ตอนที่ 235 รอเดี๋ยวกลับมาแล้วเราจะให้เจ้ากอด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“ตัวโปรดคนใหม่?” เหยียนเฉียวหลัวขมวดคิ้ว ในสมองก็บังเกิดเงาของคนผู้หนึ่งขึ้นมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน? 

 

 

คืนนั้นเขาไม่เพียงแต่ช่วยนางเอาไว้ แต่ยังพานางกลับไปตำหนักตี้หัวกงด้วย? 

 

 

ปิดบังผู้คนทั้งหมด โปรดปรานกันทั้งคืน! 

 

 

“เฉียวหลัว บอกพี่ชายมาเถอะ เจ้าไม่จำเป็นจะต้องได้ตัวจีเฉวียนได้หรือไม่?” เหยียนหยุนเห็นนางท่าทางใจลอยออกไปเช่นนั้น ก็ถามไถ่ด้วยความห่วงใย 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวเงยหน้ามองดูเขาครั้งหนึ่ง “ตั้งแต่ตอนที่ข้าอายุสิบสามก็ชอบจีเฉวียนเข้าแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยแปรเปลี่ยน นอกจากเขาแล้วข้ายังจะต้องการใครอีก?” 

 

 

เหยียนหยุนเห็นนางแสดงออกอย่างจริงใจ แววตาก็ปรากฎ ‘ความเห็นใจ’ ออกมา “ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ พี่ชายไม่เพียงแต่จะเห็นใจ แต่ว่าสิ่งใดที่สามารถจะช่วยเหลือเจ้าได้ก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่” 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “เด็จพี่รัชทายาท ตั้งแต่เด็กท่านก็เอ็นดูข้ามาตลอด ตอนนี้ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ใช่ว่ามีวิธีดีๆ ใดบ้างหรือไม่เพคะ?” 

 

 

“พี่ชายย่อมต้องสนับสนุนเจ้าอยู่แล้ว” 

 

 

………………….. 

 

 

ตกดึก ในพระตำหนักตี้หัว ณ ห้องพระอักษร 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันได้รับบาดเจ็บ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ก็ถูกย้ายมายังห้องข้างห้องบรรทมแล้ว 

 

 

ทั้งยังเจาะช่องบนกำแพงที่ตรงกับพระแท่นบรรทมขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ฝ่าบาททรงสามารถสอดส่องความเคลื่อนไหวในห้องบรรทมได้อย่างสะดวกทุกเมื่อ 

 

 

นับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ ทุกวันนี้ไทเฮาน้อยก็เปลี่ยนเป็นว่าง่ายขึ้นมา ภายใต้สายพระเนตรของฝ่าบาท ทุกวันนางตื่นยามอาทิตย์ขึ้น พักผ่อนเข้านอนยามดวงอาทิตย์ตก 

 

 

ยามนี้ ฮ่องเต้พึ่งจะทรงชำระฏีกาทั้งหลายเสร็จสิ้น จากช่องเล็กๆ บนกำแพงมองเข้าไปก็สามารถเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท ขนตางอนยาวถูกแสงเทียนสีส้มฉาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงส้มจางๆ 

 

 

เขาเฝ้าดูนางหลับติดต่อกันมาห้าวัน ทุกวันหลังเลิกประชุมเช้าก็จะตรงกลับมายังพระตำหนักตี้หัวกง พอได้เห็นนาง ในพระทัยก็บังเกิดความพึงพอใจเปี่ยมล้น 

 

 

ที่ผ่านมาพระองค์ทรงบรรทมได้ไม่สนิทนัก แต่พูดไปแล้วก็แปลก นับตั้งแต่ที่ไทเฮาน้อยหลับอยู่ด้านข้าง พระองค์ก็สามารถหลับได้สนิทกว่าเดิม 

 

 

มุมพระโอษฐ์ของจีเฉวียนยกยิ้มขึ้นมา ดวงเนตรหงส์เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน 

 

 

สักวันหนึ่งในไม่ช้าก็เร็ว นางจะต้องยอมรับเขา 

 

 

“ครืน เปรี๊ยง เปรี๊ยงงง!” ขณะที่กำลังคิดอยู่ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องขึ้นมา สายฟ้าฟาดท่ามกลางคืนที่มืดมิด ดูแล้วน่าหวาดกลัว 

 

 

ห้องพระอักษรไม่ได้ปิดหน้าต่าง สายฟ้านั่นพาดผ่านหน้าไป ทำให้ต้นดอกกุ้ยในพระตำหนักติดไฟขึ้นมาในทันที 

 

 

