ตอนที่ 134 ใบร่วงแล้ว / ตอนที่ 135 กลายเป็นมนุษย์แมลงปีศาจ

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 134 ใบร่วงแล้ว 

 

 

นับจากที่รู้ว่ากล่องหยกใบนั้นใช้ขังเสี่ยวจินได้ ถังเฉียนก็คลายความกังวลลงมาก บางครั้งยังใช้ขู่มันได้ด้วย แต่หลังจากถูกซูซินเหลียนจับขังในกล่องใบนี้ เสี่ยวจินก็เกิดความรู้สึกต่อต้าน ไม่ยอมบินเข้าไปง่ายๆ วันนี้เป็นเพราะถังเฉียนใจร้อนกลัวว่าเสี่ยวจินจะถูกกระทบจากความรู้สึกของนางแล้วพลั้งทำเรื่องอะไรขึ้น จนลืมพามันมาด้วย 

 

 

“ท่านอ๋อง จะเอาของสิ่งนี้ลงมาได้อย่างไร ถ้าเกิดตกลงบนพื้น จะแตกเสียหายหรือไม่” 

 

 

ถังเฉียนยังถามไม่จบ ฉู่จิ่งเหยาก็หยิบกล่องเล็กใบหนึ่งออกมา ในนั้นมีกลีบดอกไม้วางไว้ ส่งกลิ่นหอมจางๆ คล้ายกลิ่นหอมของมะลิ 

 

 

“นี่คือดอกโสม ใช้เก็บรักษาใบไม้หยกได้” 

 

 

ถังเฉียนมองดูฉู่จิ่งเหยา แล้วถามว่า 

 

 

“ท่านอ๋องไม่กลัวหรือว่าซูซินเหลียนจะเป็นไส้ศึกของนิกายเทพมังกร เหตุใดท่านจึงไว้ชีวิตนาง” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยายิ้มแล้วว่า 

 

 

“ข้ากรำศึกมาหลายปี เคยกลัวข้าศึก เคยขยาดการสู้รบหรือ หากนางเป็นศัตรูจริง สักวันก็ต้องเผยพิรุธออกมา หากนางไม่ใช่ ไม่ถือว่าข้าสังหารนางอย่างเปล่าประโยชน์หรือ แม้จะพูดว่าข้าสังหารคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีวิญญาณที่ถูกปรักปรำภายใต้กระบี่ข้า” 

 

 

ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็ตื้นตันใจมาก วีรบุรุษใหญ่ที่ตนเคารพยกย่อง เป็นผู้ที่คู่ควรแก่การเชิดชูอย่างแท้จริง ดวงตาถังเฉียนเปล่งประกายแวววาวเมื่อมองดูท่าทางที่เคร่งขรึมของฉู่จิ่งเหยา 

 

 

“เจิ้งจยาเฉิงพบลานที่ด้านหลัง วันหน้าเกรงว่าคงจะไปที่นั่นไม่ได้แล้ว เขาห่วงอาการบาดเจ็บของข้า ไม่ยอมให้ข้าฝึกกระบี่ ลำบากแทบแย่กว่าจะเจอที่นั่น ต่อไปเจ้ายินดีมาฝึกกระบี่กับข้าที่นี่หรือไม่” 

 

 

ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางบอกว่า 

 

 

“อาหรูน่าไม่รู้วิชากระบี่ หากท่านอ๋องไม่รังเกียจ โปรดช่วยสอนข้าด้วย วันหน้าจะได้ไม่ถูกคนข่มเหงรังแกเช่นนี้” 

 

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ก่อนนี้สอนจื่อเย่ว์ไม่กี่ท่าไว้ป้องกันตัว เวลานี้ดูแล้วนางจะชักเจ้าอารมณ์แล้ว เฮ้อ…” 

 

 

ถังเฉียนฟังที่เขาพูด ดูเหมือนจะเป็นการตำหนิจื่อเย่ว์ นางจึงช่วยพูดแทนจื่อเย่ว์ 

 

 

“แม่นางจื่อเย่ว์ทุ่มเทหัวใจทั้งหมดเพื่อท่านอ๋อง นางไม่กลัวตาย ไม่กลัวถูกลงโทษ แต่กลัวว่าท่านอ๋องจะได้รับบาดเจ็บอีก น้ำใจเช่นนี้เกรงว่าไม่มีใครเทียบได้ ท่านอ๋องควรจะยินดี” 

 

 

พอถังเฉียนพูดจบ ฉู่จิ่งเหยาเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ข้าบอกแล้วว่าจิตใจเจ้าบริสุทธิ์ คนรอบข้างใครจะกล้าโต้แย้งอ๋องอย่างข้า หมอผีน้อยใจกล้าจริงๆ” 

