ตอนที่ 75 สหายเก่า

ลำนำสตรียอดเซียน

ที่งานชุมนุมสาวกเต๋าครั้งนี้ ไม่มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนไหนก้าวขึ้นมาพูดเรื่องเต๋าอีก ดังนั้นการชุมนุมจึงสิ้นสุดลงทันที ทว่าถึงกระนั้น ทุกคนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

 

 

ขณะกำลังกลับ จิตใจของโม่เทียนเกอยังคงคิดถึงสิ่งที่ผู้ฝึกตนจากสำนักเทียนเตาพูด อันที่จริง การเทศนาของเขาสามารถสรุปได้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือพลังวิญญาณของนางต้องบริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุด ส่วนประเด็นที่สองคือนางควรจะมีสภาวะจิตที่สงบนิ่ง อย่างน้อยที่สุด นางต้องสามารถเข้าสู่สภาวะเข้าฌานได้อย่างง่ายดายก่อนที่นางจะพยายามสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง

 

 

แม้ว่าความรู้เชิงลึกที่สำนักเทียนเตามีเกี่ยวกับการสร้างฐานแห่งพลังจะมีมากกว่าสองประเด็นนี้แน่นอน แต่การได้รู้สองประเด็นนี้ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้โม่เทียนเกอรวบรวมข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการสร้างฐานแห่งพลัง นางจึงเริ่มมั่นใจขึ้นเล็กน้อยในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง

 

 

ส่วนเรื่องสภาวะจิตอันสงบของนางน่าจะค่อนข้างจัดการได้ง่าย เดิมจิตใจของโม่เทียนเกอว้าวุ่นก็เพราะนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเร็วเกินไป ซึ่งเป็นเหตุให้นางออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง คาดว่าสภาวะจิตของนางจะสงบลงได้เองหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง

 

 

เป็นปัญหาข้อแรกนั่นล่ะที่ค่อนข้างยากสำหรับนาง ในปัจจุบันนี้นางไม่กล้าฝึกตนเพราะความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในพลังวิญญาณในร่างกายของนาง สิ่งที่ทำได้ก็คือเลื่อนเรื่องนั้นออกไปก่อนจนกว่านางจะกลับไปและถามท่านอารอง

 

 

เพียงหลังจากที่นางกลับมาถึงโรงเตี๊ยมด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวล จู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่านางยังไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน นางกำลังจะออกไปอีกรอบเมื่อนางเห็นเงาคนกำลังขึ้นบันไดมา ทำให้นางต้องรีบรุดกลับเข้าห้องของตัวเอง

 

 

เสียงผู้ชายค่อนข้างบาดหูกับน้ำเสียงยานคางซึ่งไม่น่าฟังเอาเสียเลยดังผ่านมา “ในที่สุดวันนี้เราก็มีที่ให้ซุกหัวนอน ไม่ต้องไปนอนข้างนอกอีก”

 

 

ใครบางคนตอบทันที “ศิษย์พี่เจียง ท่านควรพักในห้องนี้ ห้องนี้อยู่สบายดี”

 

 

มีการหยุดไปครู่หนึ่งราวกับว่าพวกเขากำลังสำรวจดูห้อง จากนั้นชายน้ำเสียงยานคางพูดด้วยความพอใจ “โรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่นี่ค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว ดีล่ะ พวกเจ้าเลือกห้องได้ หลังจากนั้นสั่งเหล้าองุ่นดีๆ กับอาหารมาด้วย”

 

 

ใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเสี่ยวเอ้อพูดขึ้นมา “ขอรับ ท่านผู้เป็นเซียน โปรดเลือกได้ตามที่ท่านต้องการ”

 

 

หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเสียงประตูปิด คาดว่าพวกเขาคงเข้าห้องไปแล้ว หลังจากครุ่นคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองอยู่พักหนึ่ง นางตัดสินใจจะไม่ปล่อยจิตสัมผัสของนาง อย่างไรก็ตาม นางได้ทันเห็นคนที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่เจียง ไม่น่าเชื่อว่าเขาคือญาติของเจียงซั่งหัง เจียงเฉิงเสียนนั่นเอง

 

 

