ตอนที่ 887

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.887 – ขายสมบัติภูติ
  ทันทีที่ได้เห็นรองผู้จัดการใหญ่เจ้าของร้านทุกคนตกตะลึง หลายคนคิดว่าตนเองตาฝาด
  พวกเขาคิดพร้อมกัน…ชายแก่ผู้นี้ไม่ใช่รองผู้จัดการใหญ่หรอกรึ?ทำไมเขาถึงมาอยู่ในร้านโอสถเล็กๆกัน? แม้ร้านตงหลินจะได้ความดีความชอบมาในเร็วๆนี้ มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นที่รองผู้จัดการใหญ่ต้องมาด้วยตัวเอง!
  ไม่มีใครคิดว่าแขกที่ซือหยูพบในวันนี้จะเป็นรองผู้จัดการใหญ่!ความโกรธแค้นของเฟยฮั่งเยือกแข็งนิ่งอยู่บนใบหน้า เขายืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับเป็นหิน!
  รองผู้จัดการใหญ่จ้องเฟยฮั่งอย่างเยือกเย็นจากนั้นเขาก็เหลือบมองเหล่าเจ้าของร้านด้านหลัง เขาพูดกับเฟยฮั่ง
  “ทำอะไรของเจ้า!พรุ่งนี้จงกลับตำหนักไปซะ เมืองเทียนหยาไม่ต้องการเจ้าอีกแล้ว!”
  รองผู้จัดการใหญ่ตัดสินชะตาของเฟยฮั่งด้วยคำพูดไม่กี่คำ!ยอดขายร้านกลิ่นสวรรค์นั้นน่าตกใจ คะแนนที่ตำหนักจะให้นั้นเกินกว่าจะจินตนาการได้!
  เฟยฮั่งได้ตำแหน่งนี้มาจากการสนับสนุนของเจ้าตำหนักขวาปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่การเสียคะแนนจากการที่รองผู้จัดการใหญ่ปลดเขา แต่เป็นการลงโทษจากเจ้าตำหนักขวา!
  เหล่าเจ้าของร้านที่ส่งเสียงเอะอะด้านหลังสีหน้าดำมืดแต่แท้จริงในใจนั้นตื่นเต้นเพราะสุดท้ายเจ้าของร้านเฟยก็ต้องหลีกทางไป!
  “ฮ่าๆๆเจ้าของร้านเฟย ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านเฟยจะเจอแขกคนสำคัญจริงๆนะ…”
  เจ้าของร้านชั้นกลางคนหนึ่งพูดย้ำ
  “จริงด้วยเจ้าของร้านเฟย โปรดชี้ทางพวกเราด้วยว่าควรจะทำอะไรต่อ!”
  เจ้าของร้านอีกคนยั่วยุ
  เฟยฮั่งอับอายมากเขาออกจากร้านตงหลินโดยเอามือปิดใบหน้าเอาไว้ เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าของร้านเฟยออกไปเช่นนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ พวกเขาคิดว่าเวลานี้เหมาะกับการเฉลิมฉลอง!
  เจ้าของร้านที่มีสติปัญญาย่อมใช้โอกาสนี้ผูกมิตรกับซือหยูเมื่อเฟยฮั่งถูกปลดไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ เจ้าของร้านใหญ่คนต่อไปก็ต้องเป็นเจ้าของร้านซือไม่ผิดแน่!
