละกำลังของโรงเรียนเสวียนชิงเป็นรองเพียงแค่สำนักเทียนเต้าเท่านั้น เช่นเดียวกันกับโรงเรียนเจิ้งฝ่า โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋าเช่นกัน

 

 

สำนักเทียนเต้าตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคุนอู๋และขนานกันไป ถูกแยกออกจากกันเพียงแค่เขากั้นซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายอธรรมเติบโต สำนักนั้นถูกจัดว่าเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะในคุนอู๋มาเป็นระยะเวลานานกว่าพันปี สำนักเทียนเต้านั้นแตกต่างจากกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มอื่น มันมีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่ได้มีลักษณะอะไรที่พิเศษ ไม่ได้มีทั้งวิชาการฝึกตนพิเศษของสำนัก หรือกำหนดความต้องการว่าลูกศิษย์ต้องฝึกตนด้วยอะไร ตราบใดที่ศิษย์ของพวกเขาไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของสำนัก ไม่ว่าจะวิธีที่คดโกงหรือแปลกประหลาดล้วนได้รับอนุญาตทั้งสิ้น แม้กระทั่งฝึกเพื่อเข้าถึงฝ่ายอธรรมก็ไม่มีปัญหา

 

 

ความน่าเกรงขามของสำนักเทียนเต้านั้นมาจากรูปแบบการจัดการที่เปิดกว้าง และยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างนี้เอง ศิษย์สำนักเทียนเต้าทั่วๆ ไปจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะฝึกตนด้วยวิชาใด ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนหลายคนที่มีความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษในสำนักนี้

 

 

สาเหตุที่โม่เทียนเกอต้องการจะไปที่สำนักเทียนเต้าเพราะสำนักเทียนเต้าเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะและศิษย์ของพวกเขาก็ศึกษากันอย่างหลากหลาย นางสามารถเพิ่มพูนความรู้ได้โดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น ไม่มีคนที่มีความชอบธรรมอย่างจริงแท้ในโลกแห่งการฝึกตน กระนั้นก็ตาม คนแห่งฝ่ายธรรมะส่วนมากมักจะไม่ต้องการให้เกิดสงคราม ดังนั้นจึงจะปลอดภัยกับนางมากกว่าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์แห่งฝ่ายธรรมะ

 

 

ไม่นานนักหลังจากออกจากเขาอวิ๋นอู้ โม่เทียนเกอหยุดและมองหาสถานที่สำหรับการเปลี่ยนชุดเครื่องแบบสำนักอวิ๋นอู้กับเสื้อผ้าทั่วไป สำนักอวิ๋นอู้ถูกยึดครองโดยสำนักจื่อซย่า และยิ่งไปกว่านั้น เหตุร้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นนางควรที่จะระมัดระวังตัวไว้ก่อน เมื่อเปลี่ยนเสร็จ นางใช้วิชาตัวเบาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

 

 

ย้อนกลับไปตอนที่นางเดินทางไปทั่วพร้อมกับท่านอารอง โม่เทียนเกอพบผู้ฝึกตนหลายคนที่ก่อนจะมาเป็นสาวกแห่งเต๋า พวกเขาเคยเป็นนักศิลปะการต่อสู้ในโลกมนุษย์ นางสนใจในสิ่งที่เรียกว่าศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาและได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันเล็กน้อย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่การรวมพลผู้อมตะจนถึงการแข่งขันเพื่อชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง นางได้ประโยชน์อย่างมากจากการเรียนทางด้านศิลปะการต่อสู้ วิชาตัวเบาของนางแบบเต็มพลังนั้นรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่นทั่วไป เพียงแค่ครึ่งเดือนนางก็มาถึงบริเวณชายแดนของสำนักเทียนเต้า

 

 

ขอบเขตอิทธิพลของสำนักเทียนเต้านั้นกว้างใหญ่มหาศาล ที่นี่ก็น่าจะถือว่าอยู่ในพื้นที่เช่นกัน ความจริงแล้วในพื้นที่รอบๆ มีเพียงแค่กลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ สองสามกลุ่มเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกัน ถึงกระนั้น จัตุรัสของตลาดนัดที่นี่นั้นดูผิดปกติ งานชุมนุมสาวกเต๋าที่ซึ่งผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากสำนักเทียนเต้าได้รับเชิญมักจะจัดที่นี่โดยกำหนดไว้ล่วงหน้า