 

 

ถังเฉียนมองดูใบไม้หยก สีเขียวโปร่งแสงใส เรืองแสงราวกับหยกเขียว มันค่อยๆ เปลี่ยนสี จากสีเขียวอ่อนเป็นสีเขียวสดแล้วกลายเป็นสีเขียวเข้ม สุดท้ายยังเปล่งแสงสีเหลืองเข้มออกมาเล็กน้อย 

 

 

“ดูท่า น่าจะร่วงแล้วจริงๆ” 

 

 

ถังเฉียนมองดูมันเปลี่ยนแปลงสี่ฤดูในวันเดียว ต่างจากเดิม ฉู่จิ่งเหยานั่งลงข้างๆ กิ่งไม้ทองใบไม้หยก แล้วเป่าใบที่ใกล้แก่แล้วเบาๆ ถังเฉียนเห็นใบไม้ร่วงจากกิ่งทองลงในกล่องของนาง แล้วค่อยๆ กลายเป็นโปร่งใส ฉู่จิ่งเหยาช่วยปิดกล่องแล้วพูดว่า 

 

 

“เจ้าต้องเก็บรักษาให้ดี ถ้าไม่ได้ใช้กิน ก็อย่าเปิดกล่อง ป้องกันไม่ให้ไอทิพย์ระเหยไป” 

 

 

ถังเฉียนแปลกใจมาก เขารู้เรื่องไอทิพย์ด้วยหรือ หรือว่าเขาเองก็ฝึกไอทิพย์ ฉู่จิ่งเหยาชักกระบี่ทะลุตะวันในมือออกมา ครั้งนี้พอถังเฉียนเห็น ดวงตานางเปล่งประกายแวววาวทันที ก่อนหน้านี้ล้วนได้ยินเสียงเล่าขานถึงความร้ายกาจของกระบี่ทะลุตะวัน วันนั้นฉู่จิ่งเหยาใช้กระบี่ทะลุตะวันแทงแขนคนชั่ว ดึงนางกลับมาจากขอบนรก 

 

 

ถังเฉียนมองฉู่จิ่งเหยาแล้วพูดว่า 

 

 

“ท่านอ๋อง โปรดปฏิบัติต่ออาหรูน่าอย่างเข้มงวด ข้าอยากฝึกวิชากระบี่ให้เก่ง อย่างน้อยเมื่อถูกคนอื่นรังแก ข้าจะได้มีสิทธิ์และโอกาสตอบโต้” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 135 กลายเป็นมนุษย์แมลงปีศาจ 

 

 

ถังเฉียนผละออกไปกับฉู่จิ่งเหยา แต่ฮว่าเหยียนมาพบจื่อเย่ว์ 

 

 

“เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่ายาเจ้าได้ผลแน่นอน เวลานี้นางรอดชีวิตแล้ว ถ้าหากนางรู้เรื่องที่พวกเราทำ เจ้ากับข้าคงได้เดือดร้อนเป็นแน่” 

 

 

จื่อเย่ว์อดพูดแข็งกร้าวใส่ฮว่าเหยียนไม่ได้ แต่นางกลับร้องหึแล้วพูดว่า 

 

 

“แม่นางจื่อเย่ว์ เจ้าอย่าลืมสิ หมอผีอย่างข้าไม่ใช่เด็กสามขวบอย่างอาหรูน่า เจ้าอยากให้ซูซินเหลียนตาย เพราะเจ้าอิจฉาที่นางเป็นพระชายารอง ส่วนเจ้าเป็นเพียงสาวใช้ หมอผีอย่างข้าก็แค่ช่วยทำยาให้เจ้าเท่านั้น” 

 

 

“เจ้า!” 

 

 

จื่อเย่ว์คับแค้นใจแต่ก็พูดไม่ออก นางยื่นมือออกไปแต่กลับทำให้ฮว่าเหยียนฉวยโอกาส นางปัดมือจื่อเย่ว์แล้วพูดว่า 

 

 

“อย่างไรก็เป็นแค่เด็ก จะใจร้อนไปไย” 

 

 

จื่อเย่ว์รู้ตัวว่าที่ตนเค้นถามเมื่อครู่ทำให้ฮว่าเหยียนโกรธ เมื่อเห็นนางหันมาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที 

 

 

“ท่านหมอ ยังมีวิธีอื่นใช่หรือไม่” 

 

 

