ขณะที่โม่เทียนเกอล้างหน้าในตอนเย็นวันนั้น นางถึงตระหนักว่าทำไมหญิงคนนั้นถึงได้ดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก
พอลบร่องรอยการแปลงตัวออก นางก็พบความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างใบหน้าของนางเองในกระจกกับใบหน้าของหญิงผู้นั้น
ความเหมือนนี้อยู่ที่คิ้ว ตา และรูปหน้า ไม่ต้องพูดถึงรูปหน้าเลย แค่คิ้วกับตาพวกเขาก็เหมือนกันมากแล้ว ถ้านางไม่ได้ปลอมตัว ความเหมือนเช่นนี้ก็คงเป็นที่สังเกตได้ในทันที
แปลกจริง นางไม่ได้มีพี่น้องผู้หญิง และญาติใกล้ชิดของนางทั้งหมดก็อยู่ในโลกมนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่าสมาชิกบางส่วนของกลุ่มเยี่ยอยู่ในคุนอู๋ แต่ท่านอารองบอกนางว่าเขาย้ายสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มเยี่ยลงไปยังโลกมนุษย์หมดแล้ว เขาถึงขนาดบอกพวกนั้นด้วยว่าพวกเขาจะไม่มาเหยียบคุนอู๋อีกนอกเสียจากว่าพวกเขามีรากวิญญาณ หญิงคนนั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาแน่นอน นางไม่สามารถมีรากวิญญาณได้
หลังจากยืนอยู่หน้ากระจกพักหนึ่ง นางก็ยังคิดไม่ออก นางกลับไปยังที่นอนเพื่อทำสมาธิ นางคิดได้ว่าถ้านางยังต้องการหาคำตอบ นางกลับไปที่นั่นได้ในวันพรุ่งนี้และถามหญิงคนนั้นตรงๆ
หลังจากนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณในร่างกาย
นางใช้สองวิชาฝึกตนมาโดยตลอด วิชาแรกคือศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์และอีกวิชาคือศาสตร์แห่งป่าขจี เพราะว่านางฝึกตนได้เร็วกว่าด้วยศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ วิชานี้จึงกลายเป็นวิธีฝึกตนหลักของนาง ส่วนศาสตร์แห่งป่าขจีเป็นวิชารองลงมาที่นางใช้ระหว่างการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิชานี้ไม่ได้ต่างกันมากในแง่ของพลังวิญญาณที่ถูกซึมซับเข้ามา แม้ว่าส่วนมากนางจะซึมซับพลังวิญญาณธาตุไม้เมื่อนางใช้ศาสตร์แห่งป่าขจี แต่พลังวิญญาณธาตุอื่นๆ ก็ยังถูกซึมซับรับเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน สำหรับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์สามารถซึมซับพลังวิญญาณได้ทุกชนิด พลังวิญญาณที่ถูกซึมซับเข้ามาโดยสองวิชานี้จะเข้ามาผสมผสานกันภายในร่างกายของนาง ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างใดๆ ในท้ายที่สุด แต่หลังจากเสร็จสิ้นกับดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ พลังวิญญาณที่เยือกเย็นและมืดมิดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในร่างกายของนางทีละนิด ปริมาณของมันนั้นมีเพียงเล็กน้อย แต่ก็แตกต่างจากพลังวิญญาณอื่นๆ ที่อยู่ภายในร่างกายของนาง พลังวิญญาณทั้งสองประเภทเคลื่อนที่ไปตามเส้นลมปราณของนาง ไม่ได้ผสมกันหรือขัดกันแต่อย่างใด
นางยังไม่มีโอกาสได้บอกท่านอารองเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้มันยังดูไม่ได้มีอันตรายอะไร นางจึงปล่อยไปก่อน
เมื่อนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ การฝึกตนไม่เพิ่มปริมาณพลังวิญญาณในร่างของนางอีกต่อไป เพียงแค่ชำระล้างพลังวิญญาณที่มีอยู่เดิมเท่านั้น ณ ตอนนี้การฝึกตนได้กลายมาเป็นกิจวัตรสำหรับนาง ดังนั้นถ้าไม่มีอะไรต้องทำ นางจะเข้าฌานและพัฒนาพลังวิญญาณของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาการฝึกตนตามปกติในวันหนึ่ง
