ตอนที่ 112 จวนแม่ทัพที่แตกต่าง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

พูดจบก็แนะนำกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ท่านนี้ก็คือพ่อบ้านเก่าแก่ของบ้านเรา ลุงฝู ตอนที่ท่านพ่อข้ายังอยู่ก็อยู่ในจวนของพวกเราแล้ว เป็นคนที่เห็นเราสองคนพี่น้องมาตั้งแต่เด็กจนโต”

 

 

พูดจบก็กล่าวกับลุงฝูว่า “นี่ก็คือว่าพระชายาซื่อจื่อของเซวียนเอ๋อร์ที่ยังไม่ได้แต่งเข้าจวน เมิ่งเชี่ยนโยวแม่นางเมิ่ง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยอบกายลง กล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ลุงฝู”

 

 

ลุงฝูรีบยกมือขวาของตัวเองขึ้นโบกอย่างลนลาน “แม่นางเมิ่งอย่างเกรงใจเช่นนี้ บ่าวชราเป็นเพียงคนรับใช้ รับการคำนับจากแม่นางเมิ่งเช่นนี้ไม่ไหว”

 

 

พูดจบก็หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวถามขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านนี้ก็คือซื่อจื่อกระมัง ก่อนนี้สี่ปีบ่าวชราได้พบอย่างฉุกละหุกครั้งหนึ่ง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็กล่าวทักทายอย่างเคารพ “ลุงฝู”

 

 

ลุงฝูหัวเราะฮ่าๆ เป็นการตอบรับ กล่าวว่า “บ่าวชราขอกล่าวต้อนรับซื่อจื่อแล้ว”

 

 

พูดจบก็โค้งตัวลง กล่าวว่า “ข้างนอกอากาศเย็น คุณหนูใหญ่เข้าไปข้างในก่อนค่อยคุยกันเถิดขอรับ”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า เดินตรงเข้าไปข้างในจวน โดยไม่ต้องมีคนคอยประคอง ฉู่เหวินเจี๋ยเดินอยู่ด้านข้าง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังทั้งสองคนเข้าไป

 

 

ลุงฝูเดินตามเข้าไปเป็นลำดับสุดท้าย

 

 

พระชายาฉีเดินเข้าประตูจวน แต่กลับมีเพียงฉู่เหวินเจี๋ยกับพ่อบ้านชราสองคนที่ออกมาต้อนรับ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งรู้สึกแปลกใจ

 

 

ภายในจวนแม่ทัพค่อนข้างเงียบเหงา ตลอดทางที่เดินเข้ามานี้ แทบจะไม่เห็นคนรับใช้คอยดูแลเลย

 

 

ทุกคนเดินไปในจวนเข้าไปนั่งที่ห้องโถงรับรองแขก ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งคนให้ไปนำน้ำชามา พลันก็มีคนรับใช้ที่ไม่มีขาข้างหนึ่งยกน้ำชาร้อนๆ เอามาให้ หลังจากที่วางไว้ข้างหน้าของแต่ละคนอย่างนอบน้อม แล้วก็ถอยออกไป

 

 

พระชายาฉียกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มหลายอึก พักผ่อนให้สบายขึ้นบ้างแล้ว ก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “เหวินเจี๋ย แต่ก่อนข้าร่างกายอ่อนแอ มักจะนอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งปี หลายปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาจุดธูปให้ท่านพ่อท่านแม่ เจ้าพาข้าไปจุดธูปให้ท่านพ่อท่านแม่ทีเถอะ”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้นยืน

 

 

พระชายาฉีกล่าวว่า “เซวียนเอ๋อร์ ข้ากับท่านน้าของเจ้ามีเรื่องต้องคุยกับท่านตาท่านยายมากมาย เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก อยู่เป็นเพื่อนแม่นางเมิ่งเถอะ ถ้ารู้สึกเบื่อ ก็ให้ลุงฝูพาพวกเจ้าเดินเล่นภายในจวน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นยืน “ทราบแล้ว เสด็จแม่”

 

 

พระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยสองคนเดินออกไป

 

 

รอจนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเอ่ยถามข้อสงสัยของตัวเองขึ้นมา “ทำไมถึงไม่เห็นฮูหยินท่านแม่ทัพกับลูกหรือ?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอึ้ง ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ทราบหรือ? ว่าท่านน้าไม่ได้ออกเรือน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกตะลึง กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ข้าไม่รู้สิ ไม่มีใครบอกข้า”

 

 

“เจ้ามาถึงเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ข้ายังคิดว่าเจ้ารู้แล้วเสียอีก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกอะไรเจ้าโดยเฉพาะ ประหลาดใจแย่แล้วกระมัง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ค่อนข้างแปลกใจ ทำไมท่านแม่ทัพไม่ได้ออกเรือนหรือ เกิดอะไรขึ้น?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่นศีรษะ “ในตอนนั้นทหลังจากที่ท่านน้าทำตัวข้าหายไป ก็เป็นทุกข์จากการละอายใจ พอมีเวลาว่างก็จะออกไปตามหาข้า ไม่มีกะจิตกะใจมาคิดถึงเรื่องการแต่งงานของตัวเอง ต่อมาก็ได้แม่ทัพใหญ่ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทหาร ก็ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจไปใส่ใจเรื่องของตัวเองแล้ว ดังนั้นจึงได้ล่าช้ามาจนถึงป่านนี้”

 

 

“ฮ่องเต้ก็ยอมให้แม่ทัพฉู่ทำเช่นนี้ ไม่ได้ประทานงานแต่งงานให้หรือ?”

 

 

“ว่ากันว่าในตอนนั้น เสด็จลุงก็เอ่ยกับท่านน้าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกท่านน้าปฏิเสธไป บอกว่าถ้าหากตามหาข้าไม่เจอ เขาก็จะไม่ยอมแต่งงานไปชั่วชีวิต เสด็จแม่ก็ประชวรอิดๆ ออดๆ ตลอด จึงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องการแต่งงานของเขา ดังนั้นจึงปล่อยให้ล่าช้าไปเช่นนี้ สี่ปีก่อนกว่าจะตามหาข้าจนเจอ ก็ต้องมีเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาอีก ท่านน้าก็ต้องนำทัพออกไปรบ นั่นจึงต้องล่าช้าไปอีกสี่ปี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจทันที กล่าวว่า “มิน่าเล่าในจวนถึงไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ถึงท่านน้าจะอยู่ในเมืองหลวง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะพักอยู่ที่ค่ายทหาร กลับบ้านไม่บ่อยนัก ดังนั้นในบ้านจึงมีแต่พ่อบ้านชรากับคนที่ร่างกายไม่สมประกอบอีกไม่กี่คน คนเหล่านี้ก็เป็นพวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบ เป็นคนที่ไม่มีบ้านให้กลับ ท่านน้ารู้สึกว่าพวกเขาน่าสงสาร จึงให้พวกเขาคอยช่วยงานภายในจวนที่พอจะทำได้ เสด็จแม่บอกว่า คนที่อยู่ในจวนรวมทั้งเจ้านายและคนรับใช้ก็ยังไม่ถึงสิบคน”

 

 

“ก่อนหน้านี้หลายวันเสด็จแม่ยังบอกกับข้า ว่าหลายวันนี้ได้ไปหาเสด็จย่ามาครั้งหนึ่ง ดูว่ายังพอมีสตรีคนใดที่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับท่านน้าหรือไม่”

 

 