พูดถึงเจียงเฉิงเสียน นางต้องยอมรับว่าดวงของเขาดีมากทีเดียว ในระหว่างการทดสอบเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งศิษย์สำนักจื่อซย่าและสำนักอวิ๋นอู้ล้วนต้องการที่จะฆ่าเขา แต่กระนั้นเขากลับมีชีวิตรอดออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนว่ากันว่าทุกวันนี้หัวหน้าสำนักย่อยของเขาอวิ๋นอู้ได้ทำการตระเตรียมจัดการสร้างฐานแห่งพลังให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกมาก เจียงเฉิงเสียนมาทำอะไรนอกเขาอวิ๋นอู้ในเมื่อเขาสามารถสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้ทันที

 

 

โม่เทียนเกอแง้มช่องประตูไว้เพื่อแอบดู พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอก นางจึงใช้วิชามายาแปลงกายและออกไปจากโรงเตี๊ยม

 

 

นางเข้าไปยังร้านค้าเล็กๆ ร้านเมื่อวานนี้และคนที่เฝ้าร้านก็ยังเป็นมนุษย์หญิงคนงามนั้นเหมือนเคย เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอเข้ามา นางทักทายด้วยความกระตือรือร้นเหมือนอย่างวันก่อน “ท่านผู้เป็นเซียน ท่านต้องการอะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

โม่เทียนเกอแปลงกายเป็นชายหนุ่มธรรมดา นางถามด้วยเสียงที่ตั้งใจดัดให้ทุ้มต่ำ “เจ้าขายอะไรรึ”

 

 

แม้ว่าน้ำเสียงของโม่เทียนเกอจะไม่ค่อยน่าฟัง แต่หญิงคนนั้นก็ยังไม่ได้พูดอะไรและยังคงความกระตือรือร้นขณะนางอธิบาย “ร้านเรามีของใช้จำเป็นทุกชนิด แต่เราเชี่ยวชาญในด้านกระดาษเครื่องรางและพู่กันเจ้าค่ะ”

 

 

“อ้อหรือ ขอข้าดูหน่อย”

 

 

หญิงคนนั้นหยิบเอากระดาษเครื่องรางปึกหนึ่งและพู่กันเขียนเครื่องรางทุกชนิด แล้วจึงวางของพวกนั้นบนโต๊ะคิดเงิน นางกล่าวว่า “เชิญท่านตามสบาย”

 

 

โม่เทียนเกอเหลือบมองหญิงคนนั้นก่อนจะพูดด้วยท่าทางเรียบเฉย “ดูเหมือนมันจะไม่ได้ดีขนาดนั้นนะ!”

 

 

หญิงคนนั้นแค่ยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่ามันไม่ใช่อะไรดีเลิศเป็นพิเศษ แต่วิธีที่ใช้ในการทำกระดาษและพู่กันพวกนั้นถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นในตระกูลของสามีข้า ท่านผู้เป็นเซียนจะหาของคุณภาพเช่นนี้กับราคานี้ในร้านของคนอื่นไม่ได้แน่เจ้าค่ะ”

 

 

“เช่นนั้นจะบอกว่าของทุกอย่างในร้านเจ้าราคาถูกงั้นรึ”

 

 

หญิงคนนั้นพูดว่า “ท่านผู้เป็นเซียนคงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่หรือไม่ ร้านเล็กๆ อย่างร้านข้าไม่อาจเทียบได้กับร้านใหญ่ ข้าต้องเสนอราคาต่ำเพื่อให้มีข้อได้เปรียบ มิเช่นนั้นทุกคนก็จะแห่กันไปแต่ร้านใหญ่ๆ ซึ่งของมีคุณภาพดี หากเป็นเช่นนั้น ร้านเล็กๆ ของข้าคงอยู่ไม่ได้นานแน่ๆ เจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจหลักกการนี้ดี แต่ก่อนนั้น นางเคยเปิดร้านค้ากับท่านอารอง แม้ว่าร้านเล็กๆ ของพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับพวกร้านใหญ่ แต่ผู้ฝึกตนตัวจ้อยหลายคนก็ยังมาที่ร้านพวกเขา สาเหตุก็เพราะผู้ฝึกตนพวกนี้ไม่ได้มีเงินมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถซื้อของที่ขายอยู่ในร้านใหญ่ได้ ในขณะเดียวกัน พวกร้านใหญ่ก็ไม่สนใจจะมาทะเลาะกับพวกร้านเล็กด้วยเรื่องผลกำไรเล็กน้อยเช่นนี้ เพราะอย่างนั้น ร้านเล็กของพวกเขาจึงยังคงอยู่รอดมาได้

