ว่าไง คุณชายใหญ่สวี ไม่เจอกันนานเลยนะ
เสิ่นเวยเดินไปหาจางเฮ่าหราน เพิ่งจะประสานมือทักทาย หูก็ได้ยินเสียงเรียกหนึ่ง “นี่ไม่ใช่คุณหนะ…อื้อ อื้อ” คล้ายกับถูกใครปิดปากอยู่
เสิ่นเวยเหลือบตาขึ้นมอง ชั่วขณะก็ตาค้างปากอ้า นั่น…คุณชายที่หล่อเหลาสีหน้าสุขุมผู้นั้นไม่ใช่
สวีโย่วเจ้าโรคจิตหรอกหรือ เขาไม่อยู่ที่เมืองหลวงแต่วิ่งมาก่อเรื่องอะไรที่ซีเหลียงนี่กัน
“ว่าอย่างไร คุณชายใหญ่สวี ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสิ่นเวยตกตะลึงเพียงแค่ชั่วพริบตา จากนั้นก็ยกยิ้มทักทายสวีโย่วทันที
“น้องสี่เสิ่น” สวีโย่วเห็นเด็กหนุ่มที่ศีรษะเปื้อนหญ้าแห้งยิ้มเหมือนอันธพาลทั้งใบหน้าผู้นี้ก็รู้สึกปวดฟัน นี่ไหนเลยจะเป็นคุณชายสี่ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเสิ่นเวยเด็กที่ทำให้คนเป็นห่วงผู้นั้น ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถบอกกล่าวนางได้จึงรู้สึกผิด ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้วิ่งมาซีเจียงก่อนแล้ว ดูสิใบหน้าเล็กๆ ใบนั้นตากแดดมา ความคล่องแคล่วในการฆ่าคนเช่นนั้น ต้องไม่มีวันคืนที่สงบสุขเป็นแน่
“นั่นสิ ไม่เจอกันนานเลย” สวีโย่วใบหน้าขึงตึงกล่าวเว้นจังหวะ เขากำลังจะถูกความสามารถในการโกหกหน้าตายของเด็กคนนี้ยั่วโมโหแล้วจริงๆ ไม่เจอกันนานอะไร นานหรือ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันยังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ
เสิ่นเวยเองก็คิดถึงเรื่องนี้ ยิ้มเจื่อนกล่าว “คุณชายใหญ่สบายดีหรือไม่” ดวงตาของเสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่วตั้งแต่หัวจนเท้า อยากตบปากตัวเองทันที แค่ตาไม่บอดก็มองออกว่าตอนนี้สวีโย่วไม่สบายดีอย่างยิ่ง ปิ่นหยกที่รวบผมอยู่ยังหลุดออกมาครึ่งหนึ่งจะดีได้อย่างไร
ขณะที่เสิ่นเวยอยากพูดอะไรต่อเพื่อกู้สถานการณ์ ก็ได้ยินแม่ทัพอู่เลี่ยเอ่ยปาก “คุณชายเสิ่นผู้นี้รู้จักคุณชายใหญ่ด้วยหรือ”
“เอ๋ ท่านลุงจาง ท่านอย่าเรียกข้าเช่นนี้ คุณชายเสิ่นอะไรกัน ท่านเรียกข้าว่าเจ้าสี่ก็พอแล้ว ท่านปู่ข้าก็คือเสิ่นผิงยวน จงอู่โหวผู้ปกครองซีเจียง” เสิ่นเวยเชิดใบหน้าเล็กๆ ยิ้มอย่างเปล่งประกาย “ท่านน่ะ ไม่ต้องสุภาพกับข้า น้องสี่ในจวนก็มีความสัมพันธ์อันดีกับบุตรสาวของท่าน ท่านสุภาพกับข้า น้องสี่จะโกรธข้าเอาได้”
“ที่แท้แล้วก็เป็นหลานรักของท่านเสิ่นโหวนี่เอง เป็นคนเก่งดั่งคาด” จางเฮ่าหรานกล่าวอย่างเข้าใจในทันที ตอนแรกภรรยายังมาปรึกษากับตน จะให้ลูกชายคนโตมาสู่ขอคุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหว ใครจะรู้ดันพลาดไม่สำเร็จ ต่อมาจักรพรรดิพระราชทานสมรสให้คุณหนูสี่กับคุณชายใหญ่สวี ภรรยายังท้อใจอยู่นาน มิน่าเล่าเขาจึงรู้จักกับคุณชายใหญ่ นี่คือพี่ชายว่าที่ภรรยาของคุณชายใหญ่นี่เอง
