ขั้นตอนนี้ง่ายดายไม่ซับซ้อน พลทหารมีกำลังเหลือเฟือ ไม่นานก็สับเนื้อได้ละเอียด ต่อมาเป็นปัญหาในส่วนของเครื่องปรุง เมิ่งเชี่ยนโยวนำเครื่องปรุงเข้าไปผสมในเนื้อสัตว์ตามอัตราส่วนต่อหน้าของทุกคน แล้วให้พลทหารที่อยู่ข้างๆ จัดการผสมให้เข้ากัน จากนั้นเริ่มสอนพวกเขาถึงวิธีการยัดไส้ไส้กรอก

 

 

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด พลทหารแทบทุกคนต่างก็ทำให้ไส้กรอกเสียหายไปหมด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รีบร้อน อธิบายให้พวกเขาฟังซ้ำๆ อย่างอดทน

 

 

พวกพลทหารทำได้ไม่ดี ทุกคนต่างก็ร้อนใจจนเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้กำลังใจพวกเขาว่า “อย่าใจร้อน ค่อยๆ ทำ ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความอดทนเป็นหลัก ปล่อยใจให้สบาย ทำเหมือนกับการทำงานทั่วไป ไม่ช้าพวกเจ้าก็จะทำได้เอง”

 

 

บรรดาพลทหารต่างก็เชื่อฟังคำพูดของนาง สูดลมหายใจเข้าหลายเฮือก ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ จับจุดสำคัญได้ ในที่สุดก็ทำอันแรกได้สำเร็จ

 

 

พลทหารส่งเสียงโห่ร้องลั่นอย่างตื่นเต้นดีอกดีใจ ประหนึ่งว่าชนะสงครามอันยากลำบากเสียอย่างนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกดีใจ กำชับให้พวกเขาทำแบบนี้ต่อ แล้วก็ไปโรงหัตถกรรมอีกโรงหนึ่ง

 

 

สองพี่น้องยุ่งเสียจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ส่วนฉู่เหวินเจี๋ยกลับไปตรวจสอบดูโรงหัตถกรรมโรงหนึ่งแล้วก็ไปตรวจสอบโรงหัตถกรรมถัดไปอีก ตรวจสอบดูว่าเหล่าบรรดาพลทหารทำงานกันเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็เห็นว่าพวกเขาปักหลักทำงานได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยจึงวางใจได้

 

 

เวลาผ่านไปครึ่งค่อนเช้าแล้ว ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีก็สอนจนพวกเขาทำได้

 

 

ผู้หญิงที่ทำอาหารในโรงหัตถกรรมก็เดินพูดคุยหยอกล้อกันเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ว่าวันนี้มีคนกินข้าวเพิ่มขึ้นอีกมากกว่าเดิม จึงเดินเข้าไปหาผู้หญิงพวกนั้น บอกพวกนางว่าให้วันนี้พวกนางต้องทำงานเหนื่อยสักหน่อย ทำกับข้าวเพิ่มอีกหลายๆ หม้อใหญ่ วันพรุ่งนี้นางค่อยเรียกทุกคนเข้ามา และบอกพวกเขาว่าวันนี้ค่อนข้างเหนื่อย ทุกคนจะได้รับเงินค่าแรงเพิ่มอีกยี่สิบอีแปะ

 

 

ผู้หญิงจึงรู้สึกยินดี เร่งทำงานที่อยู่ในมือให้เสร็จ

 

 

เสี่ยวซือมาถึงหลังจากที่เปิดประตูโรงหัตถกรรมแล้ว พอเห็นว่าที่นี่มีคนมากมาย ก็ไปซื้อผักกับเนื้อสัตว์กลับมาก่อนที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะสั่งเสียอีก หลังจากที่เอาไว้ในโรงหัตถกรรมปริมาณมากพอแล้ว ก็เอาส่วนที่เหลือไปส่งหมู่บ้านที่อยู่นอกเมือง

 

 

ทุกอย่างจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ฉู่เหวินเจี๋ยตรวจสอบดูโรงหัตถกรรมแต่ละโรงเรียบร้อยแล้ว รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

 

 