 

 

ที่งานชุมนุมสาวกเต๋า ทุกคนได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้ตราบใดที่จ่ายด้วยศิลาวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถามคำถามกับผู้ฝึกตนที่เป็นผู้เทศน์และสามารถพูดคุยเกี่ยวกับลัทธิเต๋าต่อกันได้

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างสนใจในงานชุมนุมสาวกเต๋านี้ เมื่อรวมกับความเป็นจริงที่ว่าค่าเข้าร่วมนั้นไม่ได้แพงนัก นางจึงตัดสินใจที่จะรออยู่ที่นี่สักระยะ นางยังเอาเครื่องมือวิญญาณที่ขายยากแถวเขาอวิ๋นอู้มาขายที่นี่เป็นชุด เพราะที่แห่งนี้นั้นทั้งไกลจากเขาอวิ๋นอู้และมีผู้คนหลากหลายประเภท นางสามารถขายเครื่องมือวิญญาณเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหา ดังนั้นนางจึงได้ศิลาวิญญาณเพิ่มมามากมาย

 

 

เมื่อนางเดินออกมาจากร้านและเดินไปมุมถนนที่สงบส่วนตัว นางถอดเสื้อคลุมที่สวมใส่อยู่ เปลี่ยนหน้าตาและแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง

 

 

เพราะมันย่อมดีกว่าที่จะซ่อนที่มาของเครื่องมือวิญญาณเหล่านี้จากผู้คน นางใช้วิชามายาแปลงกายเพื่ออำพรางตัวนางด้วยรูปลักษณ์ที่หลากหลายตอนที่นางไปที่ร้านเพื่อขายของเหล่านั้น ร้านเหล่านี้ไม่ได้สนใจว่าลูกค้าของพวกเขานั้นใช้วิชามายาแปลงกายหรือไม่ สำหรับนางก็จะถือว่าไม่เป็นไรตราบใดที่คนอื่นๆ ไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง

 

 

โม่เทียนเกอเดินทอดน่องออกไปจากทางมุมถนนขณะที่ใช้อำนาจของจิตสัมผัสเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ นางจึงยิ้มและเดินอย่างผ่อนคลายเข้าไปที่อีกร้านหนึ่ง

 

 

ด้านหน้าของร้านนนี้ค่อนข้างเรียบง่ายไร้การตกแต่งใดๆ กรอบผ้าปักดอกหลายอันมีเครื่องมือวิญญาณ เครื่องราง ยาวิเศษ และของไร้ค่าบางอย่างถูกจัดเรียงอยู่บนตู้วาง

 

 

คนที่เฝ้าร้านเป็นเพียงแค่มนุษย์ผู้หญิง เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเดินเข้ามา นางทักทายอย่างกระตือรือร้น “นายท่านผู้เป็นเซียน มีสิ่งใดที่ท่านต้องการหรือเจ้าคะ”

 

 

โม่เทียนเกอเพียงแค่เดินสุ่มดูรอบๆ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้คำตอบในทันที นางคอยมองเครื่องมือวิญญาณหลายชิ้นที่ถูกจัดวางอยู่บนชั้นไปมาก่อนที่จะหันหลังกลับในที่สุด เมื่อนางทำเช่นนั้นอย่างไรก็ตามนางถึงกับตกตะลึง

 

 

หญิงผู้เฝ้าร้านอายุดูราวๆ ยี่สิบปี ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นมนุษย์ธรรมดา นางก็ดูสวยงามและไม่ได้สวยแพ้หญิงผู้ฝึกตนเลยในด้านรูปลักษณ์ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้โม่เทียนเกอตกใจ นางตกใจเพราะหญิงผู้นี้ดูคุ้นเคย ถึงแม้ว่าจะมองดูอย่างระมัดระวังแล้ว นางก็ยังไม่สามารถจำได้ว่านางเห็นผู้หญิงคนนี้เมื่อไหร่

 

 

“นายท่านผู้เป็นเซียน”

 

 

โม่เทียนเกอดึงสติของนางกลับคืน นางเห็นว่าผู้หญิงคนนี้จ้องนางอย่างวิตกกังวล โม่เทียนเกอรู้ตัวทันทีว่าแทนที่จะตอบคำถามของผู้หญิงคนนี้ แต่กลับจ้องหญิงนางนี้อยู่เป็นเวลานาน เมื่อคิดว่าลำบากในการที่จะอธิบาย นางจึงถามไปตรงๆ ว่า “ที่ร้านนี้ขายของเกี่ยวกับอะไรหรือ”

