ตอนที่ 234 แกะตัวอ้วนพี

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตอนนั้นที่จีเฉวียนอยู่ในแคว้นเหยียน ก็สนิทสนมกับราชครูของต้าโจวผู้นั้นเช่นนี้ 

 

 

ต่อมาเมื่อเขาครองราชย์แล้ว ในแคว้นต้าโจวก็มีแต่ข่าวลือเต็มไปหมดว่าเขาชอบบุรุษเพศ 

 

 

ข่าวลือนี้ที่จริงสะพัดไปไกลถึงต้าเหยียนแล้ว ตอนนั้นเหยียนหยุนถึงได้เข้าใจว่าสาเหตุที่จีเฉวียนรีๆ รอๆ ไม่ยอมรับปากเหยียนเฉียวหลัวก็เพราะว่าเขาชื่นชอบบุรุษนั่นเอง 

 

 

ตอนนี้พอเห็นสายตาของเขาที่จดจ้องมายังตนเอง ในใจของเหยียนหยุนก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา ก่อนหน้านี้ตนเองเคยกลั่นแกล้งจีเฉวียน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอาจจะอยากแก้แค้นตนเองจึงบังเกิดความคิดที่ไม่สมควรจะมีกับตนขึ้นมา 

 

 

อย่างเช่นกักขังเอาไว้ แล้วก็กระทำ…..กับเขาอย่างโหดๆ 

 

 

เพียงแค่คิด เหยียนหยุนก็รู้สึกขนลุกไปทั่วร่างแล้ว 

 

 

ดวงพักตร์ของเขายิ่งทียิ่งมีสีหน้าไม่น่าดู 

 

 

คำพูดที่พึ่งจะกล่าวออกไปเมื่อครู่ ก็พาลอยากจะเก็บคืนมาให้หมด 

 

 

เหยียนหยุนไม่คิดจะเจรจาท้าทายจีเฉวียนในตำหนักจิ่นซิ่วกงต่อไป เนื่องเพราะข้างกายก็ยังมีคนที่ปากมากอย่างตู๋กูเจวี๋ยอยู่อีกคน ต่อให้เขามีสิบปากก็คงไม่อาจเถียงสู้คนพวกนี้ได้ 

 

 

คิดได้ดังนั้นแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นมาถวายคำนับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

“ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่าได้ให้เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ทำลายมิตรภาพของสองแคว้น” 

 

 

ตรัสแล้ว เหยียนหยุนก็อำลาอย่างลวกๆ นำเหล่าผู้ติดตามออกไปจากตำหนักจิ่นซิ่วกง 

 

 

พอออกจากตำหนักจิ่นซิ่วกงมาได้เรียบร้อย เขาก็ค่อยรู้สึกว่าความกดดันคลายออกไป พอสูดลมหายใจเข้าไปใหม่อีกหลายๆ ครั้งจึงค่อยรู้สึกว่าสบายขึ้นมาก 

 

 

แม้จะเสด็จออกจากตำหนักจิ่นซิ่วกงไปได้ไกลหลายก้าวแล้ว เหยียนหยุนก็ยังกำหัตถ์เอาไว้แน่น 

 

 

“ฝ่าบาท” คนข้างกายเรียกอยู่หลายครั้งเหยียนหยุนก็ยังมิได้สนใจเขา 

 

 

เหยียนหยุนมองดูตำหนักจิ่นซิ่วกง แม้เป็นการมองเห็นเพียงประตูหน้าที่หนักและหนา แต่ว่าในความรู้สึกของเขาคล้ายกับว่ายังสามารถมองเห็นจีเฉวียนนั่งอยู่บนบัลลังค์อยู่เลย 

 

 

เขาหรี่เนตรลง ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ที่จีเฉวียนกลับมายังแคว้นต้าโจว ตนก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหากในภายหน้าเขาคิดจะรวบรวมแผ่นดินเป็นผืนเดียวกัน จีเฉวียนย่อมต่อเป็นหินขวางเท้าก้อนใหญ่อย่างแน่นอน 

