ตอนที่ 76 รำลึกความหลัง

ลำนำสตรียอดเซียน

เสียงดังขึ้นจากด้านนอก ไม่นานหลังจากนั้น ประตูที่เชื่อมกับร้านค้าก็เปิดออก ใครบางคนพูดด้วยเสียงเหนื่อยๆ “น้องพี่ ทำไมเจ้าถึงปิดประตูล่ะ”

 

 

เทียนเฉี่ยวรีบยืนขึ้นทันทีและพูดว่า “ท่านพี่ ข้า…”

 

 

นางไม่ทันได้มีโอกาสพูดอะไรเพราะผู้ฝึกตนผู้นั้นเข้ามาในห้องใหญ่แล้ว เมื่อเห็นโม่เทียนเกอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป สายตาของเขาจับจ้องไปมาระหว่างทั้งสองคนในห้อง ความเดือดดาลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา แต่เพราะระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอ เขาจึงรู้สึกกลัวและยั้งตัวเองไว้

 

 

โม่เทียนเกอเองก็รับรู้ว่าเขากำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา ทว่าเทียนเฉี่ยวพูดขัดขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ท่านจำที่ครั้งหนึ่งข้าเคยบอกท่านได้ไหมว่าข้ามีน้องสาวที่เป็นคนจากโลกแห่งการฝึกตนน่ะ”

 

 

ผู้ฝึกตนคนนั้นงุนงง เขาดูสับสนขณะที่เทียนเฉี่ยวยังพูดต่อไป “นี่เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าประหลาดใจมาก! คุนอู๋ออกจะกว้างใหญ่ แต่กระนั้นเราก็ยังมาบังเอิญเจอกันเข้าจนได้!”

 

 

ความหมายในคำพูดของนางชัดเจนมากอยู่แล้ว ในขณะที่ชายคนนั้นเปลี่ยนไปมองโม่เทียนเกอด้วยสายตาสงสัย เขาพูดว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่า…”

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวดึงมือโม่เทียนเกอมาและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่คือน้องสาวที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง”

 

 

“น้องสาวรึ” เขาจ้องมองผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้าเขา คนผู้นี้ดูไม่เหมือนผู้หญิงนี่…

 

 

พอเห็นความสงสัยของเขา โม่เทียนเกอจึงเป็นฝ่ายนำและยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพเขาพร้อมพูดว่า “ชื่อข้าคือโม่เทียนเกอ”

 

 

แม้ว่าชายคนนั้นจะรีบทำความเคารพกลับทันที แต่สายตาของเขายังคงมีความคลางแคลงใจ

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ เทียนเฉี่ยวจึงอธิบาย “ท่านพี่ เทียนเกอเพียงแค่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพราะว่ามันสะดวกสบายกว่า”

 

 

“อ้อ เข้าใจล่ะ…” เมื่อเขามองโม่เทียนเกออีกครั้ง เขาจึงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเสียมารยาทมาจนถึงตอนนี้ โปรดอย่าเก็บมาใส่ใจ ข้าคือสามีของเทียนเฉี่ยว เมิ่งซือกุย”

 

 

เมิ่งซือกุย? ชื่อเขาฟังดูซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ โม่เทียนเกอยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ข้าเองที่หยาบคาย”

 

 

หลังจากเห็นทั้งสองคนสุภาพต่อกัน ในที่สุดโม่เทียนเฉี่ยวจึงรู้สึกโล่งอก นางพูดว่า “ท่านพี่ อยู่เป็นเพื่อนเทียนเกอสักครู่หนึ่งนะ ข้าจะไปทำอาหารสักหน่อย”

 

 

เมิ่งซือกุยพยักหน้า “อืม วางใจได้”

 

 

จากนั้นเทียนเฉี่ยวจึงพูดกับเทียนเกอ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าผู้ฝึกตนไม่ชอบที่จะถูกแปดเปื้อนด้วยพลังวิญญาณของไฟที่มนุษย์ก่อขึ้น แต่ข้าคิดว่าคงจะเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าได้กินอาหารจากบ้านเกิดของเรา วันนี้เจ้าต้องกินเป็นเพื่อนข้านะ”

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้านอะไร นางพูดว่า “แน่นอน! ข้าคิดถึงอาหารพวกนั้นมาก”

 

 