 

 

เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอดูปกติ หญิงนางนี้รีบยิ้มตอบและอธิบาย “เชิญท่านดูที่เครื่องมือวิญญาณ เครื่องราง และยาวิเศษเหล่านี้ ทั้งหมดนั้นคุณภาพดีเยี่ยม นอกเหนือไปจากนั้น ร้านเล็กๆ ของข้ายังขายกระดาษเครื่องรางและพู่กัน เช่นเดียวกันกับสินค้าที่ทำจากสัตว์ปีศาจคุณภาพสูงสุด เชิญท่านเลือกชมได้เจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอเคยเห็นสิ่งต่างๆ ที่จัดวางอยู่บนชั้นมานานแล้ว เครื่องมือวิญญาณก็ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้คุณภาพสูงนัก เครื่องรางก็เป็นเครื่องรางคุณภาพต่ำ นางไม่รู้เกี่ยวกับยาวิเศษ แต่เมื่อยึดถือจากสิ่งของอื่นๆ มันก็น่าจะไม่มีอะไรนอกจากยาวิเศษทั่วไป นางเองนั้นก็เพิ่งขายเครื่องมือวิญญาณจำนวนมากไป ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้ขาดแคลนทั้งเครื่องรางและยาวิเศษ ดังนั้นนางจึงสุ่มหยิบกระดาษเครื่องรางและพู่กันเช่นเดียวกับชาดด้วย

 

 

“ข้าต้องจ่ายศิลาวิญญาณทั้งหมดเท่าไรสำหรับสิ่งเหล่านี้”

 

 

หญิงเฝ้าร้านคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มพร้อมบอก “กระดาษเครื่องรางเหล่านี้และชาดรวมกันเพียงแค่หนึ่งศิลาวิญญาณ แต่พู่กันเครื่องรางนี้เจ็ดศิลาวิญญาณเจ้าค่ะ”

 

 

แปดศิลาวิญญาณสำหรับโม่เทียนเกอตอนนี้เหมือนกับเพียงหยดน้ำในมหาสมุทร นางหยิบมันออกมาจากกระเป๋าเอกภพทันทีแล้ววางไว้บนตู้ขายของ

 

 

หญิงเฝ้าร้านดีใจมากที่ปิดการขายได้อย่างง่ายดาย นางห่อของต่างๆ ที่โม่เทียนเกอซื้อและส่งให้กับนางขณะที่พูดด้วยความเคารพนอบน้อม “ท่านผู้เป็นเซียน ของท่านเจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอรับของมาและกำลังจะเดินออกไปจากร้านในขณะที่นางเห็นผู้ฝึกตนวัยหนุ่มเดินเข้ามาในร้าน เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับห้าของดินแดงแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณผู้ซึ่งดูหมดเรี่ยวแรงและใส่เสื้อผ้าทั่วไป อย่างไรก็ตาม เขาก็หน้าตาหล่อเหลาและดูสง่างามทีเดียว

 

 

ทันทีที่ชายหนุ่มผู้ฝึกตนเดินเข้ามาในร้าน หญิงเฝ้าร้านเรียกด้วยเสียงแจ่มใส “ท่านพี่! วันนี้ท่านกลับเร็วเชียว!”

 

 

กลายเป็นว่าคนผู้นี้คือสามีของหญิงเฝ้าร้านนั่นเอง! ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก จำนวนของหญิงผู้ฝึกตนนั้นมีน้อยกว่าชายผู้ฝึกตนอยู่มากนัก หญิงผู้ฝึกตนระดับต่ำหลายคนล้วนถูกผู้ฝึกตนระดับสูงจับทำเมียน้อย สำหรับชายผู้ฝึกตนระดับต่ำ พวกเขาหาคู่ครองแห่งเต๋าได้ยาก ดังนั้นพวกเขาส่วนมากจึงให้มนุษย์ผู้หญิงมาเป็นเมียหรือเมียน้อยแทน ไม่ชัดเจนนักว่าหญิงงามนางนี้ที่อยู่ด้านหน้าโม่เทียนเกอนั้นเป็นเมีย หรือเป็นเมียน้อยกันแน่

 

 