หลังจากที่กล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีอีกครั้ง ก็เดินออกจากโรงหัตถกรรม บ่ายหน้าไปยังบ้านของเปาชิงเหอ ไปเยี่ยมเยียนสอบถามอาการบาดเจ็บของเปาอีฝาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนเห็นเขาเดินออกไปไกลแล้ว ก็กลับเข้ามาในโรงหัตถกรรมอีก มาสอนให้พวกพลทหารยัดไส้ไส้กรอกต่อ

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายวัน ยามเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวมารักษาอาการป่วยให้กับเฝิงจิ้งเหวิน ส่วนยามบ่ายก็ไปเฝ้าอยู่ที่โรงหัตถกรรม จนกระทั่งพวกพลทหารต่างก็ฝึกฝนจนชำนาญแล้ว จึงมีเวลาว่างอยู่บ้านปรุงยารักษารอยแผลเป็นให้แก่ร้านยาเต๋อเหริน

 

 

ครั้นแล้ววันนี้เอง หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จไปไม่นาน เฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้องก็ยังไม่มา กลับเป็นหวงฝู่อี้ที่ควบม้าเร็วมา กล่าวว่า “แม่นางเมิ่งขอรับ วันนี้พระชายาอ๋องกับซื่อจื่อจะไปเป็นแขกที่จวนแม่ทัพขอรับ ซื่อจื่อบอกว่าให้ท่านไปด้วยกัน จะได้ถือโอกาสปรึกษาหารือกันเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานของเขาด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รู้แล้ว ท่านกลับไปบอกอี้เซวียน ว่าข้าจะตามไปทันทีหลังจากที่รักษาให้ฮูหยินเหวินเสร็จแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ แล้วก็กลับจวนไปรายงาน

 

 

หลังจากที่รักษาให้กับเฝิงจิ้งเหวินเสร็จ ส่งพวกนางสองคนพี่น้องออกจากประตูจวน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ในห้อง แล้วก็ขึ้นรถม้านำชิงหลวนกับจู๋หลีทั้งสองคนมาถึงที่จวนอ๋องฉี

 

 

พระชายาฉีมองเห็นนางก็รู้สึกยินดียิ่งนัก สั่งให้หลิงหลงนำอาภรณ์ชุดตัวเองปักเย็บออกมา กล่าวว่า “หลายวันมานี้ว่างเหลือเกิน ข้าปักเย็บเสื้อให้เจ้าไว้ชุดหนึ่ง เจ้าลองสวมดูสิว่าพอดีตัวไหม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้บอกปัดแต่อย่างใด ถอดอาภรณ์ของตัวเองออกมาต่อหน้าพระชายาฉี แล้วก็ผลัดเปลี่ยนชุดที่นางทำ กล่าวชมเชยขึ้นว่า “พระชายาเพคะ ท่านช่างมีฝีมือดีจริงๆ อาภรณ์ชุดนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังพอดีเชียวเพคะ”

 

 

พระชายาฉีเองก็รู้สึกพอใจ บอกให้นางหมุนรอบให้ตนดู พยักหน้า “ไม่เลว ทีนี้ข้าก็พอจะมีรูปแบบอยู่ในใจบ้างแล้ว เสื้อผ้าชุดอื่นหลังจากนี้ก็คงจะทำได้เร็วขึ้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเคยบอกไปแล้วว่าตัวเองมีเสื้อผ้าอาภรณ์อยู่หลายชุด พระชายาฉีก็ยังดึงดันที่จะทำให้ตัวเองอีก นางก็ไม่กล้าปฏิเสธอีก กล่าวว่า “ถึงแม้สุขภาพของท่านจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องพักผ่อนให้มากดีกว่าเพคะ อาภรณ์ของหม่อมฉันไม่ต้องรีบร้อน”

 

 

พระชายาฉีโคลงศีรษะ “วางใจเถิด ข้าไม่ทำให้ตัวข้าเองเหนื่อยเกินไปหรอก ข้ายังต้องรักษาสุขภาพไว้รอเลี้ยงลูกให้พวกเจ้าอยู่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงเถือก หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาพอดี เผอิญได้ยินคำนั้นพอดี กล่าวอย่างมีความสุขว่า “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ท่านต้องรีบแข็งแรงโดยเร็ว อีกไม่นานก็จะถึงวันนั้นแล้ว”

 

 

พระชายาฉียิ่งตื่นเต้นดีใจ “ดีดีดี ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลอบขึงตามองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างขุ่นๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองนางกลับด้วยรอยยิ้มสดใส