เทียนเฉี่ยวยิ้มและพูดว่า “งั้นก็ดีเลย เจ้าคุยกับพี่เขยของเจ้าไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”

 

 

“ตกลง”

 

 

จากนั้นเทียนเฉี่ยวจึงเข้าครัว ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ในห้องใหญ่ เมิ่งซือกุยร้องเรียกออกมา “สหายนักพรตโม่ เชิญนั่งสิ” เพราะว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอสูงกว่าเขามากนัก เขาจึงรู้สึกกดดันเล็กน้อยเมื่อเขาอยู่ต่อหน้านางและไม่กล้าเรียกด้วยชื่อของนาง

 

 

ทั้งคู่นั่งลง โม่เทียนเกอพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านพี่เขย ในเมื่อท่านกับเทียนเฉี่ยวเป็นสามีภรรยากัน เราจึงถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านหาต้องเรียกข้าว่าสหายนักพรต เรียกชื่อข้าโดยตรงย่อมได้” ถึงแม้ว่านางจะยังไม่ไว้ใจเมิ่งซือกุยคนนี้ แต่นางก็ยินดีที่จะสนิทกับเขาให้มากขึ้นอีกนิดเพื่อนึกถึงความรู้สึกของเทียนเฉี่ยว

 

 

คำพูดนี้ทำให้เมิ่งซือกุยถอนหายใจอย่างโล่งอก ความแตกต่างระหว่างระดับห้าและระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน แม้ว่าในนามแล้วเขาจะเป็นพี่เขยของโม่เทียนเกอ แต่เขาก็ยังกังวลเล็กน้อยว่านางจะดูถูกเขา บัดนี้ที่นางลดความตึงเครียดลง เขาจึงค่อยคิดออกว่าจะพูดคุุยกับนางอย่างไรดี

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเริ่มจะทำการคิดคำนวณ น้องสาวของเทียนเฉี่ยวยังอายุน้อย แต่นางกลับอยู่ระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว หรือบางทีนางอาจจะมีใครคอยหนุนหลังหรือไม่ หากนางมีจริง ข้าก็อาจจะได้รับการสนับสนุนจากนาง…

 

 

เมิ่งซือกุยยิ้มและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอพูดตรงๆ” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ข้ายังไม่มีเวลาได้ถาม แต่เทียนเกอ ท่านทั้งสองคนจำกันได้อย่างไร”

 

 

โม่เทียนเกอตอบว่า “เมื่อข้ามาที่ร้านของท่านเมื่อวานนี้ ข้าก็มีความสงสัยบ้างอยู่ก่อนแล้วแต่ข้ายังไม่มั่นใจ พอวันนี้ข้าอดไม่ได้ที่จะต้องแวะมาอีกครั้ง ก็ต้องประหลาดใจเมื่อข้าถามนางถึงตัวตนของนาง นางเป็น… ที่จริงแล้วตัวข้าเองก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อ ทั้งๆ ที่คุนอู๋ออกจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่เราทั้งสองคนก็ยังสามารถบังเอิญเจอกันจนได้!”

 

 

“เมื่อวานหรือ” เมิ่งซือกุยตกตะลึงและมีสีหน้าประหลาดใจปรากฏบนใบหน้า “ที่แท้เมื่อวานท่านก็คือ…” ในสองวันที่ผ่านมา ร้านของพวกเขามีลูกค้าหลายคน นอกจากนี้ เมื่อวานโม่เทียนเกอยังปลอมตัวมาอีกด้วย เขาจึงไม่คาดคิดว่าจะเป็นนาง

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มและพยักหน้า “ข้าเอง”

 

 

เมิ่งซือกุยส่ายหน้า “ข้าไม่สามารถมองทะลุการปลอมตัวของท่านได้เลย”

 

 

“ข้าคงต้องร้องไห้แน่หากท่านพี่เขยมองออก ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ใช้ความพยายามอย่างมากไปกับการปลอมตัวเป็นชายเช่นนี้ ภายนอกนั้น การแสร้งว่าเป็นชายทำให้อะไรต่างๆ ง่ายขึ้นอีกนิด”

 

 

“นั่นก็จริง” เมิ่งซือกุยพูดพร้อมกับพยักหน้า “จิตใจมนุษย์นั้นช่างชั่วร้าย เราต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอด ถ้าการจัดการของตลาดนัดนี้ไม่เข้มงวดมาก ข้าก็คงไม่รู้สึกดีเช่นกันที่ต้องทิ้งเทียนเฉี่ยวไว้ข้างหลังเพื่อเฝ้าร้านทุกวัน”

 

 

คำพูดของเขาทำให้เขาดูค่อนข้างจริงใจกับเทียนเฉี่ยว แต่โชคร้าย ไม่ว่าคำพูดของเขาจะจริงใจหรือไม่ก็ยังคงน่าสงสัยอยู่ดี หลังจากแอบคิดเช่นนี้ในใจ โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “ท่านพี่เขย จากที่เทียนเฉี่ยวบอกข้า ท่านใช้ทักษะงานฝีมือที่ได้สืบทอดมาจากตระกูลของท่านเพื่อเปิดร้านนี้หรือ”

 

 

เมิ่งซือกุยหัวเราะเบาๆ และโบกมือ “ข้าก็แค่พยายามจะหาเลี้ยงชีพ” แล้วเขาก็ถอนใจก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่มีทักษะด้านอื่นๆ ความสามารถของข้าไม่ได้ดีนักและข้าก็ไม่มีกลุ่มให้พึ่งพาอาศัย เส้นทางของการฝึกตนนั้นยากที่จะเดินสำหรับตัวข้า เพราะอย่างนั้นข้าจึงจำเป็นต้องพาเทียนเฉี่ยวให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากอย่างนี้ ข้าทำให้นางผิดหวัง”

 

 

โม่เทียนเกอพูดปลอบใจ “ทำไมท่านพี่เขยถึงรู้สึกท้อแท้เล่า ท่านยังไม่แก่สักหน่อย ยังมีความหวังอยู่เสมอ”

 

 

เมิ่งซือกุยกล่าวว่า “ข้ารู้สถานการณ์ของตัวเองดี กำไรจากร้านค้าเล็กๆ ของข้ามีไม่เพียงพอ และเราก็ไม่สามารถจะหยุดพักได้แม้แต่วันเดียว ข้าไม่มีทั้งเวลาหรือศิลาวิญญาณ เมื่อเทียบกับเทียนเกอ สถานการณ์ของข้าช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “มันเกี่ยวกับโชคด้วย ที่จริงความสามารถของข้าก็แย่มาก”

 

 

“เช่นนั้นเหรือ” เมิ่งซือกุยเผยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจขณะที่เขาพูดว่า “เทียนเกอ ท่านยังเด็กนักแต่ท่านก็อยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว ท่านยังมีหวังในการเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร…”

 

 

“ข้ามีต้นทุนเป็นรากวิญญาณห้าธาตุ ทีนี้ท่านพี่เขยเชื่อข้าหรือยัง ข้าแค่โชคดีนิดหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนการสร้างฐานแห่งพลังของข้า พูดกันตามตรง ข้าไม่ได้คาดหวังมากนัก…”

 

 

เมื่อเทียนเฉี่ยวกลับมา นางเห็นทั้งสองคนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข ทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกตน เพราะฉะนั้นหัวข้อที่พวกเขาคุยกันเลยเป็นเรื่องของการฝึกตนไปโดยปริยาย เมิ่งซือกุยมีปัญหาบางอย่างในการฝึกตนที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อปรึกษาเรื่องพวกนั้น โม่เทียนเกอซึ่งสังเกตว่าเขาพูดจาค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ นางจึงเล่าให้เขาฟังถึงประสบการณ์ของนางอย่างใจเย็น

 

 

ความรู้เชิงลึกของเมิ่งซือกุยค่อนข้างดีและเขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าที่เขาติดขัดก็เพราะรากวิญญาณของเขาเท่านั้น

 

 

เทียนเฉี่ยวเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำอาหารมาด้วย นางวางชามก๋วยเตี๋ยวใบเล็กข้างหน้าโม่เทียนเกอ

 

 

โม่เทียนเกอพูดไม่ออก หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็ถอนใจออกมา ดูเหมือนว่านางกำลังรำลึกความหลังขณะที่พูดว่า “ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ…” นางจำได้ว่าตอนพวกนางยังเด็กและออกเดินทางไปข้างนอก พวกนางมักจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อในร้านแผงลอยเล็กๆ ในเมือง แค่ชามเดียวก็ไม่พอ แต่เพราะพวกนางต้องการจะเก็บท้องไว้กินอย่างอื่นบ้าง พวกนางจึงไม่กล้ากินชามที่สอง…

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวยิ้มสดใสให้โม่เทียนเกอ ดวงตาของนางเป็นประกาย “ข้าต้องใช้เวลานานเลยนะในการหัดทำ ลองชิมดูสิ!”