พลังวิญญาณที่แยกกันสองอันภายในทั้งตานเถียนและเส้นลมปราณของนางยังคงเคลื่อนที่ไปตามรอบของมัน แต่ปริมาณพลังวิญญาณมืดค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด เมื่อค้นพบปรากฏการณ์นี้ นางก็ลองทำการทดลอง ในตานเถียนของนาง นางแยกพลังวิญญาณสองประเภทออกในปริมาณน้อยๆ ซึ่งจากนั้นนางจะค่อยๆ ผลักดันให้มันเข้ามาสัมผัสกัน ในไม่ช้านางก็เห็นผล พลังวิญญาณที่เป็นธาตุจะลดลงเล็กน้อยในขณะที่พลังวิญญาณมืดเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย
หลังจากยืนยันได้ว่าพลังวิญญาณมืดนี้สามารถกัดกร่อนพลังวิญญาณเดิมของนาง โม่เทียนเกอจึงหยุดฝึกตนทันที ถึงแม้ว่านางจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณทั้งสองประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบันได้และไม่มีความแตกต่างอะไรมากระหว่างทั้งสอง แต่นางก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับพลังวิญญาณมืดนี้ คงจะเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม
หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพัก นางก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณมืดนี้อาจจะเป็นพลังหยินที่ปรากฏขึ้นมาจากการฝึกตนด้วยศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่ได้มีเรื่องนี้กล่าวไว้ในคู่มือเคล็ดวิชา นางจึงไม่มั่นใจนัก
ถ้าพูดกันตามปกติ ท้องฟ้าคือหยางและพื้นโลกคือหยิน ชายคือหยาง หญิงคือหยิน ที่จริงแล้วนั้น ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ล้วนมีทั้งพลังหยินหยางอยู่ในร่างกายทั้งสิ้น เพียงแค่ผู้ชายมีหยางมากกว่าและหยินน้อยกว่า ในขณะที่ผู้หญิงจะมีหยินมากกว่าและหยางน้อยกว่า วิชาการฝึกตนในโลกแห่งการฝึกตนก็เกิดมาจากหลักการนี้
ทุกวิชาการฝึกตนถูกสร้างมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกตนหญิงที่มีคุณสมบัติของหยินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างกรณีของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ ซึ่งสามารถใช้ฝึกโดยผู้ฝึกตนหญิงที่ครอบครองร่างกายที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์เท่านั้น อย่างไรก็ดี นางยังไม่เคยได้ยินว่าพลังวิญญาณจากการฝึกตนของผู้หญิงจะแตกต่างกับของผู้ชาย ดังนั้น นางจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นพลังหยินหรือไม่
เวลาค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
โม่เทียนเกอจัดเก็บข้าวของก่อนจะออกไปข้างนอก
วันนี้นับเป็นการเริ่มต้นของการชุมนุมสาวกเต๋าในตลาดนัด ในวันเดียวกันของแต่ละเดือน ผู้ฝึกตนจากบริเวณรอบข้างจะแห่กันมารวมตัวที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่ปรารถนาจะได้เข้าสำนักเทียนเต้า ถึงแม้ว่าบางครั้งบางคราวก็จะมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่มาเพื่อปรึกษาเรื่องเต๋ากับผู้ฝึกตนจากสำนักเทียนเต้า
โม่เทียนเกอได้ถามถึงสถานที่ที่จัดการชุมนุมมาเรียบร้อยแล้ว นางต้องเดินตัดผ่านหลายเส้นทางก่อนจะเดินตรงไปยังสนามเล็กๆ ที่ดูธรรมดาสามัญแห่งหนึ่ง
ประตูสู่สนามเล็กๆ นี้เปิดกว้างโดยมีผู้ฝึกตนระดับล่างสองคนเฝ้าอยู่ นานๆ ทีจะมีผู้คนเข้ามาในสนาม พวกเขายื่นศิลาวิญญาณให้และรับแผ่นจารึกประจำตัวเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
โม่เทียนเกอตามหลังคนกลุ่มหนึ่งไป นางจ่ายศิลาวิญญาณสองอันและได้รับแผ่นไม้จารึกซึ่งถูกสลักด้วยหมายเลขก่อนที่นางจะเข้าไปในสนาม ไม่นานหลังจากนั้น นางเดินผ่านห้องนั่งเล่นหลัก คนหนึ่งจากกลุ่มข้างหน้านางเป็นคนนำและเดินเข้าไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นไปที่บันไดที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน หลังจากเดินอยู่พักหนึ่งและเลี้ยวเลาะอยู่หลายครั้ง พวกเขาก็เข้ามาถึงห้องโถงได้ในที่สุด
