ว่าไง คุณชายใหญ่สวี ไม่เจอกันนานเลยนะ

 

 

 

 

สัตว์ที่ล่ามาได้เยอะเพียงนั้นนอกจากจะนำมาเป็นอาหารในกองทัพแล้ว เสิ่นเวยยังแบ่งไปให้บ้านเด็กกำพร้าและชาวบ้านที่ลำบาก ของไม่เยอะ แต่กลับเป็นการปันน้ำใจ 

 

 

ท่านเสิ่นโหวยังตั้งใจเรียกเสิ่นเวยไปปรึกษา ภายหลังในกองทัพนอกจากการฝึกซ้อมเฝ้าระวังตามปกติแล้ว ทุกวันยังต้องแบ่งกลุ่มคนเวียนกันไปล่าสัตว์บนเขา ไม่เพียงแต่ล่าสัตว์ แต่เมื่อเจอผักป่าหรือเห็ดที่สามารถกินได้ก็จะเก็บกลับมาเช่นกัน 

 

 

อากาศเริ่มหนาว ไม่สำรองวัตถุดิบไว้ให้มากแล้วจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร พึ่งใครก็ไม่เท่าพึ่งตัวเอง กองทัพใหญ่ซีเหลียงยังจับตามองอยู่ข้างๆ ชาวนาผู้มีประสบการณ์ก็บอกไว้แล้วว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวมากเป็นพิเศษ ซีเหลียงจะต้องยกทัพโจมตีชายแดนอีกครั้งเพื่อเอาชีวิตรอดแน่นอน สงครามดุเดือดครั้งนี้แทบจะคาดเดาได้แล้ว 

 

 

ความสงบนิ่งในตอนนี้เป็นเพียงเพราะซีเหลียงพ่ายแพ้กะทันหันไม่ทันได้ตอบสนองกลับมา เสิ่นเวยแอบเสียดายลูกธนูดอกนั้น นางน่าจะชุบยาพิษประเภทที่เข้าสู่กระแสเลือดแล้วก็สามารถหยุดลมหายใจได้ เช่นนี้ท่านอ๋องใหญ่ซีเหลียงก็จะต้องตายแน่นอน กลุ่มกำลังส่วนในของซีเหลียงอาจจะมีการผันเปลี่ยนขนาดใหญ่จึงทำให้เมืองชายแดนมีเวลาหยุดพักมากขึ้น 

 

 

หลายวันนี้เสิ่นเวยไม่พาคนไปล่าสัตว์แล้ว แต่พาคนของนางไปลาดตระเวนพรมแดน สำรวจภูมิประเทศแทน ที่ใดมีเขา ที่ใดมีแม่น้ำ ที่ใดเหมาะสมจะดักซุ่มโจมตี ที่ใดเป็นจุดยุทธศาสตร์ มีสองครั้งที่แทรกซึมเข้าไปถึงข้างในเขตแดนซีเหลียง พบทหารซีเหลียงกลุ่มเล็กในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่สูงเท่าขา ผลลัพธ์แน่นอนว่ากวาดล้างทหารซีเหลียงได้ทั้งหมด ขนกลับมาเต็มคันรถ 

 

 

เสิ่นเวยมีความกังวลอยู่ลึกๆ เหตุใดเสบียงของราชสำนักจึงยังมาไม่ถึงเมืองชายแดน คำนวณวันเวลาแล้ว ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเหมือนเสิ่นเวยก็ควรจะถึงได้แล้ว หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นระหว่างเดินทาง 

 

 

ผู้ที่คุมส่งเสบียงคือแม่ทัพอู่เลี่ย เป็นบิดาของจางเข่อซินเพื่อนสนิทของตน ความกังวลของเสิ่นเวยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจเลี่ยง หลายวันมานี้ที่นางออกจากเมืองลาดตระเวนชายแดน อันที่จริงก็ตั้งใจจะเป็นกำลังหนุน แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกครั้งก็ต้องกลับมาอย่างผิดหวัง 

 

 

วันนี้เสิ่นเวยพาคนออกจากเมืองตามปกติ ตากแดดตากลมติดต่อกันหลายวัน เสิ่นเวยดำแล้ว ทั้งยังผอมลงแล้ว แต่ร่างทั้งร่างกลับเหมือนกระบี่ที่ที่ออกจากฝัก แหลมคมและลุ่มลึก 

 

 