 

 

ถึงอย่างนั้น ท้ายที่สุดแล้วท่านอารองก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ยิ่งไปกว่านั้น เขามีสมบัติที่ได้รับมรดกตกทอดมาบางอย่าง ดังนั้นของที่เขาขายจึงค่อนข้างครอบคลุมมาก และเขายังมีสินค้าคุณภาพดีสำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอีกด้วย เป็นเหตุให้ลูกค้าบางส่วนจากร้านที่ใหญ่กว่ามาแวะเวียนที่ร้านของพวกเขาแทน เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงถูกร้านใหญ่ๆ พวกนั้นกดดัน

 

 

โม่เทียนเกอแกล้งทำเป็นสงสัยและพูดว่า “จริงหรือ”

 

 

หญิงผู้นั้นเอ่ย “ท่านผู้เป็นเซียน ลองดูเถิด กระดาษเครื่องรางพวกนี้ทำด้วยส่วนผสมระหว่างไผ่อักขระดาราและเลือดสัตว์ปีศาจ ไผ่อักขระดาราเป็นวัสดุที่แข็งมากและสามารถผลิตกระดาษหนาซึ่งพอจะเทียบได้กับกระดาษเครื่องรางชั้นดี เรายังมีพู่กันเขียนเครื่องรางพวกนี้ซึ่งทำจากขนหมาป่าเลือดน้ำแข็ง และแต่ละเส้นต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ทั้งหมดนี้้เป็นสินค้าที่มาจากการล่าอย่างยากลำบากของสามีข้า ข้าขอยืนยันกับท่านว่าราคานี้ถือว่ายุติธรรมแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอกลับเริ่มตรวจดูของอื่นๆ ในร้าน จากนั้นนางถามด้วยท่าทีเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่ “เจ้าบอกว่าวิธีที่ใช้ทำถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นจากตระกูลของสามีเจ้า ไม่ว่าเขาจะมีพื้นเพแบบไหน แต่เขามาจากเผ่าผู้ฝึกตน แล้วเขามาเปิดร้านที่น่าสังเวชขนาดนี้ได้อย่างไร”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงผู้นั้นแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย แต่นางก็พยายามยิ้มทันทีและพูดว่า “เผ่าผู้ฝึกตนเล็กๆ โดยทั่วไปไม่สามารถเปิดร้านค้าใหญ่ได้ ท่านผู้เป็นเซียน เชิญท่านตามสบาย ท่านเรียกข้าได้หากต้องการอะไร”

 

 

ตอนที่โม่เทียนเกอพูด นางแอบสังเกตหญิงคนนั้นซ้ำๆ ยิ่งโม่เทียนเกอพินิจพิเคราะห์มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงคนนั้นกับตัวนางมีความเหมือนกันมากขึ้นเท่านั้น

 

 

นางได้รู้จากการตอบคำถามของนางว่าคู่สามีภรรยาคู่นี้ไม่มีคนหนุนหลัง หากเป็นเช่นนั้น และตัวสามียังเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับห้าของการหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาจึงไม่ใช่คนที่นางจะต้องกลัว

 

 

“ข้ามีอะไรอยากถามแม่นางหน่อย” ในเมื่อหญิงคนนั้นยังยิ้มอยู่ โม่เทียนเกอจึงถามตรงๆ “เจ้าบอกชื่อของเจ้าได้หรือไม่”

 

 

เมื่อคำถามนี้ถูกถามออกไป หญิงคนนั้นดูประหม่าทันที นางถอยหลังไปในขณะที่ใบหน้านางเริ่มถอดสีและไม่ช้าก็ซีดเผือด

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “แม่นางไม่จำเป็นต้องกลัว ข้าไม่ได้จะทำอะไร”

 

 

แม้ว่าโม่เทียนเกอจะแก้ตัว แต่นางก็ยังแสร้งว่าเป็นผู้ชายและยังเป็นผู้ฝึกตนอีก สำหรับชายผู้ฝึกตนที่จู่ๆ ไปถามหญิงงามว่านางชื่ออะไร คงจะเป็นการแปลกถ้าหญิงคนนั้นจะไม่รู้สึกกลัว

 

 