ห้องโถงนี้ใหญ่โตและไม่ได้เล็กไปกว่าวัดเทศนาที่สำนักอวิ๋นอู้มากนัก น่าจะจุคนได้อย่างน้อยที่สุดพันคน ในส่วนที่อยู่ด้านในสุดของโถงมีแท่นสูงซึ่งมีเสื่อสวดมนต์หลายผืนจัดเรียงอยู่ ส่วนอื่นนอกแท่นนั้นมีโต๊ะ เก้าอี้ และเสื่อสวดมนต์หลากหลายชนิดวางอยู่
เจ้าหน้าที่ต้อนรับบอกนางว่าถ้านางจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่ม นางจะได้สิทธิพิเศษในการนั่งเก้าอี้ ตอนนั้นโม่เทียนเกอไม่ได้ไต่ถามอะไรต่อและเพียงแค่จ่ายค่าเข้า ด้วยเหตุนี้ตอนนี้นางจึงนั่งได้แค่บนเสื่อสวดมนต์ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เนื่องจากนางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับที่นั่งของนางนัก นางจึงมองหามุมที่อยู่ห่างไกลจากแท่นและนั่งลงทันที หลังจากนางนั่งลง นางหลับตาเพื่อพักสายตา
คนส่วนใหญ่ก็กำลังนั่งบนเสื่อสวดมนต์เพราะศิลาวิญญาณเพิ่มเติมสองอันต่อเดือนก็ถือว่าเป็นจำนวนมากแล้วสำหรับผู้ฝึกตนเดี่ยว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาในสำนักอวิ๋นอู้ได้รับเพียงศิลาวิญญาณห้าอันต่อเดือนเท่านั้น
ผู้คนเข้ามาในโถงชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนในห้องโถงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
เมื่อที่นั่งในห้องโถงใกล้จะเต็มเกือบทุกที่ ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงลืมตาขึ้นเพื่อสำรวจรอบๆ ตัว คนที่มาที่นี่มีจำนวนมาก ที่นั่งเพียงแค่สองในสิบเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ขณะนี้ ในหมู่คนเหล่านี้ บางคนเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากหลายแบบ บางคนเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ สวมใส่ชุดเครื่องแบบของกลุ่ม และบางคนก็เป็นสมาชิกของเผ่าผู้ฝึกตนที่มีผู้ติดตามมาด้วย
เห็นได้ชัดว่าการชุมนุมสาวกเต๋านี้เป็นที่นิยมมาก ไม่เพียงแต่จะดึงดูดผู้ฝึกตนเดี่ยวเท่านั้น แต่แม้แต่สมาชิกของกลุ่มการฝึกตนและเผ่าต่างๆ ก็ยังมาร่วมด้วย การสังเกตการณ์ครั้งนี้ทำให้ความคาดหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาวกเต๋าของโม่เทียนเกอสูงขึ้น
ข้างนอกยังมีคนบางส่วนที่รอจะเข้ามาในห้องโถง หลังจากที่นั่งในแถวที่เก้าเต็มแล้วเท่านั้นคนที่หลั่งไหลเข้ามาจึงค่อยๆ หยุดไป
หลังจากสิบห้านาทีผ่านไป ประตูของห้องโถงจึงปิดลงในขณะที่ประตูเล็กที่อยู่ส่วนในสุดของโถงเปิดออก ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายคนเดินนำผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนหนึ่งมาที่แท่น
ขณะเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณในห้องโถงยืนขึ้นทีละคนเพื่อแสดงความเคารพ พอเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอจึงทำตาม
ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนนี้เป็นชายที่ดูอายุประมาณสามสิบ สามชุดนักพรตเต๋าสีม่วงอ่อนพร้อมด้วยลายเส้นสีขาว เขาดูสงบนิ่งและดูมีรัศมีที่ค่อนข้างเหมือนกับนักปราชญ์
โม่เทียนเกอไม่สามารถจับได้ว่าผู้ฝึกตนคนนี้อยู่ในขั้นไหนของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง อย่างไรเสีย ผู้ฝึกตนระดับล่างถ้าไม่กำลังฝึกตนด้วยวิชาลับอะไรสักอย่าง พวกเขาก็จะไม่มีทางสัมผัสได้เลยถึงระดับการฝึกตนเฉพาะของผู้ฝึกตนระดับสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมีช่วงอายุขัยสามร้อยถึงสี่ร้อยปี ผู้ฝึกตนคนนี้ดูเหมือนเขาอยู่ในช่วงวัยสามสิบ คาดว่าอายุจริงของเขาน่าจะยังไม่ถึงหนึ่งร้อยปี สืบเนื่องจากอายุเฉลี่ยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เขาน่าจะถือว่าค่อนข้างอายุน้อยเลยทีเดียว
ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนนี้นั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ที่กลางแท่นสูง เขากวาดสายตามองผู้ชมจนทั่วก่อนจะพูดว่า “ขอสวัสดี บุรุษและสตรี ข้าเวินเซี่ยงเต้าแห่งสำนักเทียนเต้า และในวันนี้ ข้าจะมาแสดงเทศน์ธรรมแก่ทุกท่าน สหายแห่งเต๋าทั้งหลายที่ต้องการจะหารือเรื่องเต๋าก็ยินดีต้อนรับเช่นกัน” ชายผู้นี้หยุดครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า “ข้าคิดว่าทุกท่านน่าจะคุ้นเคยกับประสบการณ์และความรู้ของการฝึกตนอยู่บ้างแล้ว วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้เล่าให้ทุกท่านฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ในการสร้างฐานแห่งพลังของข้า”
โม่เทียนเกอเกิดความสนใจทันทีเมื่อนางได้ยิน ตอนแรก นางแค่สนใจเล็กน้อยในการชุมนุมสาวกเต๋าของตลาดนัดแห่งนี้ นางไม่ได้คาดไว้เลยว่าหัวข้อที่พูดจะเป็นเรื่องการสร้างฐานแห่งพลังอย่างลึกซึ้ง หัวข้อนี้คือสิ่งที่นางอยากฟังที่สุดในขณะนี้
เมื่อเป็นความรู้เชิงลึกของการสร้างฐานแห่งพลัง อาจารย์ลุงในสำนักอวิ๋นอู้ก็พูดเรื่องนี้กับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณที่ใกล้จะบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอย่างนางเช่นกัน แต่นางไม่รู้ว่าความรู้นั้นจะเทียบกับสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากสำนักเทียนเต้ามอบให้ได้อย่างไร
นางไม่ได้เป็นคนเดียวที่รู้สึกตื่นเต้น คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นยิ่งกว่านางเสียอีก เป็นโอกาสหายากมากที่ผู้ฝึกตนเดี่ยวจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเช่นนี้ได้ ส่วนพวกสมาชิกของเผ่าผู้ฝึกตนและศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีแหล่งข้อมูลมากกว่า แต่คนที่มาให้โอวาทตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนจากสำนักเทียนเต้า ซึ่งเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ดีที่สุดในขั้วท้องฟ้า คำสอนของเขาจะต้องแตกต่างจากสิ่งที่ผู้อาวุโสจากฝ่ายของพวกเขาสอนแน่นอน
เวินเซี่ยงเต้าหยุดนิ่ง ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มอย่างไรดี หลังจากผ่านไปครู่เดียว เขาจึงเริ่มพูดช้าๆ “ข้าคาดว่าทุกท่านที่นี่คงจะรู้กันอยู่แล้วว่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานแห่งพลังอย่างไร ขั้นแรก พวกเขาฝึกตนจนกระทั่งไปถึงจุดสมบูรณ์ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ขั้นต่อไป พวกเขาทานยาสร้างฐานแห่งพลัง หลังจากนั้นคือประมาณหนึ่งปีของการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ คนที่ทำสำเร็จจะก้าวไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ส่วนคนที่ล้มเหลวจะยังอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่ถ้าโชคค่อนข้างดี พวกเขาอาจจะก้าวเข้าสู่ระดับสิบเอ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณก็เป็นได้ ในตอนนี้ ข้าจะคุยกับทุกท่านเกี่ยวกับประสบการณ์ในการสร้างฐานแห่งพลังและกระบวนการที่ข้าต้องข้ามผ่าน”
