ตอนที่ 1,736 : มรดกเวทย์พลัง!
“กล่าวกันว่าแดนลับเซียนนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นค่ายกลเลิศล้ำชนิดหนึ่ง นอกจากนี้การคงสภาพมันเอาไว้จำต้องใช้พลังงานมหาศาลมาสนับสนุน…และพลังงานที่ว่าก็มีแค่สายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 เท่านั้นที่จะมอบให้ได้”
หวางเฟยเซวียนกล่าวสืบต่อ “เท่าที่ข้ารู้มา ค่ายกลพิสดารอย่างแดนลับเซียนอะไรนี่ มันจะสั่งสมพลังวิญญาณฟ้าดินจำนวนมหาศาลเป็นเวลาหลายปี เมื่อพลังงานสั่งสมมากพอถึงจุดๆหนึ่งมันถึงจะเปิดออก…”
“เพราะเหตุนี้ทำให้แดนลับเซียนมักจะถูกเปิดให้เข้าเป็นประจำในเวลาที่ตายตัว”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบ
“นอกจากนั้นภายในแดนลับเซียน ยังมีกระทั่งสิ่งที่ตัวตนอันเหนือกว่าอริยะเซียนยังต้องการ!”
กล่าวเรื่องนี้ออกมา ลมหายใจหวางเฟยเซวียนเริ่มเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนขึ้น
“หืม? มีกระทั่งสิ่งที่ตัวตนเหนือกว่าอริยะเซียนยังต้องการงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย
“ใช่”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้า
“แล้วนั่นมันอะไรกัน?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าแดนลับเซียนที่เปิดให้อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่า 40 ปีเข้าไปแบบนี้ มันจะไปมีของที่ดึงดูดตัวตนที่เหนือกว่าขอบเขตอริยะเซียนได้ยังไง?
“เวทย์พลัง!”
มองสบตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง หวางเฟยเซวียนค่อยๆกล่าวออกทีละคำ
เวทย์พลัง!
พอได้ยินคำนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม้ได้ที่จะกระตุก บางทีแต่ก่อนเขาอาจไม่รู้ว่าเวทย์พลังคืออะไร แต่หลังจากที่ได้เพาะสร้างต้นเบบเวทย์พลังหนึ่งจากคำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่วไว้ในร่างแล้ว เขาก็รู้ว่าเวทย์พลังคืออะไร
เวทย์พลังนั่นประหนึ่งความสามารถพิเศษที่มีเพียงตัวตนด่านพลังเซียนมนุษย์ขึ้นไปจะใช้มันได้ เวทย์พลังดีๆ พลังอำนาจของมันยังร้ายกาจกว่าวรยุทธ์เซียนเสียอีก!
แต่แน่นอนว่าแม้เวทย์พลังจะฟังดูดีทั้งร้ายกาจ ทว่าเวทย์พลังที่ใช้งานได้เลิศล้ำจริงๆนั้นมิใช่พบได้ทั่วไป กระทั่งตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ทั้งหลาย กว่า 9 ส่วนก็ครอบครองแต่เวทย์พลังกิ๊กก๊อก ที่ไม่อาจใช้ในการต่อสู้ได้จริง
เช่นเดียวกับ ร่างอวตาร ที่เซียนมนุษย์ทุกคนล้วนใช้งานได้…แน่นอนว่าสิ่งนี้นอกจากจะใช้ต่าง เครื่องราง ให้ชนรุ่นหลังมีไว้ป้องกันภัยก็ไร้พลังอำนาจอะไรมากมาย
“เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะไม่รู้จักเวทย์พลัง เพราะนั่นคือพลังอำนาจที่มีแต่ตัวตนในขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญได้…”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปคล้ายกำลังตกใจ นางก็คิดว่านี่สมควรเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเคยได้ยินคำว่า เวทย์พลัง ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไม่เบื่อหน่าย “ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วจักมีเวทย์พลังไว้ใช้งาน…ทว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีเพียงเวทย์พลังที่ตัวตนระดับเซียนปฐพีครอบครองอยู่เท่านั้น ถึงจะเรียกว่ามีประสิทธิภาพมากพอที่จะเอามาใช้ในการต่อสู้จริง…”
“ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ส่วนใหญ่ จักมิค่อยมีเวทย์พลังดีๆอะไรมากมายให้ใช้งาน ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเวทย์พลังที่ไร้พิษสง ไม่ต่างอะไรจาก ร่างอวตาร ที่เป็นเหมือนปาหี่หลอกเด็กนั่น…”
หวางเฟยเซวียนค่อยๆอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างตั้งใจ และยกตัวอย่างเวทย์พลังง่ายๆให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก คล้ายจะทำให้ต้วนหลิงเทียนแตกฉานเรื่องเวทย์พลังในครั้งเดียว
“แน่นอนว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ยังมีเซียนมนุษย์บางคน ที่มีเวทย์พลังอันร้ายกาจไว้ใช้งาน และเวทย์พลังที่ทรงพลังอำนาจเหล่านั้นล้วนถูกพวกมันเพาะสร้างจากมรดกเวทย์พลังที่ชนรุ่นก่อนตกทอดมาไว้ให้…”
“เวทย์พลังนั้นไม่ว่าจะเป็นมรดกตกทอดหรือมีผู้ชี้แนะสอนสั่งก็ตามที แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับไหวพริบปฏิภาณของเจ้าว่ามีสามารถพอจะเรียนรู้เข้าใจได้หรือไม่…เพราะมิใช่ทุกๆคนสามารถควบคุมใช้งานเวทย์พลังได้ง่ายๆทุกชนิด!”