ผู้คนในตำหนักแตกตื่นขึ้นมารีบเข้าไปดับไฟกันใหญ่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมา นางหันศีรษะอออกไปมอง พอเห็นสายฟ้าฟาดที่พาดผ่านอยู่นอกห้อง ดวงตาดอกท้อก็หรี่ลง 

 

 

ฟ้าผ่าท่ามกลางท้องฟ้าที่กระจ่างใส นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องดีสักเท่าไร 

 

 

“ในวังยังมีตัวประหลาดอันใดอีกหรือไม่?” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายนาง “น่าเสียดายครั้งก่อนเจ้าได้สูญเสียพลังของหยกสรรพชีวิตไปแล้ว ต้องสูญเสียเศษของหยกสรรพชีวิตไปแม้จะนับว่าน่าเสียดาย 

 

 

แต่หากว่าเปรียบเทียบกับปล่อยให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ นี่ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร 

 

 

นั่นเป็นเพียงแค่เศษชิ้นหนึ่ง ในแผ่นดินของโลกใบนี้ยังจะต้องมีเศษเสี้ยวชิ้นอื่นๆ ของหยกอีกเป็นแน่ ชาติก่อนของนางคือเจ้าของหยกสรรพชีวิต หากว่าอีกหน่อยได้มีโอกาสพบเจออีก ก็ยังสามารถรวบรวมกลับมาได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งพิงอยู่บนเบาะนุ่ม ถึงแม้ว่าในร่างของจีเฉวียนจะเปี่ยมไปด้วยไอหยิน แต่ว่าในตำหนักตี้หัวกลับมีไอมังกรเข้มข้นอยู่ตลอด นางรักษาตนอยู่ที่นี่จึงนับว่าเหมาะสมอย่างที่สุด ประกอบกับก่อนหน้านี้เขาได้ให้นางกินยาไปเม็ดหนึ่ง ตลอดหลายวันนี้ก็คอยบำรุงอยู่มิได้ขาด ร่างกายจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว 

 

 

ไม่เพียงแต่ฟื้นฟู แต่ว่ายังอ้วนขึ้นด้วย 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะดวงจิตที่ได้รับความเสียหาย ทำให้กลายเป็นว่านางมีโรคภัยติดตัว อ้วนขึ้นง่ายมาก 

 

 

เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ขอบเอวก็หนาขึ้นมารอบหนึ่ง คางแทบจะกลายเป็นสองชั้นไปแล้ว 

 

 

แม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะมิได้ส่องกระจกมาหลายวัน ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง 

 

 

นางมองไปที่นอกหน้าต่าง ไม่ทันรอให้สายฟ้าฟาดลงมาเป็นรอบที่สอง ก็เห็นฮ่องเต้วิ่งเข้ามาจากห้องอักษรด้านข้างด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า 

 

 

พระองค์เสด็จมาถึงข้างเตียง ยื่นพระหัตถ์คว้าตัวตู๋กูซิงหลันเข้าไปไว้ในอ้อมพระอุระทันที 

 

 

จากนั้นค่อยตบหลังให้นางเบาๆ ราวกับว่ากำลังโอ๋เด็กน้อย ตรัสอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ต้องกลัว” 

 

 

จนผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงได้ปล่อยตัวนาง เห็นนางยังอยู่ในความมึนงงก็เคาะเบาๆ ที่หน้าผากของนางอีกครั้ง “ต่อไปเวลากลัวฟ้าผ่า เจ้าก็หลบเข้ามาในอกเรา” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันงงงันเป็นรอบสอง ขอถามหน่อยที่ว่านางกลัวฟ้าผ่านี่เขาไปเอามาจากไหน? 

 

 

ก็เพียงแค่รู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีอะไรไม่ดีสักหน่อยเท่านั้น 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยเสียว่าท่าทางงุนงงของนางนี้ก็คือความตื่นกลัว เขาเข้าใจมาตลอดว่าตู๋กูซิงหลันไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางกลัวบางสิ่ง 

 

 

หากมิใช่ว่านางกลัวสายฟ้า ก็คงจะไม่ตกใจตื่นขึ้นมา ยิ่งไม่มีทางนิ่งงันไม่ขยับเป็นท่อนไม้เช่นนี้ 

 

 

ซุนต้มยาเคยบอกไว้ พวกสตรีหวาดกลัวฟ้าผ่า นับว่าไม่ได้หลอกลวงพระองค์จริงๆ 

 

 

“หากว่าเจ้าไม่ยินดีเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถ้าเช่นนั้นเราจะยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบเข้าไปให้เจ้ากอดก่อนก็ได้” จีเฉวียนทรงยอมทิ้งทิฐิ 