 

 

จนเมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลงเสน่ห์เข้า รีบละสายตาตัวเองกลับมาทันที

 

 

“รถม้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์ เราไปกันเถอะ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า กำชับว่า “อย่าลืมเอาของที่ข้าเตรียมไว้ไปด้วย”

 

 

“สบายใจได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าให้คนรับใช้ย้ายขึ้นรถม้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดตกหล่นไปเลย”

 

 

“ที่บ้านท่านน้าเจ้าไม่มีคนอยู่ ถึงจะรู้ก่อนว่าเราจะไป แต่พวกคนรับใช้ชายหยาบกระด้างก็ไม่รู้ว่าควรต้องตระเตรียมสิ่งใดไว้ เราเตรียมของไว้ให้เรียบร้อย ถึงตอนนั้นพวกเขาจะได้ไม่ต้องมาพะวงไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร” พระชายาฉีเดินออกไปพร้อมกับพูดเรื่อยเปื่อย

 

 

ได้ยินนางพูด เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความรู้สึกแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยแววตาสงสัย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยขึ้นว่า “วันนี้ยามเที่ยงอาจจะต้องลำบากเจ้าแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้อธิบายอะไรไปมากกว่านั้น

 

 

ทุกคนเดินออกจากประตูไป พระชายาฉีกวักมือเรียกให้เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันเดียวกับตนเอง ส่วนหลิงหลง หวงฝู่อี้ ชิงหลวนกับจู๋หลีเดินตามมาติดๆ ที่ข้างรถม้าทั้งสองด้าน กัวเฟยกลับขับรถม้าตามอยู่ข้างหลัง

 

 

นานแล้วที่ไม่ได้กลับบ้านเดิม เห็นได้ชัดว่าพระชายาฉีรู้สึกตื่นเต้นยินดี ถามหลิงหลงตลอดว่าเดินทางถึงไหนแล้ว

 

 

การเฝ้าอยู่กับพระชายาฉี ภายนอกหวงฝู่อี้เซวียนทำตัวเหมือนกับว่ามีระเบียบ แต่ยามใดที่พระชายาฉีไม่ได้สนใจ เขาก็แอบจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้นิ้วชี้ลูบไล้ที่ฝ่ามือของนางไม่หยุด

 

 

เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปนัก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ดึงมือเขาออก ปล่อยให้เขาทำตามใจ

 

 

ไม่นานขบวนคนก็มาถึงหน้าประตูจวนแม่ทัพ

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยสวมอาภรณ์ชุดใหม่ที่พระชายาฉีทำให้ ยืนรอคอยอยู่ที่หน้าประตู ยังมีพ่อบ้านที่เสียแขนข้าหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ

 

 

รถม้าหยุดลง ฉู่เหวินเจี๋ยเดินเข้ามาเปิดม่านประตูรถม้าให้ด้วยตัวเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าเป็นคนแรก ร้องเรียกขึ้นว่า “ท่านน้า”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยตอบรับอย่างดีใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงจากรถม้า ทักทายเล็กน้อย แล้วก็หันกลับไปประคองพระชายาฉีลงจากรถม้าโดยมีหวงฝู่อี้เซวียนช่วยอีกด้าน

 

 

พ่อบ้านเดินเข้ามาคำนับพระชายาฉีอย่างตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูใหญ่”

 

 

พระชายาฉีพนักหน้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาค่อนข้างตื้นตันใจ “ลุงฝู ไม่เจอกันนานหลายปี ท่านยังแข็งแรงเหมือนเดิมเลย”

 

 

ลุงฝูกล่าวอย่างเคารพ “ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่ที่ให้ความสำคัญขอรับ ร่างกายของบ่าวชรายังรับใช้ท่านแม่ทัพได้อีกหลายปีอย่างไม่มีปัญหา ข้าได้ยินว่าคุณหนูใหญ่แข็งแรงขึ้นมากแล้ว วันนี้ได้เห็นแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บ่าวชรารู้สึกดีใจกับท่านเหลือเกิน”

 

 

“ข้าเองก็ไม่นึกว่าสุขภาพของข้าจะดีขึ้นได้ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณแม่นางเมิ่ง”

 

 

—————————-