ตอนที่ 1,735 : แดนลับเซียน!
หากเป็นปกติหลังได้กล่าววาจาหยามเหยียดออกมาแล้ว เหวินเยี่ยนคงรีบจากไปทันทีเพราะกริ่งเกรงก่านหรูเยีย่นจะมีโทสะลงมือทำร้ายนาง
ทว่าวันนี้นางกลับไม่รีบร้อนจากไปแต่เลือกจะมองจ้องก่านหรูเยี่ยนด้วยความสะใจแทน เพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากรองจ้าวหอคุมกฏเจี่ยงชิน! พลังฝีมือตกลงไปมาก!!
“พี่สาว!”
สื่อเอ๋อเร่งเหินร่างออกไปประคองก่านหรูเยี่ยนที่ลอยเซกลางหาวเอาไว้ในอ้อมแขน สีหน้าแววตานางเป็นกังวลนัก
นางกังวลกับซือหลิงและเค่อเอ๋อไม่น้อย ยังร้อนใจกับสถานการณ์ของพี่สาวนัก!
อนิจจานางทำอะไรไม่ได้เลย เพราะพลังฝึกปรืออ่อนด้อยเกินไป
“เหวินเยี่ยนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้าก่านหรูเยี่ยนจักจำเอาไว้มิมีวันลืม! เจ้าจงภาวนาเสียเถอะว่าขอให้วันหน้าอย่าได้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้า หาไม่แล้วข้าจะให้เจ้าตาย!!”
ก่านหรูเยี่ยนตะคอกเสียงกล่าว มองเหวินเยี่ยนด้วยสายตาเยียบเย็น
นางคิดว่า ที่ๆอันตรายที่สุดสมควรเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุด แต่นางไม่คิดเลยจริงๆว่าเหวินเยี่ยนจะใช้เวลาไปถึง 2 ปีเต็มเพื่อตรวจสอบเรื่องราว ก่อนที่จะรายงานไปยังหอคุมกฏ และทั้งหมดเป็นเพราะความแค้นส่วนตัว!
ก่อนหน้านี้ไฉนนางไม่เคยเห็นเลยว่าความเกลียดชังของเหวินเยี่ยนจะฝังลึกขนาดนี้!?
กลับทุ่มเทเวลาสืบเสาะอยู่ถึง 2 ปี…เว้นแต่จะแค้นเข้ากระดูกดำ ไหนเลยจะมีใครยอมเสียเวลาเช่นนี้เพื่อสะกดรอยตามคนๆหนึ่ง?
หากนางรู้ว่าเหวินเยี่ยนเป็นถึงขนาดนี้ นางจะไม่มีวันพาน้องสาวกลับมาลัทธิบูชาไฟเด็ดขาด!
พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจก่านหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะปวดแปลบ ครั้งนี้เสมือนนางฆ่าน้องสาวกับหลานทางอ้อมแล้วจริงๆ
“ฮ่าๆๆๆ…!!”
หลังได้ยินวาจาขู่ข่มของก่านหรูเยี่ยน เหวินเยี่ยนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ค่อยกล่าวเย้ยทิ้งท้าย “ก่านหรูเยี่ยน ลำพังเจ้าตอนนี้ยังเอาตัวเองมิรอด ยังคิดว่าจะล้างแค้นข้าได้หรือ? ช่างไร้เดียงสานัก! แต่เอาเถอะข้าจะเฝ้ารอ…วันที่มิมีทางมาถึงนั่นแล้วกัน..”
กล่าวสิ้นคำ เหวินเยี่ยนก็เหินร่างจากไปทันที
“พี่สาวตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี พี่สาวเค่อเอ๋อกับซือหลิงต้องตายแน่!”
สื่อเอ๋อดูเป็นกังวลไม่น้อย
“ข้ามิคิดเลยว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขนาดนี้…หากข้ารู้ว่าเหวินเยี่ยนเก็บงำความแค้นที่มีต่อข้าไว้มากมายขนาดนี้ ข้าคงฆ่านางทิ้งไปนานแล้ว! อนิจจาตอนนี้เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราได้แต่แก้ปัญหาไปทีละอย่าง…ข้าไม่มีวันยอมให้เค่อเอ๋อเป็นอะไรไปแน่ ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว!”