อืม ดูจากอายุของคุณชายสี่ผู้นี้แล้วกลับพอๆ กับซินเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเขาหมั้นหมายไว้แล้วหรือยัง หากยังไม่มีกลับเป็นคู่หมายที่ดีนัก จางเฮ่าหรานยิ่งมองเสิ่นเวยก็ยิ่งรู้สึกชอบใจ
สายตานั้นร้อนแรงจนแม้แต่เสิ่นเวยที่หน้าหนามาโดยตลอดยังรู้สึกเคอะเขิน นางลูบคางกล่าว “ท่านลุงจาง พวกเรารีบกลับเมืองดีกว่า” จากที่นี่ไปเมืองชายแดนยังเหลืออีกหลายสิบลี้ อย่าได้เจอเหตุไม่คาดคิดใดๆ อีกจึงจะดีที่สุด
จางเฮ่าหรานเองก็คิดเช่นนี้ เขาอยากจะบินไปให้ถึงเมืองชายแดนปลดหน้าที่ครั้งนี้ทันที เก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว ขุดหลุมใหญ่ฝังศพทหารที่ตาย คนที่ได้รับบาดเจ็บก็ทำแผลอย่างง่ายๆ แล้วแบกขึ้นรถเสบียง คนหนึ่งแถวคุ้มกันเสบียงมุ่งหน้าไปยังเมืองชายแดนต่อ
“คุณชายสี่ คุณชายของพวกเราเชิญท่านไปหา” เจียงไป๋เข้ามาแจ้ง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองดาบของเสิ่นเวย ตัวดาบเรียบง่าย แสงเย็นเยียบสาดส่องไปทั่วด้าน เมื่อครู่ตอนที่คุณหนูสี่ฆ่าคนเขาเห็นหมดแล้ว นี่เป็นดาบดีที่สุดแห่งยุค เจียงไป๋ใช้แรงมหาศาลจึงจะควบคุมไม่ให้ตัวเองยื่นมือไปจับได้
เสิ่นเวยไม่อยากไปอย่างยิ่ง แต่ภายใต้การจ้องมองจึงปฏิเสธไม่ลง ทำได้เพียงตามเจียงไป๋ไปที่รถของสวีโย่วอย่างไม่ยินดี
“คุณชายใหญ่เรียกน้องสี่มามีเรื่องอะไรหรือ” เสิ่นเวยแกล้งถาม
“ขึ้นรถ” ในรถมีเสียงที่เรียบเฉยของสวีโย่วดังออกมา
คนผู้นี้จะเล่นลูกไม้อะไร ชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่รู้หรือไร เสิ่นเวยคิดจะถอยหลังตามจิตใต้สำนึก ใช้แรงอยู่มากจึงจะควบคุมเท้าของตัวเองไว้ได้ “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้กระมัง หากมีธุระคุณชายใหญ่สั่งมาเลยก็ได้” นางไม่อยากขึ้นรถเลยแม้แต่นิดเดียว
“ขึ้นมา” สวีโย่วพูดอีกครั้ง
ทุกคนต่างก็จ้องมองอยู่ เสิ่นเวยเองก็ไม่ควรทะเลาะกับเขา ทำได้เพียงฝืนใจขึ้นรถม้า เมื่อเข้าไปก็สบสายตาที่สงบนิ่งคู่นั้นของสวีโย่ว ดวงตาคู่นั้นราวกับว่าสามารถมองทะลุนางได้
เสิ่นเวยกระแอมอย่างเคอะเขินหนึ่งครา เลื่อนสายตาออกด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ หลุบตาลงไม่พูดจา
มองจากทิศทางของสวีโย่วจะสามารถเห็นลำคอช่วงหนึ่งที่เผยออกมาของเสิ่นเวยได้พอดี สีผิวนั้นขาวใสราวกับดอกบัวขาวในฤดูร้อน ต่างจากสีผิวบนใบหน้าและมือ