หวางเฟยเซวียนยังคงกล่าวสืบต่อ
“ในแดนลับเซียนที่ว่า มันมีมรดกตกทอดเวทย์พลังงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่ ไหนเลยเขาจะไม่รู้เรื่องที่หวางเฟยเซวียนจะสื่อ
“ถูก”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้า “มรดกตกทอดที่ยอดคนทิ้งเอาไว้ นับเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในแดนลับเซียน…แม้พวกเราจะพบพานมรดกตกทอดเวทย์พลังในแดนลับเซียน แต่พวกเราก็ได้ทำได้แค่จดจำเอาไว้ในใจก่อนเท่านั้น เพราะด้วยพลังฝึกปรือของพวกเราตอนนี้ยังไม่มีพลังมากพอจะทำความเข้าใจมันจนแตกฉาน กระทั่งเพาะสร้างมันได้…”
“ยิ่งไปกว่านั้นมรดกตกทอดเวทย์พลังในแดนลับเซียนนั้นมิอาจทำซ้ำได้ในเวลาอันสั้น…ถึงแม้พวกเราจะจดจำได้ แต่พวกเราไม่อาจแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ เพราะองค์ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดผ่านสำนึกสติในมรดกจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละคน สิ่งที่เจ้ารับรู้อาจไม่เหมือนที่ข้ารับรู้ ทำให้พวกเราจำต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์เสียก่อน…จนเมื่อเพาะสร้างเวทย์ต้นแบบพลังนั่นได้สำเร็จแล้วจริงๆ ถึงจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อได้”
หวางเฟยเซวียนกล่าวต่อ “ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมใด ล้วนให้ความสำคัญกับแดนลับเซียนเป็นที่สุด! เพราะตราบใดที่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่เข้าไปในแดนลับเซียน สามารถผ่านการทดสอบกระทั่งได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังล้ำค่ามา…เมื่อเติบโตจนเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังนั่นสำเร็จและใช้งานได้จริง ก็จะมีความสามารถแบ่งปันเวทย์พลังดังกล่าวให้กับขุมพลัง…”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตำหนักฟ้าลี้ลับถึงต้องการรับรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่อายุต่ำกว่า 40 เป็นจำนวนมาก…ที่แท้พวกมันมีจุดประสงค์แบบนี้นี่เอง”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดกระจ่าง
มรดกเวทย์พลัง!
นี่คือเป้าหมายหลักของขุมพลังกึ่งชั้น 3! ที่พวกมันพยายามเฟ้นหาอัจฉริยะที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ให้ควั่ก เพราะแดนลับเซียนนั้นเพียงอนุญาตให้ผู้ที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปีเท่านั้นที่เข้าไปได้
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากไม่น้อยสำหรับขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่จะได้รับเวทย์พลัง จากมรดกเวทย์พลังที่ตกทอดมาในแดนลับเซียน
เพราะพวกมันต้องให้อัจฉริยะที่เข้าไปในแดนลับเซียนผู้นั้น พบพานกระทั่งสืบทอดมรดกเวทย์พลังด้านในแดนลับเซียนออกมา และยังต้องรอให้อัจฉริยะผู้นั้นบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์ กระทั่งยังต้องมาลุ้นว่าอัจฉริยะที่บรรลุเซียนมนุษย์แล้ว จะเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังที่สืบทอดมาได้หรือไม่…ต้องอย่าลืมว่ากว่าจะบรรลุเซียนมนุษย์ กาลเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เผลอๆบางคนอาจจะลืมเลือนไปก็มี ความเข้าใจขาดหายไปก็มี…!