“ข้ามีต้นทุนตามธรรมชาติเป็นรากวิญญาณสามธาตุ แต่คนอย่างข้านั้นธรรมดามากในสำนักเทียนเต้า วิชาการฝึกตนที่ข้าใช้ก็เป็นวิชาการฝึกตนห้าธาตุที่ธรรมดาทั่วไป ข้าโชคดีและได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ในท้ายที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังตั้งแต่พยายามครั้งแรก”
“ข้าคิดว่า… พวกท่านหลายคนก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับข้า โอกาสของคนธรรมดาในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองนั้นน้อยมาก แต่พวกเขาก็มักจะลองเสี่ยงดู หวังว่าจะดวงดีได้รับโชคอะไรสักอย่างและสามารถเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกท่านทุกคนก็คือ การสร้างฐานแห่งพลังไม่ได้หวังพึ่งแต่ดวงเพียงอย่างเดียว”
“อย่างที่ทุกท่านรู้กันแล้ว รากวิญญาณส่งผลต่อความเร็วของการซึมซับพลังวิญญาณ ดังนั้นจึงส่งผลต่อผลลัพธ์ของการฝึกตนและโอกาสของการก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป นิสัยของคนที่มีรากวิญญาณน้อยกว่าเหมาะที่จะฝึกตนมากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่มีรากวิญญาณหลายธาตุ บางคนสามารถบรรลุเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่คนอื่นๆ อาจต้องพยายามดิ้นรนอย่างหนักหน่วง”
“โดยธรรมชาติแล้วนั้น ทุกท่านควรจะเลิกหลงผิดว่ารากวิญญาณของท่านไม่มีผลต่อการสร้างฐานแห่งพลัง มันเป็นความเชื่อที่ผิดโดยแท้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีความอดทนมากพอ ท่านยังสามารถลดช่องว่างระหว่างตัวท่านกับคนที่มีรากวิญญาณดีเป็นพิเศษได้”
“หลังจากไปถึงจุดสมบูรณ์ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกกังวลและต้องการที่จะก้าวไปสู่ดินแดนถัดไปทันที ความจริงแล้ว เมื่อถึงจุดนี้ มีปัจจัยอีกหลายอย่างที่จะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จของการสร้างฐานแห่งพลัง อย่างแรกเลยคือความหนาแน่นของพลังวิญญาณของท่าน”
แม้แต่โม่เทียนเกอก็ยังประหลาดใจกับประโยคสุดท้ายของเขา ความหนาแน่นของพลังวิญญาณงั้นหรือ? หมายความว่าอย่างไรกัน?
นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ท่านอารองเพียงแต่บอกนางว่ามันจะยากสำหรับตัวนางที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังถ้านางรีบเร่งเกินไป แต่เขาไม่เคยพูดถึงเหตุผลเลย นางไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้เป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสำนักเทียนเต้าหรือเปล่า แต่ขณะนี้นางกำลังบันทึกทุกอย่างลงหยกบันทึกอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งใจว่าจะถ่ายทอดให้ท่านอารองฟังเมื่อนางกลับไป นางจะให้เขาตัดสินดูว่าเนื้อหานี้ถูกต้องหรือไม่
เวินเซี่ยงเต้าพูดอย่างต่อเนื่องไปอีกชั่วโมงหนึ่งเพื่ออธิบายประเด็นนี้อย่างถ่องแท้ จากนั้นเขาหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดถึงส่วนถัดไป
“นอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกท่านทุกคน ท่านต้องห้ามละเลยกับสภาวะจิตของตัวเองเพียงเพราะว่ามารภายในจิตใจจะปรากฏขึ้นมาในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นความจริงที่มารภายในจิตใจจะไม่ปรากฏขึ้นเมื่อท่านสร้างฐานแห่งพลัง แต่สภาวะจิตของท่านมีผลต่อพฤติกรรมและความมั่นใจ ห้ามละเลยสภาวะจิตของตัวเองเด็ดขาด คนที่มีสภาวะจิตมั่นคงสามารถทำอะไรได้ลุล่วงเป็นอย่างดีเมื่อพวกเขาเริ่มสร้างฐานแห่งพลังแล้ว และสามารถแก้ปัญหาที่พบเจอได้อย่างใจเย็น เพราะฉะนั้น จากมุมมองของคนอื่น อาจจะพูดได้ว่าการใส่ใจต่อสภาวะจิตของท่านสามารถเพิ่มโอกาสการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ…”