นางเองมีช่วงเวลาที่น่ารักเช่นนี้ด้วยหรือ สวีโย่วยกมุมปากเงียบๆ
ทว่าเสิ่นเวยกลับรู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง รู้สึกไม่มั่นใจอย่างไม่มีเหตุผล นางแอบวิจารณ์ด้วยความไม่พอใจ มีปัญหาหรือ เรียกข้าขึ้นมาแต่ไม่พูด หาเรื่องใช่ไหม นี่เป็นท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหรือ
เสิ่นเวยกำลังจะโมโห จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่นิ่งลึกของสวีโย่วดังขึ้น “น้องสี่เสิ่นใช่หรือไม่”
ท่าทีของเสิ่นเวยอ่อนลงทันที “ก็ใช่น่ะสิ ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ ข้าลำดับสี่ในจวน” นางตะโกนเสียงเล็ก น้องสี่เสิ่นชื่อนี้ดีมากไม่ใช่หรือ สนิทชิดเชื้อมากนัก
จู่ๆ ก็ได้ยินสวีโย่วแค่นเสียงหนึ่งครา เสิ่นเวยไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไร จึงก้มหน้าหลุบตาแกล้งตายเสียเลย มีการสมรสพระราชทานแล้วไม่ใช่หรือ มีสิทธิ์ไม่พอใจนางมากเพียงนี้เลยหรือ
“เจ้าวิ่งมาถึงเมืองชายแดนได้อย่างไร” เสียงของสวีโย่วดังขึ้นอีกครั้ง
เสิ่นเวยตอบตามความจริง “ขนเสบียงมาให้ปู่ข้า”
“ตระกูลเจ้าไม่มีคนแล้วหรือ” สวีโย่วกล่าวต่อ
“มีสิ ตระกูลข้าคนเยอะ” เสิ่นเวยตอบอย่างไม่ได้คิด เมื่อเห็นสีหน้าประชดของสวีโย่วจึงได้สติกลับมา ลูบจมูกอย่างอดไม่ได้แล้วกล่าว “ไม่ใช่เพราะข้าเก่งหรือไร” เสิ่นเวยกลับไม่ได้พูดเท็จ พี่ชายในจวนรวมกันแล้วยังเก่งไม่เท่านางคนเดียวเลย ปู่นางยังออกปาก
แม้ว่าเจตนาที่ปู่นางพูดเช่นนี้จะไม่ชัดเจนเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางฟังแล้วดีใจอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วจ้องมองนางปราดหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกประหลาด กล่าวอย่างมีเลศนัย “เก่งจริงๆ นั่นแหละ”
เสิ่นเวยสับสนในชั่วขณะ เขา…เขาหมายความว่าอย่างไร คงไม่ใช่แบบที่นางคิดใช่ไหม คุณชายผู้มีคุณธรรมสูงส่งบริสุทธิ์มีความรู้เป็นเลิศผู้นี้คงไม่ได้แอบซ่อนนิสัยหื่นกามไว้ใช่หรือไม่ ให้ตายเถอะ จักรพรรดิพระราชทานสามีแบบไหนให้นางกันเนี่ย ใบหน้าของเสิ่นเวยร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
สวีโย่วเห็นใบหน้าด้านข้างที่แดงเล็กน้อยของเสิ่นเวย รอยยิ้มก็กะพริบวาบผ่านดวงตา กระตุกมุมปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงอ่อนโยน “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ พิงรถม้าพักผ่อนสักพักเถอะ”