ท้องฟ้าซีเจียงสูงและกว้างไกล สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วไหว พัดพาความเย็นหนึ่งกลุ่มผ่านร่าง ในเมืองหลวงยังอยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงแต่ซีเจียงกลับเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว 

 

 

เสิ่นเวยขี่ม้าห้อตะบึง ผู้ที่ติดตามขนาบข้างยังคงเป็นเถาฮวาและโอวหยางไน่ อันที่จริงเสิ่นเวยเอ่ยปากนานแล้วว่า ให้โอวหยางไน่กลับกองทัพ เพียงแต่เขายืนกรานไม่ยอมก็เท่านั้นเอง 

 

 

“คุณชาย สองลี้ข้างหน้ามีกองทัพซีเหลียงหนึ่งกลุ่ม จำนวนคนประมาณร้อยคน” ทหารลับที่สำรวจเส้นทางข้างหน้าเข้ามารายงาน 

 

 

เสิ่นเวยขมวดคิ้วมุ่น สองครั้งก่อนต่างก็เจอทหารซีเหลียงในเขตแดนซีเหลียง ตอนนี้ยังไม่ถึงพรมแดนซีเหลียง ทหารซีเหลียงวิ่งมาถึงที่นี่ทำไมกัน อีกทั้งยังเคลื่อนทัพเป็นร้อยคน เสิ่นเวยรู้สึกแปลก แต่แปลกอย่างไรนางกลับคิดไม่ตกในชั่วขณะ 

 

 

“คุณชาย พวกเราโจมตีกันเถอะ” 

 

 

“ใช่แล้ว ตีพวกมัน ให้ทหารซีเหลียงกลับไปไม่ได้” 

 

 

“ถูกต้องๆ ไม่ตีก็น่าเสียดาย ตีแล้วค่อยว่ากัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ม้าของทหารซีเหลียงก็ดีมากแล้ว” 

 

 

คนที่ตามอยู่ข้างหลังแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ละคนไอสังหารคุกรุ่น ท่าทางพร้อมเข้าไปต่อยตีทันที 

 

 

เสิ่นเวยคิดๆ ดูก็ใช่ ไม่ว่าทหารซีเหลียงจะมีเงื่อนงำอย่างไร กวาดล้างพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า  

 

 

คนที่เสิ่นเวยพาออกมามีเกือบสองร้อยคน แน่นอนว่าไม่รวมเสิ่นเส้าหย่งและคนอื่นๆ ที่มาเมืองชายแดนซีเจียงก่อนหน้านี้ พวกเขาเข้ากองทัพซีเจียงอยู่ก่อนแล้ว กลายเป็นทหารประจำการ ไหนเลยจะออกมาได้ตามอำเภอใจ 

 

 

มีเพียงผู้กล้าที่ชนะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนคนฝั่งเสิ่นเวยก็ได้เปรียบ แต่ว่าเมื่อสู้รบไปเรื่อยๆ เสิ่นเวยก็สังเกตเห็นว่าทหารซีเหลียงที่มีนิสัยห้าวหาญป้องกันรักษาค่อนข้างเยอะ คล้ายกับว่ากำลังถ่วงเวลาพวกเขาอยู่ 

 

 

ในใจเสิ่นเวยเกิดความรู้สึกแปลกๆ ชนิดหนึ่ง ฟันทหารซีเหลียงผู้หนึ่งทิ้ง ชูดาบหมื่นโลหิตขึ้นแล้ว ตะโกนกล่าว “กลุ่มเล็กหนึ่งถึงสิบตามข้าไป คนที่เหลือกวาดล้างศัตรูต่อ เร็ว!” 

 

 

ในสนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที กลุ่มเล็กหนึ่งถึงสิบรบไปพลางถอยไปพลาง รวมกลุ่มอยู่ข้างกายเสิ่นเวยด้วยความรวดเร็ว คนที่เหลือก็ปิดช่องว่างทันที ต่อสู้ด้วยกันกับทหารซีเหลียงต่อ 

 

 

ทหารซีเหลียงเห็นเสิ่นเวยแบ่งกองทัพเป็นสองทางก็ร้อนรน คิดอยากจะเข้ามาขัดขวาง แต่กลับถูกคนที่เหลือขวางไว้อย่างแน่นหนา ทำได้เพียงจ้องมองเสิ่นเวยพาคนจากไป 

 

 

เสิ่นเวยเฆี่ยนม้า ร้อนใจดั่งไฟสุมทรวง ในใจมีเพียงความคิดเดียว หวังว่าคงแค่ตกใจไปเอง อย่าเป็นแบบที่นางคิดเด็ดขาด 