  ซือหยูอยู่ในห้องทั้งวันเขาปฏิเสธพบแขกทุกคนเพราะกำลังเพ่งสมาธิกับการฝึกฝน เขาหยิบทรายทองสองร้อยส่วนออกมาศึกษาภาษาไม้ที่หยุนย่าสีมอบความรู้ให้
  วันต่อมาหมอกสีชมพูได้ปรากฏที่เรือนผู้เฒ่าหวงพร้อมกับเสียงกังวาล แหวนมิติวงหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันมีหญ้าใจสลายสี่ร้อยห้าสิบต้นอยู่ภายในตามที่ซือหยูบอก
  ผู้เฒ่าหวงดีใจมากเมื่อเห็นวัตถุดิบเขารีบรวมวัตถุดิบในการปรุงโอสถทั้งหมดและเริ่มผลิตวารีผงกลั่นดวงใจในปริมาณมากในฐานลับของตระกูลหวง
  ส่วนที่ล้ำค่าของโอสถนี้ก็คือวัตถุดิบที่หาไม่ได้อีกแล้วส่วนความยากในการปรุงนั้นมิใช่ปัญหาสำหรับนักปรุงยาชั้นกลาง
  ไม่กี่วันต่อมาตระกูลหวงก็ได้นำวารีผงกลั่นดวงใจสี่ร้อยห้าสิบขวดมาที่ร้านตงหลิน พวกเขายังได้ค่าตอบแทนเป็นแก้วห้าแสนดวง
  ซือหยูไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายนอกเขาเข้าสู่สภาวะเร่งเวลา เมื่อออกจากสภาวะเร่งเวลาเมื่อใด เขาก็จะดื่มวารีผงกลั่นดวงใจไปหนึ่งขวด เขาทั้งบ่มเพาะพลังและศึกษาวิชาความรู้ไปพร้อมกัน
  เมื่อผ่านไปสองสัปดาห์เมืองเทียนหยาได้เข้าสู่เวลาอันวุ่นวาย การขายวารีผงกลั่นดวงใจได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้หลายกลุ่มอำนาจต้องอิจฉา
  ขณะที่ความวุ่นวายจากโอสถดำเนินอยู่นั้นซือหยูผู้อยู่เบื้องหลังก็ได้ตื่นจากการฝึกฝน ในสภาวะเร่งเวลาครึ่งเดือนนั้นทำให้เขาได้ฝึกฝนเป็นเวลายี่สิบปีในโลกจริง!
  ในเวลานั้นความเข้าใจในภาษาไม้ของซือหยูได้ไปถึงจุดที่สมบูรณ์แบบ นอกจากคำที่แทบจะเข้าใจไม่ได้และยาก ซือหยูสามารถอ่านและเขียนได้อย่างเชี่ยวชาญ แม้แต่เผ่าไม้เองก็อาจจะเทียบซือหยูในตอนนี้ไม่ได้!
  เมื่อนับเวลายี่สิบปีของการฝึกฝนร่วมกับการศึกษาของหยุนย่าสีตลอดชีวิตเข้าไปแล้วระดับความเก่งกาจในภาษาตอนนี้ของซือหยูจึงไม่น่าแปลกใจเลย ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็พูดได้ว่ามันน่าประทับใจ
  “ภาษาไม้ไม่ใช่เรื่องยากกับข้าอีกแล้วแต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่ที่รองผู้จัดการพูดถึงมันเกี่ยวกับภาษาไม้ยังไง…”
  ซือหยูปัดฝุ่นบนร่างและกระพริบตาที่แห้งเหือด….ไอลีนโนเวล
  เขามิเพียงแต่ร่ำเรียนภาษาไม้เขายังประสบความสำเร็จในด้านการบ่มเพาะ โดยเฉพาะเมื่อได้ดื่มวารีผงกลั่นดวงใจ ซือหยูทำให้วิญญาณของตัวเองไปอยู่ในขั้นของภูติระดับหก อีกไม่นานดวงวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งเท่าจ้าวเทวะ!
  ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆฐานพลังซือหยูได้ก้าวเข้าสู่ภูติระดับห้า ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปตามลำดับ นั่นหมายความว่ามันไปถึงภูติระดับแปด หากใช้คู่กับกายามังกรก็ไม่ยากที่จะมีพละกำลังเก้าแรงช้าง!
  ซือหยูเป็นแค่ภูติระดับสามเมื่อเดินทางออกจากตำหนักและเมื่อผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน เขาก็ได้กลายเป็นภูติระดับห้า นี่คือความเร็วที่ไม่น่าจะมีใครเทียบได้!