 

 

หลังจากชิมไปหนึ่งคำ โม่เทียนเกอก็พยักหน้าบอกว่า “อร่อย! เหมือนกับที่เราเคยกินเลย” อันที่จริง นางลืมไปนานแล้วว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสชาติเป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่นางอยู่ในหมู่บ้านตระกูลโม่กลายเป็นความทรงจำที่ไกลแสนไกล ไกลเสียจนนางมองข้ามความทรงจำพวกนั้นไปและค่อยๆ ลืมมันไปทีละน้อย อย่างไรก็ตาม นางยังไม่ลืมความรู้สึกที่นางมีเมื่อตอนนั้น เทียนเฉี่ยวเป็นคนเดียวที่จริงใจกับนางเมื่อนางอยู่ตัวคนเดียวและไม่มีใครให้พึ่งพา นั่นคือสิ่งที่นางยังจำได้เสมอ

 

 

หลังจากมื้ออาหารนี้จบลง พวกเขาก็พูดคุยกันอีกสักพักก่อนที่โม่เทียนเกอจะยืนขึ้นและบอกลา

 

 

โม่เทียนเฉี่ยวพูดบ่น “ในเมื่อเจ้าผ่านมาทางนี้ เจ้าน่าจะพักที่บ้านของข้าเสียเลย”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มและส่ายหน้า “เจ้าไม่มีห้องมากพอ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก คงจะดีกว่าถ้าเจ้าจะพักผ่อนหลายๆ วันก่อน จากนั้นค่อยมาที่โรงเตี๊ยมเราจะได้คุยกัน”

 

 

เทียนเฉี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดนางก็พยักหน้าและพูดว่า “ดีเหมือนกัน สามีข้าคงเข้าใจ”

 

 

ก่อนนางจะกลับ โม่เทียนเกอหยิบขวดหยกออกมาจากกระเป๋าเอกภพ “ตอนนี้ข้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาวิเศษพวกนี้ เจ้าควรรับไป”

 

 

เทียนเฉี่ยวตะลึง แต่นางก็ยืนกรานและดันขวดกลับไป “เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไร เราเป็นพี่น้องกันนะ ไม่ง่ายเลยที่เราจะได้มาเจอกันในแดนต่างบ้านต่างเมือง เป็นธรรมดาที่เราจะนัดพบกัน จะต้องพูดจาสุภาพมากมายไปเพื่ออะไรเล่า”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เจ้าจะเข้าใจเมื่อเจ้ากลับไปถามสามีของเจ้า ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว เท่าที่ข้ารู้ ยาวิเศษพวกนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแล้ว ข้าแค่แบ่งเพื่อให้มีพื้นที่ว่างเพิ่มเติม ถ้าเจ้าไม่รับไปข้าก็จะขายมันทิ้ง แต่ทำไมเราต้องปล่อยให้คนอื่นได้ประโยชน์ไปง่ายๆ ล่ะ อีกอย่าง มันก็เป็นเพียงแค่ยาวิเศษขวดหนึ่ง แต่เจ้ากลับทำท่าเสียเป็นทางการ เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไร”

 

 

“นี่…”

 

 

“รับไปเถอะ ให้ข้าได้ทำอะไรเพื่อเจ้าในฐานะน้องสาวบ้าง”

 

 

ท้ายที่สุดแล้วเทียนเฉี่ยวรู้สึกซาบซึ้งมาก นางพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ก็ได้ ข้ายอมเจ้า”

 

 

โม่เทียนเกอส่งขวดหยกไปให้ก่อนจะพูดว่า “มีโรงเตี๊ยมของครอบครัวสหายในเมืองนี้ เจ้าไปหาข้าที่นั่นได้ อ้อ ใช่สิ ชื่อที่ข้าใช้ในปัจจุบันคือเยี่ยเสี่ยวเทียน”