 

 

จะว่าไปแล้ว แม่ทัพอู่เลี่ยก็โชคร้ายจริงๆ ตั้งแต่ที่พากองทัพคุมส่งเสบียงสามร้อยคนกลุ่มนี้ออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงก็ไม่ได้สงบสุขอีกเลย ตลอดทางพบโจรปล้นโจรภูเขากลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ห้าหกครั้ง เฉลี่ยแล้วสองสามวันเจอหนึ่งครั้ง แม้จะบอกว่าภายใต้การบัญชาการของเขาไม่มีความเสียหายใดๆ แต่กลับทำให้ล่าช้า ออกเดินทางมากี่วันแล้วยังไม่ถึงเมืองชายแดนซีเจียงอีก พลาดโอกาสในการรบไปจะเป็นโทษหนัก 

 

 

แม่ทัพอู่เลี่ยกระทั่งสงสัยว่าในราชสำนักมีคนทรยศหรือไม่ มิเช่นนั้นโจรภูเขาเหล่านี้จะรู้เส้นทางการเดินทางของเขาแม่นยำเพียงนี้ได้อย่างไร เสียเสบียงเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่ผู้นั้น ตนคงทำได้แค่เพียงไปรับโทษกับจักรพรรดิ เพื่อที่จะปกป้องความปลอดภัยของคุณชายใหญ่สวี แม่ทัพอู่เลี่ยจึงส่งทหารคนสนิทไปคุ้มกันเขาทั้งหมด 

 

 

เดินทางมาได้เพียงครึ่งเดียว แม่ทัพอู่เลี่ยก็รู้สึกเหนื่อยกายเหนื่อยใจ กลัดกลุ้มยิ่งกว่าทำศึกสงครามดุเดือดเสียอีก ยังคงเป็นสวีโย่วที่ทนเห็นไม่ได้ จึงส่งเจียงเฮยมาปรึกษาเพื่อเปลี่ยนเส้นทางเดินทางกับเขา การเดินทางหลังจากนี้จึงราบรื่น ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าในราชสำนักมีคนปล่อยข่าว ใครกัน พุ่งเป้ามาที่เขา หรือว่าพุ่งเป้ามาที่ซีเหลียง หัวใจเขาดิ่งลึกอย่างอดไม่ได้ เพียงแค่หวังว่าจะไปถึงเมืองชายแดนซีเจียงโดยเร็ว ปลดหน้าที่ครั้งนี้ไปได้ 

 

 

แต่ว่า บนเนินเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองชายแดนซีเจียงเพียงห้าสิบหกสิบลี้กลับเจอการซุ่มโจมตีของศัตรูอีกครั้ง 

 

 

เป็นทหารซีเหลียง ทหารซีเหลียงเต็มจำนวน แน่นขนัดเต็มพื้นที่ มองดูแล้วน่าจะมีมากกว่าพันคน หัวใจของแม่ทัพอู่เลี่ยจางเฮ่าหรานเย็นเยียบ พลางสั่งคนไปปกป้องคุณชายใหญ่สวี พลางชักดาบรบของตนออกมา 

 

 

คนสามร้อยคนเผชิญหน้ากับคนหนึ่งพันคน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งพันคนที่มีกำลังอาวุธพร้อม ไหนเลยจะยังมีโอกาสชนะ จางเฮ่าหรานยิ่งสู้ก็ยิ่งตกใจ ทหารซีเหลียงเหล่านี้ไม่แตะต้องเสบียง เพียงแค่ล้อมสังหารพวกเขา ดูท่าแล้วตั้งใจจะกวาดล้างให้หมด 

 

 

เห็นเพื่อนร่วมรบข้างกายล้มลงทีละคนๆ ดวงตาของจางเฮ่าหรานก็เป็นสีแดงก่ำ ไม่ได้ จะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วคุณชายใหญ่สวีเล่า จะต้องส่งเขาออกไปให้ได้ ต่อให้ตนจะสู้รบจนตายก็ต้องพาเขาหนีออกไปให้ได้ ขอเพียงคุณชายใหญ่ปลอดภัยไร้กังวล ครอบครัวที่เขาทิ้งไว้ในเมืองหลวงจึงจะปลอดภัยได้ 

 

 

“คุณชายใหญ่ ไป รีบไป!” ดาบของจางเฮ่าหรานกันอาวุธของทหารซีเหลียงสองนายไว้ ตะคอกเสียงดังบอกสวีโย่ว 