“ก่อนนี้หลายวัน ตอนที่ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาเมืองหลวงก็ดูผู้หญิงพวกนั้นกระตือรือร้น ท่าทางราวกับว่าอยากจะแต่งงานกับท่านแม่ทัพเหลือประมาณ หาคู่ที่เหมาะสมให้กับท่านแม่ทัพน่าจะไม่ยากกระมัง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “เรื่องการแต่งงานของท่านน้าพูดได้ยาก หากเป็นผู้หญิงชาวบ้าน ก็จะเป็นการดูหมิ่นเกียรติของเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าเสด็จแม่จะไม่ยินยอมเลย แม้แต่เสด็จลุงก็ไม่เห็นด้วย หากเป็นคู่ที่เหมาะสมทางด้านฐานะชาติตระกูล ท่านลุงก็มีอายุมากแล้ว หาคนที่เหมาะสมได้ยาก อายุน้อยเกินไป ท่านลุงก็ไม่เห็นด้วย”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยอายุสามสิบกว่าปีแล้ว หากจะพูดถึงการแต่งงานกับคนที่มีอายุเหมาะสมกันก็ยากจริงๆ ผู้หญิงในยุคสมัยนี้ โดยทั่วไปอายุสิบห้าสิบหกปีก็ออกเรือนกันแล้ว ไหนเลยจะมีกุลสตรีในห้องหอที่อายุสามสิบกว่าปีที่ยังไม่ออกเรือน ต่อให้มีจริงแล้วล่ะก็ จะต้องเป็นหญิงที่มีปัญหาหรือไม่ก็เป็นหญิงที่เคยออกเรือนมาก่อนแล้ว คนเช่นนั้นย่อมไม่เหมาะสมกับแม่ทัพใหญ่เป็นธรรมดา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ดังนั้นรู้จักกับฉู่เหวินเจี๋ยมานานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่ทราบจริงๆ ว่าเขายังไม่แต่งงาน ขนาดเหวินซื่อยังไม่ได้บอกนาง พอได้ยินที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี เงียบขรึมลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกละอายใจ ในตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะว่าต้องการตามหาตัวเองแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็คงจะแต่งงานไปแล้วไม่ต้องรอจนอายุล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่สุดท้ายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง

 

 

บรรยากาศภายในห้องเงียบเชียบสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวหยัดกายลุกขึ้น กล่าวว่า “ห้องครัวอยู่ที่ไหน? ไม่รู้ว่าพระชายากับแม่ทัพใหญ่จะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราสองคนก็อย่านั่งเฉยๆ เลย ไปทำกับข้าวอร่อยๆ ในห้องครัวสักสองสามอย่าง วันนี้เลี้ยงฉลองให้กับแม่ทัพใหญ่สักมื้อ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเองสี่ปีก่อนนั้นก็เคยมาที่จวนก่อนที่ฉู่เหวินเจี๋ยจะออกรบอย่างฉุกละหุก จึงไม่ค่อยคุ้นเคยภายในจวนนัก เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วลุกขึ้น

 

 

ทั้งสองคนเดินออกจากห้องโถงรับแขก

 

 

ลุงฝูยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องโถงรับแขกอย่างมีระเบียบ พอเห็นทั้งสองคนเดินออกมา จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเคารพ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ท่านทั้งสองต้องการสิ่งใดก็สั่งบ่าวชราก็พอแล้วขอรับ”

 

 

“ลุงฝู ห้องครัวอยู่ที่ไหน ข้ากับโยวเอ๋อร์ตั้งใจจะลงมือทำอาหารให้ท่านน้าได้ลองชิม” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว

 

 

ลุงฝูรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน “ซื่อจื่อ เรื่องนี้ทำไม่ได้นะขอรับ ท่านมีฐานะสูงส่ง จะทำงานหยาบเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านอยากจะกินอะไรก็บอกบ่าวชรา บ่าวชราจะให้คนไปสั่งซื้อมาจากเหลาจวี้เสียนก็ได้ขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ไม่ต้อง วันนี้ข้ากับโยวเอ๋อร์อยากจะกตัญญูบ้าง ท่านไม่ต้องห้ามพวกเราแล้ว พาพวกเราไปที่ห้องครัวก็พอ”

 

 

ลุงฝูโค้งตัวรับคำ “มีหลานอย่างซื่อจื่อ ถือเป็นวาสนาของท่านแม่ทัพแล้ว เชิญท่านทั้งสองตามบ่าวชราไปยังห้องครัวเถิด”

 

 

ลุงฝูนำทาง ทั้งสองคนเดินตามเขามุ่งหน้าไปยังห้องครัว

 

 

ชิงหลวนกับจู๋หลีทั้งสองคนเดินตามอยู่ด้านหลัง

 

 

ถึงแม้ภายในห้องครัวจะเงียบเหงา ไม่มีเงาของใครแม้แต่คนเดียวก็ตาม แต่กลับมีการจัดเก็บวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน

 

 

—————————-