เพราะโม่เทียนเกอเห็นว่าหญิงคนนั้นยังลังเล นางจึงปล่อยพลังวิญญาณไปกดดันนาง หญิงคนนั้นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา โดยปกติแล้วนางจะยอมจำนนต่อแรงกดดันเช่นนั้น หญิงคนนั้นถอยหลังไปจนสุดกำแพงกั้นและสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ “ข้า… ข้าแซ่โม่”

 

 

โม่เทียนเกอตกตะลึง หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางจึงคิดถึงความเป็นไปได้อีกทางหนึ่งและถามอย่างร้อนรน “ตัวอักษร ‘โม่’ ที่ใช้ในคำว่า ‘คนแปลกหน้า’ น่ะหรือ”

 

 

หญิงคนนั้นพยักหน้าและตอบว่า “เจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอจ้องหญิงคนนั้นไม่วางตา ท้ายที่สุดแล้วนางก็พบร่องรอยของความคุ้นเคยบนใบหน้าของหญิงคนนั้น ปรากฏว่าหญิงผู้นี้ไม่ใช่คนจากกลุ่มเยี่ยหรอก หญิงคนนี้คือคนจากตระกูลโม่ ที่ซึ่งโม่เทียนเกออาศัยอยู่มาสิบปี

 

 

ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอขณะที่นางถามอย่างระมัดระวัง “เทียนเฉี่ยว?”

 

 

หญิงผู้นั้นตกใจ นางจ้องมองโม่เทียนเกอด้วยความประหลาดใจ ทั้งเพราะโม่เทียนเกอรู้ชื่อนางและก็เพราะเสียงของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไปในทันใด

 

 

พอเห็นปฏิกิริยาของหญิงผู้นั้น โม่เทียนเกอก็รู้ทันทีว่านางเดาถูกต้อง หลังจากผ่านไปนาน นางจึงสงบจิตใจได้ในที่สุด ด้วยการโบกมือ นางลบคาถาที่นางเสกวิชามายาแปลงกายออกไป และด้วยการโบกมืออีกครั้ง นางลบการปลอมตัวบนใบหน้าของนางออก

 

 

จากสีหน้าประหลาดใจของหญิงคนนั้น โม่เทียนเกอก็รู้ว่านางก็ตระหนักว่าใบหน้าของพวกนางคล้ายกันมากแค่ไหน

 

 

ใบหน้าหญิงสาวเปลี่ยนจากซีดขาวไปเป็นสีแดงในขณะที่นางร้องอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้า… เทียนเกอ!?”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าและถอนหายใจ “เทียนเฉี่ยว… ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก”

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวเอามือปิดปาก น้ำตารินไหล หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ นางก็โถมตัวเข้าหาโม่เทียนเกอและพูดว่า “เทียนเกอ เป็นเจ้าจริงๆ หรือ”

 

 

ขณะที่กอดโม่เทียนเฉี่ยวกลับ โม่เทียนเกอพูดอย่างอบอุ่นว่า “เป็นข้าจริงๆ อย่าร้องไห้นะ ไม่ง่ายเลยที่เราจะได้เจอกัน เราควรจะมีความสุขสิ”

 

 

“จริงด้วย” โม่เทียนเฉี่ยวรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าจากนั้นจึงไปปิดประตูและพูดว่า “รอเดี๋ยวนะ ข้าจะปิดร้านก่อนแล้วเราค่อยเข้าไปคุยกันข้างใน”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าก่อนจะหลับตาเพื่อตั้งสติ แม้ว่านางจะไม่ได้ดูตื่นเต้นเท่าเทียนเฉี่ยว แต่ตอนที่นางรู้ถึงตัวตนของเทียนเฉี่ยว นางก็ยังรู้สึกมีความสุขมาก

 

 

ไม่นานหลังจากที่นางมาถึงคุนอู๋และเริ่มเดินทางไปทั่วกับท่านอารอง นางค่อยๆ รู้ตัวว่านางคงไม่สามารถกลับไปที่บ้านได้และนางต้องละทิ้งทุกอย่างในโลกมนุษย์ ถ้านางต้องพูดถึงหนึ่งสิ่งในโลกมนุษย์ที่นางต้องฝืนใจแยกจากมา นั่นคือเทียนเฉี่ยว ดังนั้น เพราะว่านางไม่อาจจะเจอเทียนเฉี่ยวได้อีกตั้งแต่ตอนนั้น นางจึงแอบเสียใจอยู่ลึกๆ