  ซือหยูยืนขึ้นและขยับร่างกายที่แข็งเกร็งไปมาเขาเรียกหยิงหลวนกับฉิงหลิวเพื่อถามเรื่องการขายในร้าน
  เขารู้จากทั้งสองว่าวารีผงกลั่นดวงใจทั้งสี่ร้อยห้าสิบขวดถูกขายหทดในเวลาเพียงครึ่งชั่วยามจ้าวเทวะหลายคนยังซื้อไปเป็นจำนวนมากโดยให้ราคาสูง!
  เมื่อคิดรวบยอดต้นทุนที่จ่ายให้ตระกูลหวงร้านตงหลินจะได้กำไรจากการขายทั้งหมดที่สี่ล้านห้าแสนดวง! มันห่างชั้นกับกำไรปกติของร้านระดับสูงเสียอีก มันแทบจะเลื่อนระดับเป็นร้านโอสถระดับสุดยอดได้ด้วยผลกำไรระดับนี้!
  แน่นอนว่ายอดขายแปดในสิบส่วนจะถูกจ่ายให้กับผู้อาวุโสที่มีหญ้าใจสลายแต่ถึงอย่างนั้น ร้านตงหลินก็ยังได้กำไรถึงเก้าแสนดวง! หากรวมกำไรสองหมื่นที่ได้จากครั้งที่แล้วและการขายโอสถธรรมดาเข้าไป ผลกำไรก็ไม่ต่ำกว่าแก้วล้านดวง!
  หักลบหนี้สามแสนดวงที่ร้านตงหลินติดเอาไว้ก่อนซือหยูจะเข้ามาทำหน้าที่ก็จะเห็นว่าซือหยูได้เปลี่ยนการขาดทุนครั้งใหญ่เป็นกำไรที่มากกว่าแปดแสน!ซือหยูคำนวนตามมาตรฐานของตำหนัก เขาจะได้รางวัลมากกว่าสองแสนถ้าร้านได้กำไรแปดแสน!
  แต่อย่างไร…สองแสนก็ยังห่างไกลจากสี่ล้านคะแนน…ซือหยูคิด
  แต่เขามิได้ผิดหวังเพราะภารกิจร้านตงหลินเป็นเพียงแค่ภารกิจธรรมดา มันดีเหลือเกินอยู่แล้วที่เขาได้สองแสนคะแนน และความสนใจที่ได้จากผู้คนเมื่อกลับตำหนักก็มีมูลค่าที่มองไม่เห็นอยู่แล้ว
  วันนี้คือวันสุดท้ายของเดือนพอดีซือหยูหมดเวลาการเป็นเจ้าของร้านแล้ว หยิงหลวนกับฉิงหลิวไม่สบายใจนักในวันนี้ พวกเขารู้ว่าวันที่ซือหยูออกไปก็คือวันที่เจ้าของร้านคนใหม่จะมาแทนที่เขา เพราะเจ้าของร้านคนใหม่นั้นเดินทางมาเมืองเทียนหยาตั้งแต่ห้าวันก่อนแล้ว
  “นี่จดหมายที่ข้าเขียนหลังจากข้าไป เจ้ามอบจดหมายนี้ให้เจ้าของร้านคนใหม่ เขาจะใจดีกับเจ้า”
  ซือหยูส่งจดหมายที่เขียนด้วยตัวเองให้หยิงหลวนและฉิงหลิว
  ด้วยชื่อเสียงของซือหยูตอนนี้เขาสามารถไปทำงานในร้านโอสถที่ดีกว่าเมื่อใดก็ได้ หากเจ้าของร้านคนใหม่รู้ว่าควรทำอะไร เขาก็ควรจะใจดีกับคนของซือหยูเพื่อให้ซือหยูพอใจ ตราบเท่าที่เจ้าของร้านคนใหม่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขาก็จะได้เสพสุขจากการได้กำไรของร้านนี้ต่อไปได้
  “เจ้าของร้านซือ…”