 

 

ที่ตอนนั้นมิได้จัดการเขาให้จบสิ้นไป นับว่าเป็นความผิดพลาดที่สุดของตนจริงๆ 

 

 

ตอนนี้พระบิดาพระชนมายุมากแล้ว ฝ่ายต่างๆ ในแคว้นเหยียนต่างก็ไม่ยอมสงบเสงี่ยมอีกต่อไป หลายปีมานี้ พระบิดาทรงโปรดปรานองค์ชายน้อย ฐานะรัชทายาทของตนจึงไม่ค่อยมั่นคงสักเท่าไร 

 

 

หากว่าบุตรสาวคนเล็กที่พระบิดาทรงโปรดปรานมากที่สุดต้องมาตายในน้ำมือของจีเฉวียน 

 

 

เช่นนั้น…….ด้วยอุปนิสัยของพระบิดาจะต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ 

 

 

ถึงตอนนั้น เขาก็จะเสนอให้ไอ้เด็กอ่อนนั่นนำทัพมาด้วยตนเอง ส่วนตัวเขาก็จะนั่งดูอยู่ที่ต้าเหยียน คอยจับปลาที่เข้าอวนมา 

 

 

ส่วนจีเฉวียน รับรองว่าไม่มีทางได้อยู่สบายแน่ 

 

 

แผนนี้ช่างยอดเยี่ยม 

 

 

…………………… 

 

 

ภายในพระตำหนักจิ่นซิ่ว ดวงเนตรของฮ่องเต้มีแต่ความเย็นชา 

 

 

ริมพระโอษฐ์โค้งขึ้นมา แย้มสรวลออกมาชนิดที่ผู้คนต้องหวาดกลัว 

 

 

กระทั่งตู๋กูเจวี๋ยเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นไปด้วย 

 

 

หลี่กงกงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ่งรู้สึกขนลุกขนชันไปหมด ทุกครั้งที่ฝ่าบาททรงแย้มสรวลเช่นนี้ รับรองได้เลยว่าไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่นอน 

 

 

“ฝ่าบาทพะยะค่ะ สายพระเนตรที่ทรงทอดดูองค์รัชทายาทแคว้นเหยียนทำให้ผู้คนต้องรู้สึกขนลุก” ตู๋กูเจวี๋ยที่ไม่เคยกลัวตาย ก็มักจะหันตัวเข้าหาปากกระบอกปืนอยู่เสมอ 

 

 

จีเฉวียนกวาดพระเนตรมาทางเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “เวลาเห็นแกะตัวอ้วนพี เจ้าไม่รู้สึกถูกใจหรือไร?” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในสมองก็ครุ่นคิดขึ้นมาว่าจะต้องหาโอกาสบอกให้น้องเล็กไปให้ไกลจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ให้จงได้ 

 

 

ในท้องของเขามีแต่น้ำครำ ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นเป็นแกะอ้วนไปเสียหมด 

 

 

ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งก็อาจถูกเขากลืนลงไปโดยไม่คายกระดูกออกมา 

 

 

……………………………. 

 

 

ในตำหนักเย็น 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวพำนักอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง ยามนี้ซิวส่งข่าวเข้ามาแล้วว่า รัชทายาทเหยียนหยุนเสด็จมาขอไถ่ตัวนางด้วยพระองค์เอง 

 

 

เส้นผมของนางถูกเผาจนหงิกงอ ใบหน้าก็มีร่องรอยบาดแผลอยู่บ้าง ประกอบกับเรื่องที่ถูกขังอยู่แต่ในตำหนักเย็น ทำให้จิตใจของนางอ่อนล้าอย่างยิ่ง 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าในตำหนักเย็นนี้ยังมีคนบ้าอยู่อีกคนหนึ่ง 

 

 

คล้ายกับว่าเมื่อก่อนนางก็คือเต๋อเฟย ตอนนี้นางผ่ายผอมจนดูไม่เป็นผู้เป็นคน ไม่รู้ว่านางไปกินอะไรเข้าไป ฟันในปากกลายเป็นสีดำไปหมด ทั้งยังหลุดร่วงไปไม่น้อย 