ฮว่าเหยียนกระซิบบางอย่างที่ข้างหูจื่อเย่ว์จากนั้นนางจึงพาฮว่าเหยียนเข้าไปในห้อง ซูซินเหลียนถูกป้อนยาระงับประสาทแล้ว กำลังนอนหลับสนิท ไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาในห้องตน 

 

 

ก่อนหน้านี้ฮว่าเหยียนทำแมลงพิษขึ้นมา แมลงพิษของนางไปสะกดแมลงพิษในร่างซูซินเหลียน แต่แมลงพิษที่คนกลุ่มนั้นใส่ในร่างซูซินเหลียนเกิดพิษกำเริบขึ้น ทำให้ซูซินเหลียนเสียชีวิต แต่ด้วยฤทธิ์ของแมลงพิษยังคงทำให้หลังจากที่ซูซินเหลียนตายแล้วผู้คนยังรู้สึกว่าร่างนางยังอุ่นอยู่ 

 

 

แต่เวลานี้เมื่อพวกนางตรวจดูก็พบว่าซูซินเหลียนไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ว่า… 

 

 

“เจ้าดูสิ เมื่อครู่พวกสาวใช้พวกนั้นตกใจแทบตาย บอกว่านางตายอีกแล้ว” 

 

 

จื่อเย่ว์ก็ชักระวังตัวยิ่งขึ้น วิชาคุณไสยของหมอผีพวกนี้น่ากลัวจริงๆ ทำให้นางรู้สึกเคารพยำเกรง 

 

 

“ข้าบอกแล้วว่ายาที่ข้าทำไม่ผิดพลาด นางตายแล้ว เวลานี้ตกอยู่ในสภาพมนุษย์แมลง แต่เหตุใดนางถึงมีท่าทางเสียสติเช่นนี้ แล้วใครกันที่ควบคุมแมลงพิษในตัวนาง” 

 

 

“อะไรนะ มนุษย์แมลงอะไร” 

 

 

จื่อเย่ว์ไม่รู้ว่าฮว่าเหยียนพูดอะไรอยู่ นางรู้เพียงว่าที่ซูซินเหลียนไม่หายใจ แต่กลับสามารถเคลื่อนไหวได้นั้น มันช่างน่ากลัวจริงๆ คนพวกนี้เป็นปีศาจหรือ เรื่องแบบนี้เกินความสามารถที่จื่อเย่ว์จะจัดการได้ 

 

 

“ท่านหมอ ถ้าเช่นนั้นควรจะจัดการกับนางอย่างไรดี” 

 

 

ฮว่าเหยียนบอกว่า 

 

 

“ก็แค่มนุษย์แมลง ไม่ได้มีบทบาทอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านายนาง ใครกันที่กล้าแย่งคนไปจากมือข้า น่าแปลกจริงๆ”  

 

 

ทางนี้ฮว่าเหยียนกำลังนึกสงสัย ส่วนข่าวการฟื้นของซูซินเหลียนทำให้เถิงเสวี่ยตกใจ แต่คราวนี้เถิงเสวี่ยไม่ได้มาด้วยตนเอง ให้หงหลิงเอ๋อร์มาจัดการแทน ไหนเลยนางจะมีใจมาจัดการเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่น พอรู้ว่าซูซินเหลียนกลายเป็นมนุษย์แมลงกลับไม่รู้สึกแปลกใจ ทั้งยังคร้านที่จะไปยุ่งว่าใครเป็นเจ้านายของนาง เพียงแต่กำชับว่าวันที่สิบห้าเดือนนี้ก็จะทราบแล้ว 

 

 

“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แมลงของผู้ใด รอให้ถึงวันที่สิบห้าก็จะรู้ หมอผีอย่างข้าขึ้นไปไม่กี่วัน ดูสิว่าใครกันที่มีฝีมือขนาดนี้” 

 

 

เวลานี้ถังเฉียนไม่ผ่อนคลายเลย เพราะฉู่จิ่งเหยาเป็นอาจารย์ที่เข้มงวด ไม่ว่านางจะชูกระบี่ขึ้นหรือลดกระบี่ลง ล้วนเรียกร้องให้ทำท่าที่แม่นยำไม่ผิดพลาด แม้จะเป็นเพียงวันแรก แต่ฉู่จิ่งเหยายังคงเรียกร้องมาตรฐานที่สูงมาก 

 

 

“ท่านอ๋อง ข้ายังป่วยอยู่นะ” 

 

 

นางยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ มีคำกล่าวว่าบนเวทีประลองหนึ่งนาทีแต่ผ่านการฝึกสิบปี นางยืนท่านี้กว่าชั่วครึ่งก้านธูปแล้ว ปวดเมื่อยแขนไปหมด