  หยิงหลวนหนักใจชะตาของนางเปลี่ยนไปราวกับจรวดเพียงแค่เดือนเดียว ทั้งหมดก็เพราะซือหยู
  ฉิงหลิวกัดปาก
  “เจ้าของร้านใหญ่โปรดพาพวกเราไปกับท่านด้วย ไม่ว่าจะที่ใด พวกข้าก็จะไป”
  ซือหยูตบหลังของทั้งคู่และพูดอย่างอ่อนโยน
  “ในชีวิตย่อมมีการพบพานที่ดีและการลาจากอันโศกเศร้าตั้งแต่พวกเจ้าเจอข้า นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการลาจากมิอาจเลี่ยง ถ้าหากโชคชะตาลิขิตว่าเราจะได้เจอกันอีก พวกเราก็ย่อมได้พบกัน”
  ซือหยูโบกมือบินทะยานฟ้าและทิ้งร้านตงหลินกับเหล่าจ้าวเทวะมากมายเอาไว้เบื้องหลังตระกูลหวงขณะนี้ก็ได้แหวนมิติไปอีกวงพร้อมกับบันทึก
  ‘นี่คือวัตถุดิบหนึ่งหมื่นสองพันชุดพวกเจ้ามีเวลาครึ่งปีในการผลิตให้หมด กฎในครั้งนี้จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเจ้าจะขายโอสถให้ร้านตงหลินในราคาขวดละหนึ่งหมื่น พวกเจ้าได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสิบส่วน ส่วนข้าจะมาเก็บเก้าส่วนที่เหลือภายหลัง หวังว่าตระกูลหวงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…’
  ผู้เฒ่าหวงตกตะลึงเมื่อได้รับจดหมายเขาได้วัตถุดิบปรุงโอสถมามากมายนัก!
  หากพูดตามตรงด้วยวัตถุดิบมากมายขนาดนี้ เขาคิดถึงการชิงวัตถุดิบทั้งหมดเป็นของตัวเอง และโอสถที่ทั้งหมดจะเป็นของตระกูลหวง! นั่นทำให้พวกเขาจะได้กำไรอย่างงาม!
  แต่คำเตือนในบรรทัดสุดท้ายของซือหยูนั้นทำให้เขาคิดใหม่!เขาคิด…ถ้าข้าคิดจะยักยอกได้ แล้วทำไมผู้อาวุโสท่านนั้นจะไม่คิดแบบเดียวกันเล่า?
  แม้ผู้อาวุโสจะจากไปแล้วเขาก็แต่งตั้งร้านตงหลินจากตำหนักโลหิตให้ขายมัน นั่นแสดงว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อ เพียงแค่คิดก็ทำได้เขานึกได้…ทำไมข้าต้องเสี่ยงถูกตำหนักโลหิตเขี่ยทิ้งเพื่อร้อยล้านเล่า?
  เพราะเขาคิดว่าถ้าหากทำงานให้ผู้อาวุโสเจ้าของวัตถุดิบอย่างดีเขาจะได้เงินไปสิบล้านภายในเวลาครึ่งปี ในอนาคต ผู้อาวุโสท่านนั้นย่อมส่งคำสั่งผ่านตระกูลหวงเช่นเดิม การรักษารายได้ระยะยาวย่อมดีกว่าการถูกแก้วมหาศาลยั่วยุในตอนนี้
  เมื่อคิดอย่างจริงจังเขาก็ตั้งใจว่าจะทำตามซือหยูอย่างดี เงินทองก็ไม่เคยที่จะไม่สำคัญต่อความปลอดภัยและความสงบสุขของตระกูล…และด้วยแก้วสิบล้านดวง นั่นจะดูแลตระกูลหวงไปนับชั่วอายุคน!