 

 

ทั้งๆ ที่อายุก็ยังน้อยดังบุปผาดอกหนึ่ง แต่กลับมีเส้นผมขาวมากมายงอกขึ้นมา ดูราวกับเป็นคนที่ถูกสาปอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

คนบ้าคนหนึ่งวันๆ เป็นต้องเข้ามาก่อกวนนางอยู่หลายรอบ เหยียนเฉียวหลัวชักจะกลัวว่าตนเองจะถูกนางรังควาญจนเป็นบ้าขึ้นมาบ้าง 

 

 

ยังดีที่ในที่สุดแคว้นเหยียนก็ส่งคนมาช่วยเหลือนางแล้ว นางเกรงว่าตนเองจะอดทนไม่ไหวเปิดเผยฐานะอีกด้านหนึ่งของตนเองออกไป เช่นนั้นก็คงจะยุ่งยากมากแล้ว 

 

 

ยังดีที่ อย่างไรเสียนางก็คือธิดาคนโปรดของพระบิดา จึงได้มีรับสั่งให้รัชทายาทเสด็จมาไถ่ตัวนางด้วยพระองค์เอง 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวนั่งอยู่บนระเบียงด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายขึ้นมาก 

 

 

“องค์หญิงพะยะค่ะ รัชทายาทและพระองค์มิได้มีพระมารดาร่วมกัน เกรงว่าที่เสด็จมาไถ่ตัวพระองค์ในคราวนี้ก็คงจะไม่เรียบง่ายอย่างแน่นอน” ในมือของนางมีเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ แผ่นหนึ่ง นี่เป็นข่าวที่ซิวส่งเข้ามา 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวฉีกทิ้งในทันที แล้วโยนทิ้งไปข้างต้นไม้ที่เ**่ยวตายต้นหนึ่ง 

 

 

นางไม่เคยสนอกสนใจเหยียนหยุนสักเท่าไร ในสายตาและหัวใจของนางจะมีก็แต่จีเฉวียนเท่านั้น 

 

 

นางจะต้องทำให้จีเฉวียนสำนึกเสียใจที่ทำกับนางเช่นนี้ นางจะต้องกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของตู๋กูซิงหลันออกมาให้ได้! 

 

 

ในชาตินี้ มิว่าจะต้องใช้ฝีมือเช่นไร นางก็จะต้องได้ตัวจีเฉวียนมาครอง! 

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่คนอย่างนางเหยียนเฉียวหลัวต้องการไม่มีคำว่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือคนก็ตาม! 

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมา มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีแต่ดาววิบวับอยู่ไม่กี่ดวง 

 

 

รอให้นางได้ตัวจีเฉวียนมาแล้ว จะต้องกำราบเขาให้อยู่หมัด ให้เขาต้องวิงวอนร้องขอความเมตตาอย่างเชื่องๆ อยู่ข้างกายนางอย่างเชื่อฟังไปตลอดกาล 

 

 

คิดถึงตรงนี้ นางก็กลับเข้าไปในเรือนในตำหนักเย็นอีกครั้ง 

 

 

นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงที่ว่างเปล่า กัดปลายนิ้วจนเป็นแผล ใจกลางฝ่ามือก็ปรากฎไอสีดำออกมา 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง หยดเลือดบนปลายนิ้วกับไอสีดำนั้นก็ผสมเข้าด้วยกัน หลอมรวมจนกลายเป็นไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่ง 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวกำเอาไว้ในกลางฝ่ามือ ดวงตาของนางฉายประกายโหดเ**้ยม 

 

 

นางไม่เคยงอมือนั่งรอความตายมาก่อน ไข่มุกที่เกิดจากไอดำและหยดเลือดของนางนี้ เฮอะ…. 