ผู้ฝึกตนเพียงแต่ตอบสั้นๆ อย่างไม่แยแส ดูช่างเย็นชานัก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นโม่เทียนเกอ เขายิ้มในทันทีและพูด “สหายนักพรต มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจในทันที ในเมื่อระดับการฝึกตนของนางอยู่ในจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนคนนี้จึงไม่กล้าที่จะดูหมิ่นนาง อย่างไรก็ตาม ความเย็นชาที่เขาปฏิบัติต่อเมียตนเองเมื่อเทียบกับการที่เขาปฏิบัติต่อคนนอกไม่ค่อยถูกใจนางเท่าไหร่ เมื่อนางหันกลับและมองเห็นแววตาที่อ่อนแรงและเดียวดายของผู้หญิง นางยิ่งรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นต่อหญิงนางนี้

 

 

สำหรับมนุษย์ผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ฝึกตน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างทัดเทียม ถ้าพูดให้ดูน่าฟังขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาเป็นเมียหรือเมียน้อย แต่ถ้าพูดอย่างหยาบคาย พวกเขาไม่ได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรเลยนอกจากของเล่น

 

 

ไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างถึงมนุษย์ผู้หญิงเลย ดังนั้นถ้าหากว่าเป็นหญิงผู้ฝึกตนล่ะ ตัวอย่างเช่น เฉินปิงนั้นเป็นคนที่มีต้นทุนพื้นฐานที่ดีและมีกลุ่มคอยสนับสนุนนาง แต่สุดท้าย นางก็ยังถูกทำร้ายจากความสวยของตัวเองและถูกบังคับให้กลายเป็นเมียน้อยคนอื่นไป

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอรีบควบคุมอารมณ์ตัวเองและตอบอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่ต้องการอะไร”

 

 

ไม่ได้สนใจในความเยือกเย็นของนาง ชายผู้ฝึกตนยังคงพูดต่อด้วยความกระตือรือร้น “สหายนักพรต ท่านใช้เวลาดูให้เต็มที่เลย ถึงแม้ว่าของในร้านของข้าไม่ได้มีมากมายนัก แต่กระดาษเครื่องรางและพู่กันนั้นดีใช้ได้ ข้าทำมันขึ้นมาเอง”

 

 

นางไม่ได้มีโอกาสที่จะพูดอะไรเพราะหญิงเฝ้าร้านพูดแทน “ท่านพี่ นายท่านผู้เป็นเซียนผู้นี้ได้ซื้อกระดาษเครื่องรางและพู่กันไปแล้ว”

 

 

“เช่นนั้นหรือ” ชายผู้ฝึกตนยิ้มอย่างเขินอายและกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอบคุณสหายนักพรตมากที่มาที่นี่ ในอนาคตได้โปรดกลับมาอีกครั้งด้วยเถิด”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะจากไป นางเดินดูเครื่องมือวิญญาณบนชั้นไปเรื่อยๆ และแสร้งว่าสนใจ ฝ่ายผู้หญิงกำลังที่จะอธิบายแต่โม่เทียนเกอโบกมือพร้อมพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสนใจข้า ข้าจะเรียกเจ้าเองหากข้าเจอสิ่งที่ข้าชอบ”

 

 

เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ต้องการที่จะถูกรบกวน หญิงเฝ้าร้านจึงถอยออกมา ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อหญิงนางนั้นเห็นว่าสามีนางดูอ่อนล้า นางจึงรีบทำให้ตัวเองยุ่งด้วยการเข้าไปดูแลเอาใจใส่เขา

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจ นางไม่เข้าใจจริงๆ ผู้ฝึกตนคนนี้ไม่ได้ดูแลเมียของเขาอย่างดีเลย แล้วเมียคนนี้จะยังรักเขาแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

“ท่านพี่ วันนี้ท่านกลับเข้ามาเร็ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”

 

 

พอได้ยินเมียถาม ชายผู้ฝึกตนลืมตาแล้วโยนถุงที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเอกภพไปให้นาง เขาพูด “วันนี้ดวงข้าไม่ดีนัก ข้าเก็บมาได้แค่นี้ เอาไปเก็บให้เรียบร้อยล่ะ”

 

 

หญิงเฝ้าร้านพูดตอบเพียงสั้นๆ หยิบถุงแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านใน

 

 

เมื่อเห็นดังนี้ โม่เทียนเกอสุ่มเลือกเครื่องรางหลายอันและยื่นศิลาวิญญาณให้ก่อนที่นางจะเดินออกไปจากร้าน