ด้วยเหตุนี้จึงมีอัจฉริยะเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นในขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่สามารถถ่ายทอดเวทย์พลังที่ได้รับมาได้จริงๆ
“เมื่อเทียบกับเวทย์พลังแล้ว สิ่งอื่นด้านในล้วนไร้สำคัญกับข้า!”
หวางเฟยเซวียนมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง กล่าวออก
“เข้าเรื่องเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วพูด
หวางเฟยเซวียนมาหาเขาเพราะแดนลับเซียนแบบนี้ สมควรมีเรื่องบางอย่างที่ต้องพึ่งเขาแน่นอน
“ข้าอยากร่วมมือกับเจ้า”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเข้าประเด็น หวางเฟยเซวียนก็กล่าวตอบออกมาตรงๆทันที
“ร่วมมืองั้นเหรอ? ร่วมมือยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
อันที่จริงเรื่องราวทั้งสถานการณ์ในแดนลับเซียนเป็นยังไงต้วนหลิงเทียนไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เห็นได้ชัดว่าหวางเฟยเซวียนผู้นี้สมควรเข้าใจสถานการณ์ในแดนลับเซียนระดับหนึ่ง
เช่นนั้นเขาเลยถามนางออกมาตรงๆ ว่าคำ ‘ร่วมมือ’ ที่นางว่ามันหมายถึงอะไร
“ที่แออัดมากผู้คน…ยากหลีกพ้นการต่อสู้ แดนลับเซียนก็เช่นกัน”
หวางเฟยเซวียนคล้ายจะดูออกว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้สถานการณ์ในแดนลับเซียน นางจึงเล่าสถานการณ์ที่จะพบเจอในแดนลับเซียนให้ต้วนหลิงเทียนฟังบางส่วน “มรดกเวทย์พลังนั้นสามารถรับสืบทอดได้แค่คนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หากบังเอิญพบเจอสถานที่ตั้งมรดกพร้อมผู้อื่น ก็จำต้องต่อสู้ช่วงชิง…เพราะมีเพียงผู้ชนะคนสุดท้ายเท่านั้น จึงจะได้เข้าสู่สถานที่รับสืบทอดมรดกจนมีโอกาสเข้าใจเวทย์พลัง”
“แน่นอนว่าคำเข้าใจเวทย์พลังอาจกล่าวเกินจริงไปหน่อย…เพราะหากยังไม่บรรลุด่านพลังเซียนมนุษย์ย่อมเป็นไปมิได้เลยที่จะเข้าใจเวทย์พลังอย่างถ่องแท้ กล่าวให้ชัดพวกเราเพียงเข้าไปจดจำทุกสิ่งเกี่ยวกับเวทย์พลังนั่นออกมาให้ได้มากที่สุด”
“นอกจากนี้แม้พวกเราจะจดจำเวทย์พลังออกมาได้ แต่ยากที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่น! เพราะต่อให้กล่าวบอกออกไปทั้งหมดก็ประหนึ่งเปลือกว่างเปล่าไร้วิญญาณ เป็นไปมิได้ที่พวกเราจะถ่ายทอดเวทย์พลังจากมรดกที่รับรู้มาให้ใครได้หากพวกเรายังไม่อาจใช้งานมันได้จริงๆ”
หวางเฟยเซวียนกล่าว
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจในสิ่งที่หวางเฟยเซวียนกล่าวบอกชัดเจน
หาไม่แล้วขุมพลังกึ่งชั้น 3 คงไม่ลำบากเฟ้นหาอัจฉริยะมากมายที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ปี เพราะหากแค่จดจำเนื้อความมาแล้วใช้เวทย์พลังได้ เพียงพวกมันส่งคนเข้าไปโดยเอาจำนวนเข้าว่าก็จบ ทว่าเวทย์พลังนั้นมันถ่ายทอดมาในรูปแบบสำนึกสติ ถึงได้รับมาแต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่อาจเพาะสร้างมันได้
มีเพียงแต่เข้าใจถ่องแท้จนสามารถเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้แล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
แน่นอนว่าทุกผู้คนที่ได้สืบทอดมรดกเวทย์พลังมา ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เวทย์พลังได้ทุกคน! ยังขึ้นอยู่กับไหวพริบปฏิภาณเป็นหลัก…เช่นนั้นแล้วหากเป็นตัวโง่งมได้ของดีมาถึงแม้พวกมันอยากส่งต่อให้ตาย แต่ก็ไม่มีปัญญาจะส่ง!!