 

 

ขณะที่เหยียนเฉียวหลัวพึ่งจะเก็บมุกดำเข้าไป ก็ได้ยินเสียงกระเบื้องหลังคาแตก 

 

 

นางตื่นตัวจนลุกขึ้นยืน 

 

 

ทันใดนั้นเอง ก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งพลิกตัวผ่านหน้าต่างเข้ามา 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวยืนหลบอยู่ด้านหนึ่ง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตัว 

 

 

รอจนมองเห็นเงาร่างของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ดวงเนตรของนางถึงได้สว่างวาบขึ้นมา “เด็จพี่รัชทายาท?” 

 

 

“เฉียวหลัว” เหยียนหยุนเรียกนางครั้งหนึ่ง เขากวาดเนตรมองดูนางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “เจ้ามาถึงต้าโจวได้เพียงสิบกว่าวัน ก็กลายเป็นสถาพเช่นนี้เสียแล้ว?” 

 

 

แม้ว่าเหยียนเฉียวหลัวมิได้สนิทสนมกับเขาสักเท่าไร แต่จะอย่างไรก็มีความผูกพันทางสายเลือดอยู่ เมื่อได้ยินเขากล่าวอย่างห่วงใยในใจก็เกิดความซาบซึ้งขึ้นมาไม่น้อย 

 

 

“เด็จพี่รัชทายาทเพคะ เมื่อไหร่จะทรงพาข้าไปจากที่นี่?” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวเดินไปที่ข้างกายเขา ดวงตาเป็นประกาย “ข้าอยู่ที่นี่ลำบากเหลือเกิน ท่านก็รู้ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็ไม่เคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้มาก่อนเลย” 

 

 

เหยียนหยุนยกมือขึ้นมาตบบ่าของนาง “ข้ารู้ ช่วงนี้เจ้าต้องลำบากแล้ว” 

 

 

“หากว่ามิใช่เพราะจีเฉวียน เจ้าคงไม่ตกระกำลำบากเช่นนี้” 

 

 

“วันนี้ข้าได้พูดคุยกับเขาแล้ว ที่จริงพระบิดาทรงยินยอมยกดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงให้เขาเพื่อไถ่ตัวเจ้าแล้ว แต่ว่าเขากลับเปลี่ยนแปลงข้อแม้ในทันที ไม่เพียงต้องการดินแดนสามเหลี่ยมจุดนั้น แต่ต้องการเขตแดนเหยียนตง (ชายแดนนทิศตะวันออก) ทั้งหมดของพวกเราจึงจะยอมปล่อยเจ้าไป” 

 

 

“ความทะเยอทะยานของจีเฉวียนช่างโจ่งแจ้งนัก น่าเสียดายที่เจ้าทำเพื่อเขาไปตั้งมากมาย แต่พอถึงตอนสุดท้ายเขากลับเห็นเจ้าเป็นแค่เพียงตัวหมากที่เอาไว้ต่อรองกับพระบิดาเท่านั้น บุรุษเช่นนี้ เจ้ายังจะไม่ชิงชังอีกหรือ?” 

 

 

เหยียนหยุนกล่าวแล้วก็ตบบ่านางอีกครั้ง “เฮ่อ เมื่อวานข้ายังได้ยินข่าวมาอีกว่า เขาพึ่งรับคนโปรดคนใหม่ ถึงขนาดให้อยู่ในตำหนักตี้หัวกงทั้งวันทั้งคืน ฟังว่าแม้แต่อาหารการกินก็ยังให้ส่งเข้าไปปรนเปรอด้วยตนเอง เฉียวหลัว เจ้าทำเพื่อเขามากมายเขากลับไม่ได้คำนึงถึงเจ้าเลยแม้สักนิด แต่กลับปฎิบัติต่อคนใหม่เช่นนี้ พี่ชายปวดใจแทนเจ้านัก” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

คุยกันนิดนึง: 

 

 

เหยียนหยุน: ที่ผ่านมาเคยเห็นแต่บ่าวช่างยุ งานที่เฉียวหลัวเจอเด็จพี่หยุนยุให้รำ ตำให้แหลกแน่ๆ จ้า