ในแววตาของก่านหรูเยี่ยนเผยประกายสว่างวาบขึ้นมา “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะย้อนกลับไปยังตระกูลเพื่อบอกท่านแม่กับคนอื่นๆเรื่องเค่อเอ๋อ…หลังจากนั้นข้าจะไปหาท่านอาจารย์และหวังว่าท่านอาจารย์จะช่วยปกป้องเค่อเอ๋อได้”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก่านหรูเยี่ยนก็ออกจากลัทธิบูชาไฟ มุ่งหน้ากลับตระกูลของนางทันที
ตระกูลก่านของนางเป็นเพียงขุมพลังชั้น 2 ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น ทว่าด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับลัทธิบูชาไฟ จึงทำให้แม้แต่ขุมพลังชั้น 1 ก็ไม่กล้าล่วงเกินตระกูลก่าน
ก่านหรูเยี่ยนเป็นหลานแท้ๆของผู้นำตระกูลก่านคนปัจจุบัน และนางยังเป็นสายเลือดหลักของตระกูลก่าน
เค่อเอ๋อที่เป็นน้องสาวฝาแฝดของก่านหรูเยี่ยนก็นับเป็นคนของตระกูลก่านเช่นกัน!
……
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบเลยว่าตอนนี้เค่อเอ๋อกับลูกสาวของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย กระทั่งทั้งคู่อาจจะตกตายได้ทุกเมื่อ!
ทว่าแม้จะไม่รู้แต่เขาก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมา!
ต้วนหลิงเทียนที่ได้อ่านหนังสือตำราอะไรไปแล้วมากมายในหอตำราหลัก อยู่ดีๆก็รู้สึกใจหวิวๆ ยากที่จะรักษาความสงบเอาไว้ได้
และเมื่อสัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลที่ไม่ทราบที่มาประการหนึ่ง สีหน้าต้วนหลิงเทียนพลันซีดลงทันใด
เขารู้ว่าอยู่ดีๆกลับบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น กระทั่งทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สมควรเป็นเพราะคนใกล้ชิดของเขาเกิดเรื่องแน่!
‘เป็นเค่อเอ๋อ หรือเทียนหวู่กัน…’
เมื่อรู้ว่าลี่เฟยสมควรอยู่กับบิดามารดาเขาจึงไม่ได้คิดถึงนาง เช่นนั้นเขาพลันนึกถึงเค่อเอ๋อกับเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมาทันที
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ระงับความรู้สึกตื่นตระหนกในใจให้สงบลง
หลังจากที่สงบลงแล้ว สังหรณ์ประหลาดที่ว่าก็ไม่ทำให้ใจเขาหวิวๆอีก อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือตำราอะไรอีกต่อไป
กอปรทั้งเขาได้รู้เรื่องราวทั่วไปที่อยากจะรู้ไปแล้ว และเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจกลับทันที
หลังจากที่ออกจากหอตำราหลัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปลงทะเบียนออกเกาะตามระเบียบ
“ศิษย์น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นไรหรือไม่…ใยสีหน้าเจ้าแลดูมิค่อยจะสู้ดีเลยเล่า…”
เมื่อศิษย์ที่ลงทะเบียนออกเกาะให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นสีหน้าที่ซีดลงของต้วนหลิงเทียน มันก็เร่งกล่าวถามออกมาด้วยความเป็นห่วงทันที เพราะจดจำได้ว่าต้วนหลิงเทียนมารยาทดีเพียงใด
“ข้าไม่เป็นไรหรอกศิษย์พี่ ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ประสานมืออำลาอีกฝ่ายค่อยจากไป
ศิษย์รักษาการณ์หลายคนมองตามแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนจนเขาเดินหายลับไปค่อยคืนสติ พวกมันอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองกันทั้งกระซิบถาม
“พวกเจ้าว่าศิษย์น้องหลิงเทียนใช่โดนใครรังแกมาหรือไม่ ไฉนสีหน้าเขาถึงได้ซีดนัก?”
ศิษย์รักษาการณ์ที่จุดลงทะเบียนคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“อาจเป็นได้!”