 

 

อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดคิดว่าพวกนางทั้งสองจะได้พบกันอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่

 

 

หลังจากตามโม่เทียนเฉี่ยวไปที่ห้องหลังร้าน โม่เทียนเกอสำรวจสภาพรอบตัว มีลานขนาดเล็กที่ด้านหลังของห้องนี้ และแม้ว่าทุกอย่างจะถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ นางก็ยังเห็นได้ว่าเทียนเฉี่ยวและสามีของนางไม่ได้ร่ำรวยสักเท่าไหร่

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวเช็ดน้ำตาอีกครั้ง จากนั้นนางสำรวจดูรูปลักษณ์ของโม่เทียนเกอและถามด้วยความประหลาดใจ “เทียนเกอ ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้เล่า”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มเยาะตัวเองและพูดว่า “ข้าไม่มีทางเลือก โลกแห่งการฝึกตนก็เหมือนกับโลกมนุษย์ เป็นผู้ชายก็สบายกว่าหน่อย อย่างไรก็แล้วแต่ เจ้าควรบอกข้ามาก่อนว่าเจ้ามาที่คุนอู๋และ… แต่งงานกับผู้ฝึกตนได้อย่างไร”

 

 

นางยังจำได้ว่าอาอี๊ใหญ่เคยสั่งสอนเทียนเฉี่ยวราวกับเด็กหญิงจากตระกูลเศรษฐี หวังว่าเทียนเฉี่ยวจะได้แต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์ โม่เทียนเกอเองก็คิดมาตลอดว่าชีวิตของเทียนเฉี่ยวคงจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวหัวเราะหึๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

 

 

ปรากฏว่าการที่โม่เทียนเกอถูกพาตัวไปโดยผู้เป็นเซียนช่วยเปิดหูเปิดตาของโม่เทียนเฉี่ยวถึงการมีอยู่ของโลกใบนี้ และทำให้นางสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อนางอายุได้สิบหกปี ตระกูลโม่ได้จัดการงานแต่งงานระหว่างตัวนางกับคุณชายจากครอบครัวคนรวยในเมืองเฟยอวิ๋น นางไม่พอใจกับการจัดงานแต่งคลุมถุงชนนี้ เพราะว่า… คุณชายผู้นั้นเป็นแค่คนชั่วช้าจากครอบครัวคนรวย เขาไม่ชอบเรียนหนังสือหรือมีความสามารถที่จะทำธุรกิจได้ หนำซ้ำเขายังเป็นคนเจ้าชู้ ในเมื่อการต่อต้านและคัดค้านการแต่งงานของนางไม่เป็นผล นางจึงแอบหนีออกจากหมู่บ้านตระกูลโม่ อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิดว่าการหนีของนางจะทำให้นางบังเอิญไปเจอเข้ากับผู้ฝึกตนที่ผ่านมา

 

 

เพราะความเคารพที่ตระกูลโม่มีต่อผู้เป็นเซียน และยังเพราะว่าเทียนเฉี่ยวปฏิญาณว่านางจะไม่ยอมตกลงกับการแต่งงานคลุมถุงชนอีก เมื่อผู้ฝึกตนคนนั้นไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดจากการยกเลิกงานแต่งของเทียนเฉี่ยว ตระกูลโม่จึงยอมทำตามความปรารถนาของนางในท้ายที่สุด ในไม่ช้า ผู้ฝึกตนคนนั้นกำลังเตรียมตัวจะไปจากหมู่บ้านตระกูลโม่ เทียนเฉี่ยวผู้ซึ่งใฝ่ฝันถึงโลกแห่งการฝึกตนตั้งแต่แรกจึงตามเขาไปด้วย

 

 

เมื่อนางฟังเรื่องราวของเทียนเฉี่ยวจบ โม่เทียนเกอก็นิ่งเงียบ เดิมทีเทียนเฉี่ยวไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแพ้เมื่อเจอเคราะห์กรรม ไม่แปลกที่นางจะปฏิเสธการแต่งงานแบบคลุมถุงชน แต่สิ่งที่แปลกคือ เทียนเฉี่ยวจอมดื้อรั้นคนนั้นกลายมาเป็นเทียนเฉี่ยวคนปัจจุบันนี้ได้อย่างไร