ตอนนี้สมองของเสิ่นเวยอยู่ในสภาวะว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่ายังรู้สึกว่าคำพูดของสวีโย่วมีเหตุผลจริงๆ นางเหนื่อยเล็กน้อย กว่าจะถึงเมืองชายแดนยังต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสองชั่วยาม ถือโอกาสหลับสักตื่นก็ดีเหมือนกัน
เสิ่นเวยขยับไหล่ พิงรถม้านอนหลับจริงๆ ไม่นานนักก็ส่งเสียงกรนสม่ำเสมอออกมา
เสิ่นเวยที่นอนหลับอยู่มองไม่เห็นว่าสวีโย่วกำลังจ้องมองใบหน้าตอนนอนของนางด้วยสีหน้านิ่มนวล ความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นหยาดเยิ้ม เขายื่นมือออกไปแตะแก้มของเสิ่นเวยเบาๆ สัมผัสนั้นราวกับแตะผ้าไหมชั้นดีที่สุด อ้อไม่สิ ไม่ได้เย็นเยียบไร้ชีวิตชีวาเหมือนผ้าไหมแบบนั้น
เหมือนอะไรกัน สวีโย่วคิดอยู่เนิ่นนานก็รู้สึกว่าไม่สามารถใช้คำมาอธิบายถึงความรู้สึกที่ดีงามนั้นได้ เขายื่นมือไปลูบอีกอย่างอดไม่ได้ อาจจะแรงไป เสิ่นเวยจึงขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า
สวีโย่วตกใจจนชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เห็นเสิ่นเวยเพียงแค่ขยับเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีจะตื่น เขาก็ยิ้มเจื่อนในใจอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ตนเป็นอะไรไป เกิดความสนใจมากมายเช่นนี้ต่อเด็กน้อยที่เด็กว่าตนอย่างยิ่งผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
หลังจากนั้นมาสวีโย่วกลับประพฤติตัวดีอย่างยิ่ง ไม่หยอกเย้าเสิ่นเวยอีก เขาหยิบผ้าข้างๆ มาคลุมตัวเสิ่นเวยเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับตาพักผ่อน แต่ตรงหน้ามักจะมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่งดงามดวงนั้นของเด็กน้อยปรากฎขึ้นมา สวีโย่วจึงลืมตาเสีย จ้องมองใบหน้าตอนนอนของเสิ่นเวยไปตลอดทาง
เสิ่นเวยนอนหลับลึกอย่างยิ่ง กระทั่งเข้าไปในเมืองชายแดนแล้วลงมาจากรถม้านางก็ยังสะลึมสะลือ กระทั่งสบสายตาสุนัขจิ้งจอกที่เฉียบแหลมดั่งสายฟ้าคู่นั้นของปู่นาง นางถึงสะดุ้งโหยงได้สติกลับมา
ตาย ตาย ตาย คาดไม่ถึงว่านางนอนหลับจนฟ้ามืดมัวดินต่อหน้าคุณชายใหญ่สวี ภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์และทรงเกียรติของนางพังทลายหมดแล้ว ตาย ตาย ตาย นางไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว
ไม่เท่านั้น ความมั่นใจนางก็ไม่เหลือแล้ว นางยังไม่ได้แต่งงานก็หมดความมั่นใจแล้ว สวีโย่วมีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้กับนาง ถอนหมั้น ตอนนี้กอดขาท่านปู่ร้องไห้ขอให้ถอนหมั้นจะได้หรือไม่ เสิ่นเวยอยากจะร้องไห้แล้วจริงๆ
เสิ่นเวยรู้สึกว่านางกำลังจะตายเพราะความโง่ของตัวเองแล้ว