 

 

ฝั่งสวีโย่วเองก็ไม่ใช่จะสบาย เขาพาเจียงไป๋กับเจียงเฮยสองพี่น้องมาด้วย แม้ว่าวรยุทธ์ของสองพี่น้องคู่นี้จะแข็งแกร่ง แต่สองหมัดก็ยากจะสู้สี่มือ ต่อให้เขาทั้งสองจะเก่งมากกว่านี้ก็ต้านทหารซีเหลียงไว้ไม่ไหว 

 

 

อาการบาดเจ็บภายในร่างของสวีโย่วยังไม่หายดี ไม่อาจใช้กำลังภายในได้ กำลังการสู้รบก็ลดลงมากกว่าครึ่งในชั่วขณะ ภายใต้การปกป้องของเจียงไป๋กับเจียงเฮยก็ค่อยๆ ด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

เสียงตะโกนของจางเฮ่าหรานแน่นอนว่าสวีโย่วได้ยินแล้ว แต่เขาไม่มีหน้าจะทำเรื่องอย่างการทิ้งคนทั้งหมดแล้ววิ่งหนีเอาชีวิตรอดได้จริงๆ แม้แต่คำโน้มน้าวของเจียงไป๋กับเจียงเฮยก็ถูกเขาตวาดใส่ สองมือของเขากุมกระบี่ยาวแน่น ตั้งสติฟันทหารซีเหลียงที่ล้อมเข้ามาคนหนึ่ง เบื้องลึกในใจมีพลังหนึ่งกลุ่มประคับประคองเขาไว้ เขาต้องมีชีวิตอยู่ เด็กน้อยยังรอเขากลับไปสู่ขอนางอยู่ที่เมืองหลวงอยู่เลย ประคองไว้ ประคองจนทหารคนสนิทของเขามาถึงก็ได้แล้ว 

 

 

คนที่ล้มลงเยอะขึ้นเรื่อยๆ คนที่ยังยืนอยู่บนร่างต่างก็ได้รับบาดแผลน้อยบ้างเยอะบ้าง สวีโย่วเองก็ไม่รู้ว่าตนฆ่าทหารซีเหลียงไปมากน้อยเพียงใดแล้ว ร่างทั้งร่างเขาล้วนชาดิก แต่กระบี่ยาวในมือกลับกวัดแกว่งราวกับเครื่องจักร แทงศัตรู หูก็ได้ยินเสียงตะโกนโกรธของแม่ทัพอู่เลี่ย “คุณชายใหญ่ ข้าขอท่านล่ะ ไปเถอะ รีบไปเถอะ!” 

 

 

สวีโย่วทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไปไม่ได้ ความทะนงตนของเขาไม่อนุญาตให้เขาวิ่งหนี 

 

 

เสิ่นเวยขี่ม้าห้อตะบึง ได้ยินเสียงตะโกนฆ่ามาแต่ไกลๆ ในใจก็หวาดกลัวในชั่วขณะ แย่แล้ว นางทายถูกจริงๆ ด้วย ซีเหลียงส่งคนมาแย่งเสบียงจริงๆ หวังว่าจะมาทัน 

 

 

“บุกไปข้างหน้าให้หมด ข้างหน้ามีทหารซีเหลียง!” เสิ่นเวยออกคำสั่งด้วยความรวดเร็ว มือทั้งคู่สะบัดเชือกบังเ**ยน วิ่งไปข้างหน้าเร็วยิ่งขึ้น แม่ทัพอู่เลี่ย ท่านต้องประคองไว้ให้ได้นะ 

 

 

จางเฮ่าหรานย่อมได้ยินเสียงกีบเท้าม้าที่วิ่งห้อเข้ามาข้างหน้า แต่เขาก็ไม่กล้าหวัง หากเป็นกองกำลังหนุนซีเหลียงเล่า ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี จางเฮ่าหรานที่ผ่านอุปสรรคมามากมายคิดไม่ถึงว่าตนจะเรือล่มในร่องน้ำเล็กๆ เช่นนี้ 

 

 

ต่อให้จะต้องตายข้าก็จะต้องฆ่าทหารซีเหลียงให้ได้ ชั่วขณะในใจจางเฮ่าหรานก็ฮึกเหิมขึ้นมา หัวเราะร่าฮ่าๆ ตะโกนเสียงดัง “เข้ามาสิ พวกลูกสุนัขซีเหลียง ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นความเก่งกาจของข้า พี่น้องทั้งหลายฆ่ามันเสีย ฆ่าได้คนเดียวก็ดี ฆ่าสองคนก็ยิ่งดี อย่าให้พวกลูกสุนัขซีเหลียงได้เปรียบ!” 

 

 

คำพูดนี้ดังเข้าไปในหูเสิ่นเวยที่ขี่ม้าเข้ามา เสิ่นเวยกระตุกมุมปากจากนั้นก็ออกคำสั่งสุดท้าย “บุก ฆ่า” วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “แม่ทัพอู่เลี่ยประคองไว้ก่อน พวกข้ามาช่วยแล้ว!” 

 

 

จางเฮ่าหรานดีใจในชั่วขณะ เกิดพลังฮึกเหิมอันไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมาอีกครั้งทันที “พี่น้องทั้งหลายได้ยินแล้วใช่หรือไม่ กองกำลังหนุนของพวกเรามาแล้ว ฆ่า!” เขานำคนไม่กี่สิบคนที่เหลืออยู่สู้รบกับทหารซีเหลียง 

 

 

แม้ว่าเสิ่นเวยจะนำคนมาเพียงหนึ่งร้อยคน แต่กำลังทหารแกร่งกล้าอย่างยิ่ง บวกกับที่นางพาเถา 

 

 

ฮวาโอวหยางไน่บุกอยู่ข้างหน้า กลับคลายความกดดันของจางเฮ่าหรานกับคนอื่นได้มากจริงๆ 

 

 

ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยเร็วจนมองเห็นได้แค่เพียงเงาดาบ เงาดาบกะพริบวาบ ทหารซีเหลียงยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญ ศีรษะก็หล่นลงพื้นแล้ว 

 

 

เถาฮวาคุ้มกันอยู่ทางซ้ายของเสิ่นเวย ในมือแกว่งกระบองเหล็กออกไป ทหารซีเหลียงก็ล้มลงเป็นผืนใหญ่ แกว่งอีก ก็ล้มลงอีก 

 

 

โอวหยางไน่คุ้มกันอยู่ทางขวาของเสิ่นเวย ทวนยาวของเขาแหลมคม ทุกๆ ที่ที่ผ่านไป หน้าอกของทหารซีเหลียงต่างก็มีบุปผาโลหิตผลิบาน งดงามอย่างน่าประหลาด 

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ติดตามห้าวหาญที่ตามอยู่ข้างหลัง ทวนยาวกับดาบใหญ่สีเดียวกัน ทหาร 

 

 

ซีเหลียงยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกจบชีวิตแล้ว ชายร่างกำยำหนึ่งร้อยคนนี้จ้องมองทหารซีเหลียงราวกับจ้องมองเหยื่อ แววตามีประกายสีเขียวแวววับ 

 

 

ชั่วเวลาเพียงจิบชาครึ่งถ้วยเสิ่นเวยก็บุกฆ่าเข้าไปตรงกลางสนามรบแล้ว ทุกๆ แห่งที่ผ่านไปเลือดเนื้อสาดกระจาย 

 

 

แม้แต่จางเฮ่าหรานยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ เขามองกองกำลังหนุนที่ราวกับตกลงมาจากฟ้ากลุ่มนี้ รู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขาเป็นขุนพลจากแดนสวรรค์ ยังมีคุณชายวัยหนุ่มที่นำทัพผู้นี้ วิทยายุทธ์ทั้งร่างแปลกประหลาดไม่อาจคาดเดา ระหว่างที่แกว่งมือก็กวาดชีวิตคนไปได้จำนวนมาก ราวกับยมทูตที่เดินออกมาจากนรก 

 

 

สวรรค์ นี่มันลูกหลานตระกูลใดกัน ปกติเขาก็คิดว่าบุตรชายทั้งสามของเขาก็ไม่เลวแล้ว ตอนนี้เทียบกับคุณชายท่านนี้แล้ว บุตรของตนก็ถูกเหยียบจนจมดินลงไปทันที 

 

 

มีการเพิ่มกำลังช่วยเหลือของเสิ่นเวย สถานการณ์ในสนามรบก็พลิกกลับมา ทหารซีเหลียงล้มลงเป็นวงกว้าง ทหารซีเหลียงที่ยังยืนอยู่ก็ถูกทำลายความกล้าหาญ พากันหันหลังวิ่งหนี 

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่ไล่ตาม นางมั่นใจว่าพวกเขาคงหนีไม่พ้น ข้างหลังนางยังทิ้งคนเกือบร้อยคนเอาไว้อยู่