ศิษย์คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าล่ะอยากรู้นักว่าผู้ใดมันตาถั่วถึงขั้นกล้าไปรังแกศิษย์น้องหลิงเทียนได้! แม้ตอนนี้พลังฝีมือศิษย์น้องหลิงเทียนจักมีจำกัด แต่เขาพึ่งอายุเท่าใด วันหน้ายังมีใครในตำหนักฟ้าลี้ลับเทียบเขาได้อีก?”
“นั่นสิ! มิว่าผู้ใดหาญกล้ารังแกศิษย์น้องหลิงเทียน อนาคตมันถูกกำหนดให้โชคร้ายแล้ว!”
“ศิษย์น้องหลิงเทียนเป็นคนดี แต่กลับมีเรื่องราวเช่นนี้…ข้าเชื่อว่าต้องเป็นผู้อื่นหาเรื่องรังแกเขาก่อนเป็นแน่!”
“เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ!”
……
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยว่าเรื่องที่สีหน้าเขาไม่ค่อยสู้ดี ทำให้ศิษย์รักษาการณ์ที่จุดลงทะเบียนเข้าออกเกาะคิดเรื่องราวไปเป็นตุเป็นตะ
หลังจากออกจากเกาะลอยฟ้าแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างลงมายังยอดเขาลูกหนึ่งยังมุ่งหน้าไปยังส่วนที่พักที่เขาอาศัยอยู่
‘ยังเหลืออีกเดือนกว่า แดนลับเซียนถึงจะเปิดออก…สำหรับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน เห็นว่าจะทำการคัดเลือกก่อนหน้า 10 วันที่แดนลับเซียนจะเปิด’
ในระหว่างเดินทางกลับ ใจต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย
อย่างไรก็ตามลึกลงไปในใจเขายังกังวลไม่น้อย
แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะกังวลแต่ก็ได้แต่ทำใจเท่านั้น เพราะตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้เลย
“หวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และทุกคนยังปลอดภัยดี…”
ต้วนหลิงเทียนทำได้แค่ปลอบใจตัวเองไปเช่นนี้
“ฮึ! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาได้ซะทีนะ!”
ทันทีที่โรยตัวมาถึงน่านฟ้าเหนือบ้านลานคุ้นเคย ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดหนึ่งดังขึ้น ทำให้เขาคืนสติจากอาการเหม่อทันที ไม่นานเขาก็เห็นว่ามีร่างบางหนึ่งนั่งรออยู่ในลานบ้านของเขา
เจ้าของร่างบางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง
“เจ้ามาหาข้าเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงมาจากฟ้า ก่อนที่จะหยุดลงเบื้องหน้านาง ขมวดคิ้วถามออก
“นี่เจ้าไปไหนมาตั้ง 20 กว่าวันหา?”
แทนที่จะตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนพลันยิงคำถามออกไปด้วยสีหน้าเค้นความ “เจ้ารู้หรือไม่ข้าต้องเสียเวลาตามหาเจ้าไป 20 กว่าวัน! นั่นทำให้ขัดขวางความก้าวหน้าของข้านัก!”
“หืม? เจ้าตามหาข้ามา 20 กว่าวัน?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “เจ้ามีธุระกับข้างั้นเหรอ ถึงต้องมาหาข้า?”
“แน่นอน!”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับ “หากมิมีธุระไหนเลยต้องมาหาเจ้าด้วย…ไหนบอกมาเจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไรที่ทำให้ข้าต้องคอยตามหาเจ้าตลอด 20 วัน จนทำให้พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าล่าช้าออกไปแบบนี้?!”
“ก้าวหน้าล่าช้า?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำเมื่อได้ยินวาจาเหลวไหลของหวางเฟยเซวียน “แม่นางหวางท่านไม่คิดโทษตัวเองบ้างหรือที่พลังฝึกปรือก้าวหน้าล่าช้าเพราะมัวแต่เถลไถลเองไฉนมาโทษข้าได้ล่ะ? ที่สำคัญข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเสียเวลาบ่มเพาะอะไรเพราะข้า หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้…ว่าเรื่องที่เจ้าเป็น ปีศาจบ้าบ่มเพาะ มันโด่งดังแค่ไหน? ไม่ใช่แค่ในเขตคฤหาสน์ดาบทรราชเท่านั้นนะ กระทั่งตำหนักฟ้าลี้ลับเขาก็รู้กันหมด!”
หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งไปไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้เรื่องนางดี นางอดไม่ได้ที่จะหน้าเจื่อนไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะพยายามตีหน้าดุกล่าวโวยวายต่อ “ไม่รู้หล่ะ เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า! ไม่งั้นข้าจะมารบกวนเจ้าทุกวันจนเจ้าไม่เป็นอันบ่มเพาะพลังเลยคอยดู!”
“มาไม้นี้อีกแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออก ขณะเดียวกันหน้าเขาเริ่มจมลง “หวางเฟยเซวียน นี่เจ้าคิดว่าเล่นแบบนี้มันสนุกนักหรือ?”
“อะไรของเจ้ากัน ข้าก็แค่ล้อเจ้าเล่นเล็กน้อยเท่านั้น…เจ้าจะจริงจังทำเพื่อ?”
เมื่อเห็นหน้าต้วนหลิงเทียนจมลงเผยความจริงจังราวกับมีโทสะ หวางเฟยเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอ้างออกมา ทั้งยังพูดต่อดีๆ “เอาล่ะๆ ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นแล้วก็ได้ เจ้าอย่าคิดเล็กคิดน้อยอีกเลย…”
คิดเล็กคิดน้อย?
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอีกรอบ
อย่างไรก็ตามใบหน้าขึงขังของเขาค่อยๆคลายลง เมื่อได้ยินวาจาของนาง ยังกล่าวถามออกไปตรงๆ “บอกข้ามาเถอะ เจ้ามาหาข้าที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่?”
“แดนลับเซียน!”
อาจเป็นเพราะแลดูต้วนหลิงเทียนจริงจังแปลกๆ หวางเฟยเซวียนจึงไม่คิดล้อเล่นอะไรอีก เปิดประตูเห็นภูผากล่าวออก
“แดนลับเซียน? ไม่ใช่ว่ากว่าที่แดนลับเซียนจะเปิดก็อีกเดือนกว่ารึไง เจ้ามาพูดถึงมันกับข้าตอนนี้ทำไม?”
ต้วนหลิงเทียนแลดูงุนงงสงสัยไม่น้อย
“ข้ารู้แล้วว่าอีกเดือนกว่าแดนลับเซียนถึงจะเปิดออก…แต่ที่ข้ามาหาเจ้าล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแดนลับเซียน”
หวางเฟยเซวียนกล่าว
“ว่ามา”
ต้วนหลิงเทียนถามเบาๆ
“ก่อนที่ข้าจะพูดถึงเรื่องนี้ ให้ข้าถามเจ้าก่อนว่าเจ้ารู้จักแดนลับเซียนมากแค่ไหน?”
หวางเฟยเซวียนมองถามต้วนหลิงเทียน
“ข้าเคยได้ยินมาว่ามีสิ่งดีๆมากมายอยู่ในแดนลับเซียน และหากอยู่ในนั้นได้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับสิ่งดีๆสำหรับการบ่มเพาะพลังมากขึ้นเท่านั้น…นอกเหนือจากนั้นข้าไม่รู้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ไฉนถึงมีแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้นที่มีแดนลับเซียน?”
หวางเฟยเซวียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“ข้าไม่รู้”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาแค่เคยได้ยินว่าแดนลับเซียนอะไรนั่น มีแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้นที่มีมัน แต่เพราะอะไรเขาไม่ทราบ
“เจ้าลองคิดดู…ว่าอะไรที่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 มีแต่ขุมพลังอื่นไม่มี?”
หวางเฟยเซวียนกล่าวถาม
“ขุมพลังอื่นไม่มีงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นไตร่ตรองพักหนึ่งค่อยกล่าวออก “หากไม่พูดถึงยอดฝีมือและทรัพยากรทั่วไป…สิ่งที่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 มีต่างจากขุมพลังอื่นๆ สมควรเป็นสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 …หรือเจ้าจะบอกข้าว่าการเกิดขึ้นของแดนลับเซียนนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3?”
ทันทีที่กล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองหยางเฟยเซวียน
“มิผิด”
หวางเฟยเวซียนพยักหน้า “แดนลับเซียนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 นั้น มันถูกสร้างขึ้นบนเขตสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3! อันที่จริงแดนลับเซียนเหล่านี้ดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว เมื่อยอดฝีมือของขุมพลังกึ่งชั้น 3 มาพบจึงเข้ายึดครอง และสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น…”