(อารมณ์เหมือน เด็ก ป.3 ได้สูตรฟิสิกส์ ม.6 มา จำสูตรได้ว่าเขียนยังไง แต่ฟังที่ตอนที่ครู่สอนไม่เข้าใจเลย จนไม่รู้ว่าตัวอะไรแทนอะไร…มันก็เลยเอาไปสอนใครไม่ได้ ทำได้แต่เขียนสูตรให้คนอื่นเอาไปนั่งงงต่อ เก็ทนะ!)
“ในแดนลับเซียนมีมรดกเวทย์พลังหลากหลายระดับ…สำหรับเวทย์พลังระดับต่ำๆ พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจาก ร่างอวตาร เพียงปาหี่มิอาจใช้สู้จริงได้ เวทย์พลังที่ดีขึ้นมาหน่อยก็ทัดเทียมได้กับวรยุทธ์เซียนอันร้ายกาจ เช่นนั้นแล้วหากมีเวทย์พลังดีๆ พลังฝีมือก็ย่อมสูงขึ้น หากประยุกต์ใช้กับวรยุทธ์เซียนได้ผลลัพธ์ก็ยิ่งเพิ่มพูน!”
“หากเป็นเวทย์พลังชั้นสูงๆล่ะก็ เมื่อเพาะสร้างกระทั่งใช้มันออกได้ พลังอำนาจของมันยังเหนือกว่าวรยุทธ์เซียนเสียอีก หากมีไว้ในครอบครองก็ประหนึ่งเข้าทำเนียบสุดยอดฝีมือไปครึ่งตัว!”
กล่าวถึงจุดนี้ประกายตาของหวางเฟยเซวียนเผยประกายเจิดจ้าร้อนแรงออกมา
“อนิจจาเวทย์พลังระดับสูงนั้นหาได้ยากเย็นนัก…อีกทั้งจำต้องผ่านบททดสอบมากมายกว่าจะได้รับ หากทดสอบล้มเหลวก็ถือว่าสิ้นวาสนากับเวทย์พลังดังกล่าว กระทั่งเผลอๆอาจจะถูกคัดออกจากแดนลับเซียน”
กล่าวถึงจุดนี้ หวางเฟยเซวียนมองสบตาต้วนหลิงเทียน “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดร่วมมือกับเจ้า หากพวกเราร่วมมือกันย่อมมีพลังรบกล้าแข็งนัก ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะฝ่าด่านทดสอบของเวทย์พลังระดับสูง!”
กล่าวจบคำ ประกายตาของหวางเฟยเซวียนก็ยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้น
“ที่แท้เจ้าก็หวังเรื่องนี้นี่เอง…”
หลังได้ฟังคำของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มบางๆ พร้อมส่ายหน้า กล่าวออก “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดจะร่วมมือกับเจ้า…”
“เจ้า!!”
หวางเฟยเซวียนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวปฏิเสธออกมาโต้งๆโดยแทบไม่ต้องคิดแบบนี้ สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที “ไฉนเจ้าเป็นซะอย่างนี้เล่า! ข้าอุตส่าห์ตั้งใจมาหาเจ้าเพื่อที่พวกเราจะได้ร่วมมือกันแท้ๆ แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้าโดยไม่แม้แต่จะคิดเลยแบบนี้…หรือเจ้าคิดว่าร่วมมือกับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร?”
“อ่า…ร่วมมือกับเจ้าไปก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น…”
เหลือบมองหวางเฟยเซวียนครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หวางเฟยเซวียนเป็นแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นด้วยซ้ำ ต่อให้นางเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจจะร่วมมือกับนางสักนิด
สำหรับเขา ร่วมมือกับหวางเฟยเซวียนก็ไม่ต่างอะไรจากหอบหิ้วตัวภาระไปด้วย!
หากเป็นคนอื่นๆ มีหวางเฟยเซวียนมาขอความร่วมมือแบบนี้คงยากจะปฏิเสธได้ เพราะแม้จะไม่ได้ดูที่พลังฝีมือ แต่ด้วยความงดงามของนางก็ทำให้ยากหักใจปฏิเสธได้ลงคอ…
แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนที่มีคู่หมั้นงดงามถึง 2 กระทั่งยังมีสตรีคนรักที่งามไม่แพ้กันอีกคน เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรหวางเฟยเซวียนเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าไม่พิศวาสนางสักกะผีกเดียว…!