  เมื่อออกจากเรือนตระกูลหวงซือหยูมิได้กลับไปรายงานภารกิจในทันที เขาตรงไปที่โรงประมูลเทียนหยา
  ที่ถนนไร้ผู้คนซือหยูปลดพลังเวลาออกจากร่างกาย รูปลักษณ์แก่เฒ่าได้กลับกลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่มีผมสีขาวกระจ่าง
  ซือหยูเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกันด้วยรูปลักษณ์ใหม่นี้ จะไม่มีใครจดจำเขาในฐานะเจ้าของร้านคนเก่าของร้านตงหลินอีก
  แต่มันก็ไม่สะดวกที่ซือหยูจะแสดงใบหน้านั่นก็เพราะภาพเขียนที่เขาสังหารจักรพรรดิโลหิตได้ถูกส่งไปทั่วทวีปแล้วในตอนนี้!
  แสงกระจ่างส่องสว่างจากแหวนหมวกไผ่แล่นออกมาที่มือ
  “ข้าอยากจะนำของมาขายสักหน่อย…”
  ซือหยูพูดกับคนสาวใช้เมื่อมาถึงโรงประมูลเทียนหยา
  นางยิ้มหวานและกล่าว
  “โปรดไปกับข้าข้าจะพาท่านไปหาผู้ประเมิน”
  “เจอผู้ประเมินไปก็ไร้ความหมายให้แม่นางหลิงมาเจอข้าเถอะ”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  สาวใช้ใบหน้าแข็งทื่อแต่นางก็ฝืนยิ้มตอบกลับด้วยคำถาม
  “ท่านผู้อาวุโสพูดถึงอะไรหรือ?ข้าไม่เข้าใจ…”
  “เช่นนั้นก็หาคนที่เข้าใจออกมา!พวกเจ้าเสียวารีผงกลั่นดวงใจไปแล้วหนึ่งครั้ง เจ้าอยากจะเสียโอกาสครั้งใหญ่ไปอีกครั้งใช่ไหม?”
  ซือหยูถามด้วยความโกรธ
  นางครุ่นคิดและขบริมฝีปากนางพูดเบาๆ
  “ท่านรอที่นี่ก่อน…”
  ไม่นานนางก็มาพร้อมกับผู้ประเมินคนหนึ่งเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งที่นับว่าเป็นคนลำดับสูงในโรงประมูล
  “ข้าขอบังอาจถามว่าท่านใต้เท้าคือผู้ใด?ท่านนำสิ่งใดมาหรือ ข้าทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ประเมินอยู่แล้ว”
  เขาได้ยินว่ามีคนลึกลับและหยาบคายที่หน้าประตูเขาจึงออกมาตรวจดูด้วยตัวเองทันที
  ซือหยูพูดอย่างไม่แยแส
  “ข้ากำลังมองหาแม่นางหลิงส่วนเรื่องสิ่งที่ข้าจะขาย…เจ้าไม่ต้องพูดถึงหรอก”
  ผู้ประเมินขมวดคิ้ว
  “ข้ายังไม่ทันแนะนำตัวขออภัยด้วย แต่ข้าคือผู้ประเมินใหญ่ของโรงประมูลเทียนหยา ของทุกสิ่งที่ขึ้นประมูลจะต้องผ่านการประเมินจากข้าคนเดียว ไม่มีสิ่งใดที่ข้าตัดสินใจไม่ได้!”
  “โอ้ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ตัดสินใจได้น่ะสิถ้าข้าอยากจะขายสมบัติภูติน่ะ?”
  ซือหยูถามอย่างใจเย็น
  ผู้ประเมินใหญ่เบิกตากว้าง
  “สะสมบัติภู…”
  โชคดีที่เขาเงียบปากทันเขามองรอบๆอย่างระมัดระวัง สีหน้าเขาผ่อนคลายขึ้น เขากล่าว
  “ใต้เท้าโปรดไปหารือกันข้างในเถอะ ข้าจะไปเรียกนายหญิง”
  เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่าสมบัติภูติทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเศษต้นแบบ หรือกึ่งภูตินั้นเกินกว่าขอบเขตหน้าที่ของเขาไปแล้ว มีเพียงอสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะตัดสินใจเรื่องของประเภทนี้ได้!