 

 

เพราะอย่างนั้น โม่เทียนเกออดจะถามออกไปไม่ได้ว่า “เขาปฏิบัติกับเจ้าดีหรือเปล่า”

 

 

เทียนเฉี่ยวตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนางจึงพูดว่า “ในตอนแรกเขาดีกับข้ามาก… เราเดินทางไปทั่วในโลกมนุษย์ก่อนที่เราจะมาที่คุนอู๋ พ่อเขาก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกันแต่เขาเสียชีวิตในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เมื่อเรามาถึงคุนอู๋ เราจึงอาศัยพึ่งแต่งานฝีมือมรดกของตระกูลเขาเพื่อเปิดร้านค้าเล็กๆ ที่นี่ บางทีชีวิตประจำวันของเราอาจน่าเบื่อเกินไป หรือบางทีอาจเพราะการฝึกตนนั้นยากเกินไป เราค่อยๆ เมินเฉยกันไปทีละนิด…”

 

 

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าชีวิตแสนน่าเบื่อจะเปลี่ยนเทียนเฉี่ยวให้กลายเป็นเทียนเฉี่ยวคนปัจจุบันได้อย่างไร นางนึกไม่ออกเลยว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนและว่าง่ายคนนี้ที่จริงแล้วคือเทียนเฉี่ยวคนที่เคยชอบหัวเราะและเล่นสนุก

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวฝืนยิ้มและพูดว่า “อย่าพูดถึงแต่ข้าเลย แล้วเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ระดับการฝึกตนของเจ้าตอนนี้คงจะสูงมากเลยใช่หรือไม่ เมื่อวานตอนที่เจ้าแวะมา สามีข้าบอกว่าระดับการฝึกตนของเจ้าสูงกว่าเขามากนัก”

 

 

โม่เทียนเกอตอบ “ข้าเข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว แต่ยังไม่ได้โอกาสที่จะสร้างฐานแห่งพลัง ตอนนี้ข้าออกเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาชะตาลิขิต” นางไม่ได้บอกความจริงไม่ใช่เพื่อจะปิดบังความจริงจากเทียนเฉี่ยว แต่ปิดบังจากสามีของนางต่างหาก ขณะนี้นางยังไม่รู้นิสัยใจคอของเขาได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าถ้านางจะระวังตัวมากสักหน่อย

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการฝึกตนเหล่านี้มากนัก นางจึงถามเพียงว่า “ถ้าเข่นนั้น เจ้าเป็นอย่างไรบ้างในหลายปีมานี้”

 

 

“ปีที่ข้าออกจากหมู่บ้านตระกูลโม่ ข้าถูกพาไปหาท่านอาของข้า หลังจากนั้น ข้าตามท่านอารองออกเดินทางไปทั่ว ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ในที่สุดเราก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่หนึ่งและข้ายังได้เข้าสำนักอีกด้วย เนื่องจากท่านพ่อของข้าทิ้งของไว้ให้หลายอย่าง ข้าจึงโชคดีพอที่สามารถฝึกตนได้จนถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ…” โม่เทียนเกออธิบายประสบการณ์ต่างๆ ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้คร่าวๆ ไม่ได้พูดถึงบางเรื่องที่ค่อนข้างจะอธิบายยาก

 

 

พูดกันตามตรง นางไม่ได้มีความเห็นที่รู้สึกชื่นชอบอะไรต่อสามีของเทียนเฉี่ยว ดังนั้นนางจึงเก็บหลายๆ เรื่องไว้กับตัว เทียนเฉี่ยวที่เคยมีบุคลิกสดใสร่าเริงได้กลายมาเป็นสุภาพสตรีผู้อ่อนโยนคนนี้ คอยเฝ้าร้านค้าเล็กๆ อย่างขยันขันแข็ง และยอมลดตัวลงแค่เพื่อให้ได้ลูกค้า… หากโม่เทียนเกอไม่ได้ยืนยันด้วยตัวเองว่านี่คือเทียนเฉี่ยว นางก็คงจะไม่เชื่อแน่ๆ

 

 

แต่ความสงบสุขและความเต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ของเทียนเฉี่ยวแม้ว่านางจะถูกทำไม่ดีใส่ ก็ทำให้โม่เทียนเกอต้องสับสน ความรักสามารถเปลี่ยนคนผู้หนึ่งไปได้จริงหรือ