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็ยื่นพระหัตถ์ขึ้นมาลูบใบหน้าของตู๋กูซิงหลันเบาๆ 

 

 

อืม ตอนนี้ค่อยมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง นุ่มจริง ให้สัมผัสในมือที่ดีมาก 

 

 

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าที่แท้พระองค์ทรงเลี้ยงดูคนได้ดีไม่เลวเลย ดูสิก่อนหน้านี้นางผ่ายผอมขนาดไหนกัน ลมพัดมาก็คงถูกหอบจนปลิวไปแล้ว 

 

 

ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว มีเนื้อสักหน่อยจึงจะน่ารัก 

 

 

เห็นใบหน้าขาวๆ นุ่มๆ ของนางพระองค์ก็อดไม่ได้อยากจะจูบลงไปในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนไหวไม่หยุด ราวกับว่ากำลังดื่มน้ำอยู่ 

 

 

“เอาละโว้ย คงไม่ใช่ว่าเขาคิดจะเลี้ยงดูเจ้าจนอ้วน แล้วค่อยต้มกินละมั้ง?” วิญญาณทมิฬกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที ข้าเคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนมีฮ่องเต้วิปริตผู้หนึ่ง ชอบกินเนื้อสาวงาม” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” เจ้าวิญญาณทมิฬนี่มันสมองระเบิดกระจายขึ้นฟ้าไปแล้วหรือยังไง 

 

 

ช่วงนี้นางก็แค่บำรุงให้กลับไปเป็นอย่างเดิมเท่านั้นเอง 

 

 

จีเฉวียนจดจ้องมองดูนาง หักห้ามความพลุ่งพล่านเอาไว้ เปลี่ยนเป็นใช้สองพระหัตถ์จับใบหน้าของนางเอาไว้ แล้วหยิกลงไปแรงๆ ครั้งหนึ่ง 

 

 

ใบหน้าซาลาเปาที่อยู่ในมือให้ความรู้สึกดีเยี่ยมไปเลย 

 

 

ทันใดนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยได้ จะต้องเลี้ยงดูนางให้มีเนื้อสักหน่อย อย่างนี้ต่อไปเวลากอดนอนจะได้นุ่มมือ 

 

 

“ครืน เปรี้ยง เปรี้ยง!” ความคิดสกปรกของฝ่าบาทพึ่งจะก่อตัวขึ้นในสมอง ในท้องฟ้าก็ปรากฎสายฟ้าฟาดขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของหลี่กงกงวิ่งเข้ามากราบทูลอย่างรีบร้อนปานไฟลน “ฝ่าบาท แย่แล้วพะยะค่ะ รัชทายาทแคว้นเหยียน……เกิดเรื่องแล้ว!” 

 

 

“รัชทายาทแคว้นเหยียน?” สีพระพักตร์จีเฉวียนยังคงเย็นชา ดวงเนตรหงส์คู่นั้นสาดประกายเย็นยะเยือกออกมา 

 

 

อ้อ สองหัตถ์ที่ประคองใบหน้าของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ยังคงไม่ยอมปล่อย 

 

 

“ตำ….ตำหนักเย็น……รัชทายาทแคว้นเหยียนถูกธนู ปักเข้ากลางอก!” น้ำเสียงของหลี่กงกงถึงกับสั่นสะท้าน 

 

 

ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงรัชทายาทแคว้นเหยียน พึ่งจะมาถึงวังหลวงของต้าโจวก็กลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว……. 

 

 

พวกเขากักตัวองค์หญิงแคว้นเหยียนเอาไว้แล้วคนหนึ่ง หากว่ารัชทายาทแคว้นเหยียนเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน? 

 

 

หลี่กงกงเพียงคิดอย่างคร่าวๆ ในสมองก็เห็นผลที่ย่ำแย่ออกมา 

 

 

จีเฉวียนมิได้แตกตื่น ผ่านไปพักหนึ่งพระองค์ถึงได้ทรงปล่อยใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ประทับยืนขึ้นมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดจะลุกขึ้น กลับถูกจีเฉวียนกดลงไป “เจ้ารออยู่ที่นี่ อีกประเดี๋ยวเราจะกลับมา” 

 

 

หลังจับนางซุกกลับลงไปในเตียง ช่วยเก็บมุมผ้าห่มให้นางจนเรียบร้อย “หากว่ายังกลัวฟ้าผ่าอยู่ ก็ซุกอยู่ในผ้าห่มเสีย คลุมให้มิดชิด รอเรากลับมาให้เจ้ากอด” 

 

 

ว่าแล้ว พระองค์ก็ไม่ลืมใช้ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตลูบศีรษะนาง “เด็กดี~”