DND.888 – ป่าปีศาจร้าง
ไม่ช้าไม่นานซือหยูก็ได้พบกับแม่นางหลิง นางยังคงเยือกเย็นและสง่างามเช่นเคย นางมองดูซือหยูด้วยดวงตาอันงดงาม นางมิได้เห็นใบหน้าอันชัดเจนของเขา นางบอกได้แค่ว่าเขาคือชายหนุ่ม
“ท่านนายน้อยมาจากเมืองเทียนหยาหรือไม่?”
แม่นางหลิงถามซือหยูอย่างยิ่งใหญ่คำถามของนางมิได้ดูแปลก เพราะคนที่ขอพบนางโดยเฉพาะมักจะไม่ใช่คนแปลกหน้าในเมืองเทียนหยา
ซือหยูนั่งลงเงียบๆและตอบกลับด้วยคำถาม
“แม่นางหลิงสนใจตัวข้ามากกว่าจะซื้อขายสมบัติภูติงั้นรึ?”
แม่นางหลิงบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะพูดคุยเล็กน้อยกับนางนางจึงกล่าว
“ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆตามปกติจะมีเพียงอสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะมีสมบัติภูติได้ ข้าจึงกังวลถึงที่มาของมัน ข้าจึงต้องถาม”
นางกังวลว่าซือหยูอาจจะขโมยสมบัติภูติมาและทำให้อสูรเนรมิตรผู้เป็นเจ้าของโกรธเข้าถ้าเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย!
“ข้าบังเอิญเจอมัน”
ซือหยูพูดอย่างเฉยเมย
แม่นางหลิงพูดไม่ออกนางคิด…สมบัติภูติจะบังเอิญเจอได้ง่ายๆงั้นรึ?
เมื่อคิดครู่หนึ่งแม่นางหลิวกล่าว
“ย่อมได้ถ้าเป็นโรงประมูลทั่วไปก็คงไม่กล้ารับสมบัติภูติที่ไม่รู้ที่มา แต่ข้ามีเส้นสายที่จะช่วยท่านแอบประมูลมันได้ ถ้าเชื่อใจข้า ท่านแสดงส่วนของสมบัติภูติให้ข้าดู เราค่อยตกลงกัน…”
“มันไม่ใช่แค่ส่วนของสมบัติภูติ”
ซือหยูส่ายหน้า
แม่นางหลิงตาเป็นประกายถ้าหากไม่ใช่ส่วนของสมบัติ มันก็น่าจะเป็นต้นแบบสมบัติภูติ
สมบัติภูตินั้นมีราคาสูงจนน่าตกใจและถ้าหากนางช่วยเขาประมูลได้ ค่าธรรมเนียมที่นางได้จากการแลกเปลี่ยนก็ย่อมยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน!
“จริงๆแล้ว…มันคือสมบัติภูติแบบสมบูรณ์”
ซือหยูวางแหวนมิติลงบนโต๊ะอย่างสุขุม
นางสังเกตว่าซือหยูไม่ได้แตะต้องมันเองดูเหมือนว่าแค่ตัวแหวนเองก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว มันอาจจะอันตรายก็ได้! แม่นางหลิงแปลกใจที่เห็นว่าเขาระวังระวังเช่นนี้ นางกระพริบตามองแหวนและส่งพลังชีวิตเข้าไปดูสมบัติที่อยู่ภายใน
จากนั้นหลังจากหลอมพลังดวงวิญญาณเข้าไปด้วย สิ่งที่เห็นในแหวนมิติก็ชัดเจนขึ้นมาก กงล้อรูปทรงพิลึกวางอยู่ในแหวนอย่างเงียบเชียบ
ภาพลางแล่นผ่านจิตใจแม่นางหลิงเพราะสิ่งที่นางเห็นนั้นดูคุ้นราวกับเคยเห็นมาก่อนและจู่ๆกงล้อก็ปล่อยคลื่นพลังอสูรออกมา พลังวิญญาณที่นางส่งเข้าไปถูกทำลายตั้งแต่ก่อนที่นางจะได้ตอบสนอง!
“อ๊าาาา!”
แม่นางหลิงโยนแหวนมิติทิ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด!นางเรียกพลังชีวิตออกมาป้องกันระหว่างตัวนางกับแหวน
ความทุกข์ทรมานบนใบหน้าปรากฏชัดเสี้ยววิญญาณของนางถูกทำลายไป นางหน้าซีดราวกับกระดาษ
นางตกใจและหวาดกลัว
“นั่น…นั่นมันสมบัติภูติวิถีอสูรสูงสุดจักรบิน! ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านเอาของแบบนี้มา!”
จักรบินรึ?ซือหยูจดจำเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อกงล้อทมิฬชิ้นนี้
เมื่อองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าล้มเหลวในการตามหาซือหยูทั้งถ้าได้ต่อสู้ครั้งใหญ่กับสตรีอสูรเนรมิตรคนหนึ่ง สุดท้ายนางก็บาดเจ็บอย่างรุนแรงจากภาพฉายของราชาเขตกลางที่องครักษ์แสงกระจ่างเรียกออกมา
ขณะที่นางเกือบตายนางก็เกือบจะทำให้ซือหยูตายไปด้วย! เคราะห์ดีที่ซือหยูมีวิธีหนีจากองครักษ์แสงกระจ่าง
ซือหยูยังรักษาบาดแผลให้นางในหลังจากนั้นแต่เพื่อเป็นการล้างแค้น เขาได้ชิงสมบัติภูติที่มีพลังอสูรนอันน่าตกใจของนางมาด้วย มันได้กลายเป็นแหล่งหลักในการหาแก้วของซือหยูจนถึงตอนนี้ เพราะว่าราชาของสมบัติภูตินั้นสูงจนไม่อยากจะเชื่อ
ซือหยูเลิกคิ้วเขาเก็บแหวนในทันทีที่เห็นสีหน้าของแม่นางหลิง
“ถ้าเจ้าไม่อยากจะรับและซื้อขายกันข้าก็จะไปแล้ว”
ดูเหมือนว่าตัวตนของเจ้าของจักรบินจะสำคัญมากนางดูไม่สนใจเลยว่าเขาจะขายมันหรือไม่!
“ช้าก่อนขะ…ข้าต้องคิดดูก่อน…”
แม่นางหลิงรีบพูดขณะที่หยุดใช้พลังแต่นางก็มิอาจปิดบังความตกใจได้
ซือหยูส่ายหน้า
“ข้าไม่มีเวลารอเจ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ค่อยติดต่อข้ามา”
จากนั้นซือหยูก็โยนสร้อยหยกให้นางและออกจากโรงประมูลเทียนหยาทันทีโดยไม่หยุดพักแม่นางหลิงรับสร้อยหยกสื่อสารเอาไว้ กว่านางจะหายใจเต้นแรงก็เป็นเวลานานแล้ว
นางคิด….ทำไมสมบัติภูติของอสูรเทียนฉวนถึงตกอยู่ในมือของชายหนุ่มลึกลับผู้นี้เล่า?ข้าต้องบอกเรื่องนี้กับจ้าวผา เขาเท่านั้นที่จะตัดสินใจได้…
ขณะนั้นกงซุนหวูซื่อวิ่งมาข้างในและถาม
“ท่านป้าพร้อมหรือยัง?วันเซ่นจะมาถึงแล้วนะ!”
แม่นางหลิงมองและตอบอย่างใจเย็น
“ข้าพร้อมแล้วครั้งนี้เจ้าโชคดีมาก เพราะจะต้องมีสมบัติในป่าปีศาจร้างที่ช่วยชำระร่างกายเจ้าได้แน่”
กงซุนหวูซื่อพยักหน้า..novel-lucky
“ใช่แล้ว!ถ้าข้าหาเจอ ฤทธิ์สิ่งนั้นในร่างข้าหายไป ข้าก็จะไม่มีร่างกายสภาพนี้อีก! ข้าอยากจะเป็นหญิงสาว หญิงสาวที่สวยสุดๆไปเลย!”
ที่หอวิญญาณฟ้า
หูหวังกุยกับจ้าวเทวะชั้นกลางหลายคนยืนอยู่ในโถงใหญ่พวกเขาก้มหน้าเงียบ ต่อหน้าพวกเขาคือชายแก่ที่สวมชุดขาว
ชายแก่เหลือบมองหูกวังกุยและกล่าว
“จ้าวดินแดนมีดสวรรค์บอกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเจ้าไม่มีความผิด ศัตรูต่างหากที่ทำได้ดีเกินไป ข้าเข้าใจเหตุที่เจ้าล้มเหลว”
หูหวังกุยกับคนที่เหลือถอนหายใจด้วยความโล่งอกความกังวลใจหายไปช้าๆ
“จ้าวดินแดนบอกให้ข้าหาข้อมูลว่าการเตรียมเซ่นป่าปีศาจร้างไปถึงไหนแล้ว…”
ผู้เฒ่าชุดขาวพูดเสียงแข็ง
ใบหน้าหูหวังกุยเฉียบคมขึ้นเขาตอบด้วยความมั่นใจ
“โปรดให้ท่านผู้นั้นวางใจทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเราจ้างอาจารย์ฉินกับหลินที่เชี่ยวชาญภาษาไม้มา ไม่มีใครในเขตกลางที่เทียบเท่าพวกเขา อาจารย์สองท่านนี้จะทำให้ดินแดนมีดสวรรค์ของพวกเราได้ดินแดนของโรงประมูลเทียนหยาอีกมาก”
เขาพูดต่อ
“ครั้งนี้พวกเราเชิญพวกเขามาอีกครั้งเพราะต่อให้เป็นพวกคนจากตำหนักโลหิตหรือตำหนักเมฆาม่วงก็เทียบไม่ติด ส่วนสิบหกสำนักที่เหลือก็ไม่มีอะไรให้กังวลเช่นกัน”
ผู้เฒ่าชุดขาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ดีมากในห้าดินแดนของเขตกลาง มีแค่ดินแดนมีดสวรรค์ของพวกเราเท่านั้นที่มีรากฐานมั่นคงในเมืองเทียนหยา เราเอาชนะดินแดนพรสวรรค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าใครก็นับถือ จ้าวดินแดนหวังกับพวกเจ้าไว้สูง ทำดีต่อไป อย่าให้จ้าวดินแดนผิดหวัง!”
หูหวังกุยพยักหน้าอย่างภูมิใจ
“ขอบคุณท่านมากข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อชิงดินแดนอีกครึ่งของเขตกลางกลับมา!”
ผู้เฒ่าชุดขาวสงสัยเขาถาม
“หืม?ความมั่นใจเจ้ามาจากที่ใดกัน? พวกเราวางแผนเกินสิบปีในการยึดครึ่งหนึ่งของเมืองเทียนหยา ครั้งนี้เจ้ามีแผนอะไรกัน?”
หูหวังกุยยิ้มอย่างประหลาด
“แน่นอนยากที่ยอดฝีมือภาษาไม้ของศัตรูจะเป็นแค่เครื่องประดับ พวกมันคือของจริง แต่ถ้าหากคนของพวกมันมาที่งานเซ่นไม่ได้เล่า?”
ผู้เฒ่าชุดขาวยิ้มอย่างชั่วร้ายเมื่อได้ฟังแผนเขาเข้าใจความหมายของหูหวังกุยแล้ว
…
ซือหยูเปลี่ยนรูปลักษณ์มาเป็นชายแก่อีกครั้งเขากลับไปรายงานภารกิจด้วยตัวตนของซือหยูเซี่ยน ชายที่คุ้มกันหน้าประตูก็คือชายวัยกลางคนสกุลจู้คนเดิม
เมื่อเห็นการมาของซือหยูเขาไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นเหมือนแต่ก่อน
“หมดเวลาในตำแหน่งของเจ้าแล้วรึ?”
ซือหยูพยักหน้าและยิ้ม
“ใช่แล้วหวังว่าท่านจะให้ข้าเข้าไป”
ทหารจู้พยักหน้าและเปิดผนึกให้ซือหยูเข้าสู่ด้านในเขาจ้องมองแผ่นหลังของซือหยูจนลับตา
ที่ห้องด้านในชั้นสอง…
“เจ้ารักษาคำพูดของเจ้าจริงๆที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคุ้นเคยกับภาษาไม้มากขึ้นหรือไม่?”
รองผู้จัดการใหญ่ถามซือหยูอย่างสุภาพ
ซือหยูตอบ
“อืม…ท่านน่าจะบอกได้ว่า‘เกือบจะคุ้น’ ล่ะมั้ง!”
ความสิ้นหวังฉายผ่านแววตารองผู้จัดการใหญ่แต่เขาก็ยังคงยิ้มตอบ
“อย่างน้อยเจ้าก็พัฒนาขึ้นบ้างล่ะนะ”
“รองผู้จัดการใหญ่ท่านยังไม่คิดจะบอกเรื่องใหญ่ครั้งนี้กับข้าในตอนนี้อีกหรือ?”
ซือหยูสงสัยเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
รองผู้จัดการใหญ่แววตาคมกริบขึ้นมาเขาคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ
“ข้าว่าถึงเวลาที่ต้องบอกเจ้าแล้วล่ะ”
เขาหายใจเข้าลึกและถาม
“เหตุที่ข้าให้เจ้าเข้าร่วมงานนี้ก็เพราะความเชี่ยวชาญภาษาไม้ของเจ้าเดี๋ยวเจ้าจะได้เห็น…เมืองเทียนหยากำลังจัดงานเซ่นประจำปีของป่าปีศาจร้าง ขั้นตอนนั้นเกี่ยวข้องกับภาษาไม้”
ซือหยูใจเต้นแรงเขานึกขึ้นได้ในทันที…มิใช่ว่าการเซ่นป่าปีศาจร้างถูกพูดถึงในคู่มือของเหยามู่เต๋าเหรินหรอกรึ? แล้ว…ทรายสีทองที่ซือหยูมีก็เกี่ยวข้องกับงานเซ่นอีกด้วย!
“งานเซ่นป่าปีศาจร้างที่ว่านี้กำเนิดมานานแล้วตั้งแต่เมื่อก่อน ดินแดนพรสวรรค์จัดงานนี้ทุกปี นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ มิเช่นนั้นจะมีผลร้ายแรงตามมา”
น้ำเสียงของรองผู้จัดการใหญ่เคร่งขรึมขึ้นขณะที่อธิบาย
ซือหยูถาม
“หากไม่จัดงานจะเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เขาคิด…หรือว่าจะเป็นอันตรายที่เกี่ยวข้องกับดินแดนพรสวรรค์?นี่มันแปลกจริงๆ!
“ก่อนพูดเรื่องแท่นบูชาข้าต้องอธิบายเรื่องป่าปีศาจร้างกับเจ้าก่อน ป่าปีศาจมีอาณาเขตพันลี้ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสามารถไปที่นั่นได้แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มันคือพื้นที่ต้องห้ามของมนุษญ์ในเมืองเทียนหยาและดินแดนพรสวรรค์! ไม่ว่าจะภูติ จ้าวเทวะ หรืออสูรเนรมิตรก็ไม่เคยมีชีวิตรอดกลับมาหลังจากเข้าป่าปีศาจร้าง!”
รองผู้จัดการใหญ่อธิบายพร้อมเบิกตากว้าง
ซือหยูหายใจเข้าลึก…แม้แต่อสูรเนรมิตรก็ไม่รอดรึ?ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีสถานที่อันตรายเช่นนั้นอยู่ด้วย!
“ตามบันทึกในตำราโบราณที่ส่งผ่านมาถึงตำหนักโลหิตดูเหมือนว่าหมื่นปีก่อน จู่ๆป่าปีศาจร้างก็ผุดขึ้นมาในดินแดนจิวโจว มันยึดครองพื้นที่และไม่เคยขยับจากที่นั่นเลย…”
รองผู้จัดการใหญ่กล่าว
เขาพูดต่อ
“นับตั้งแต่ตอนนั้นในเวลานี้ของปี รากไม้น่ากลัวมากมายจะผุดขึ้นมาจากป่า มันแผ่ขยายปกคลุมพื้นที่สุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าจะผ่านสิ่งมีชีวิตใด หรือผ่านสมบัติวิเศษใด มันจะถูกลากกลับเข้าป่าและไม่เคยหวนกลับมา!”
รองผู้จัดการใหญ่กลืนน้ำลายเสียงดังเขาหวาดกลัวเมื่อเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์
“เคยมีครั้งหนึ่งที่อสูรเนรมิตรของจิวโจวหลายคนร่วมมือกันเข้าไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบแต่พวกเขาก็ไม่เคยกลับมา ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
เขากลืนน้ำลายอีกครั้ง
“ต่อมาเหล่ามนุษย์ก็ได้สร้างแท่นบูชาที่ชายแดนป่าปีศาจร้าง ในเวลานี้ของปี หากมีสิ่งมีชีวิตใดที่เข้าใจภาษาไม้ปรากฏบนแท่น รากไม้จะไม่ปรากฏ นั่นทำให้ภัยพิบัติไม่เกิดขึ้นอีก”
เขาพูดต่อ
“ดังนั้นแล้วคนในดินแดนพรสวรรค์ตั้งแต่ครั้งโบราณจึงทำการเซ่นบูชาทุกปีเพื่อป้องกันภัยพิบัติ เมืองเทียนหยาที่ใกล้แท่นบูชาที่สุดต้องแบกรับภารกิจนี้ไว้บนบ่า”
ซือหยูเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วเขายังคงตกใจอยู่เลย
“ไม่มีสักคนจริงๆรึที่รอดกลับมาจากป่าปีศาจร้างได้สำเร็จ?”
“มีสิ!”
รองผู้จัดการใหญ่ตาลุกวาว
“ครั้งหนึ่งมีชายที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด เขามีพลังต่อสู้เทียบเท่าจักรพรรดิจิวโจว เขาไปที่ป่าปีศาจร้างและตั้งรกรากอยู่ที่นั่น เขาออกมาจากที่นั่นบ้างเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับป่าเลย”
เขาหยุดพักหายใจและพูดต่อ
“ครั้งสุดท้ายที่เขาปรากฏตัวคือเมื่อพันปีก่อนนับจากตอนนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเรื่องของเขาอีก ตอนนี้มันนานเกินพันปีเข้าไปแล้ว เขาคงจะตายไปแล้วล่ะ”
“คนผู้นั้นคือใครกัน?”
ซือหยูถามขณะใจเต้นแรง