ตอนที่ 1952-1954

Genius Doctor Black Belly Miss

ตอนที่ 1952 นกนางแอ่นกลับรัง (4)
  “ไม่มีอะไร เจ้าไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอก” จวินอู๋เหยาลูบหัวเล็กๆของจวินอู๋เสีย
  จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าจวินอู๋เหยาไม่อยากพูดเรื่องนี้มากนัก
  ทำให้จวินอู๋เหยากังวลใจได้เช่นนี้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ การที่เขาไม่พูด จวินอู๋เสียเข้าใจได้ว่าเขากลัวว่านางจะถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย
  เมื่อเห็นจวินอู๋เสียขมวดคิ้ว จวินอู๋เหยาก็ทนทำใจแข็งไม่ไหว เขาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เมื่อถึงเวลา ข้าจะบอกเจ้าแน่นอน”
  จวินอู๋เสียดึงมือจวินอู๋เหยาออก และมองเขาตาไม่กระพริบ
  “เป็นเพราะข้าอ่อนแอเกินไป”
  คำพูดของจวินอู๋เสียทำให้จวินอู๋เหยารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เขากอดนางเอาไว้แน่นและพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าไม่ได้อ่อนแอ หัวใจของเจ้าแข็งแกร่งกว่าใคร แต่ตอนนี้เจ้ากำลังเติบโต อย่าให้เรื่องพวกนี้มากวนใจเจ้า วันหนึ่งเจ้าก็จะแข็งแกร่งมากพอ”
  จวินอู๋เสียสาบานอยู่ในใจอย่างเงียบๆว่า วันหนึ่งนางจะแข็งแกร่งจนทำให้จวินอู๋เหยาเล่าทุกอย่างให้นางฟังได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร
  “ตกลง”
  เมื่อเห็นคนทั้งสองกอดกันแน่น เยี่ยนปู้กุยก็รู้สึกสับสนในใจอย่างมาก เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าตอนนั้นเขามั่นคงแน่วแน่ได้สักส่วนหนึ่งของจวินอู๋เหยา เขาก็คงไม่ต้องติดค้างนางเช่นนี้
  จวินอู๋เสียทำใจให้สงบ นางไม่ใช่คนที่ชอบสงสารตัวเอง ในเมื่อรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ความอ่อนแอของตน นางก็จะไม่จมปลักอยู่กับมันอีกต่อไป มีเพียงแข็งแกร่งให้มากขึ้นเท่านั้นถึงจะแก้ไขเรื่องทั้งหมดได้
  “อาจารย์ ตอนแรกข้าคิดจะขอให้ท่านนำข่าวเรื่องการกวาดล้างสิบสองวิหารไปบอกวิหารหยกวิญญาณและแวะไปหาอาจารย์อีกคนของข้าด้วย แต่ในเมื่อปมในใจของท่านยังไม่คลี่คลาย เช่นนั้น……”
  “ข้าจะไป!” จู่ๆเยี่ยนปู้กุยก็เปลี่ยนใจ
  จวินอู๋เสียแปลกใจเล็กน้อย
  เยี่ยนปู้กุยยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “จักรพรรดิแห่งความมืดพูดถูก ข้ามันไร้ประโยชน์ และยังวิสัยทัศน์คับแคบ ข้าคิดเสมอว่าการอยู่ให้ห่างจากนางเป็นการปกป้องนาง แต่ไม่ได้คิดเลยว่ามันคือการทำร้ายนางด้วย พอได้เห็นความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเจ้าทั้งสองคน ก็เหมือนว่าข้าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นข้าตัดสินใจผิดพลาด ตอนนี้ข้าอยากกอบกู้มันคืนมา”
  เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาจากไปกี่ปี แต่เขายังจำได้ว่าตอนที่เขาเจอนางครั้งสุดท้าย ใบหน้ายิ้มแย้มของนางงดงามราวบุปผาบาน ปรากฏในความฝันของเขาหลายต่อหลายคืน ร่างเพรียวบางของนางติดตาเขาอยู่ตลอดไม่ยอมเลือนหาย สะท้อนถึงความโหยหาในใจของเขา ความปรารถนาที่เขาไม่อาจละทิ้งได้ ไม่สามารถลบเลือน ถูกลิขิตให้ติดตามเขาไปตลอดชีวิต
  รอยยิ้มผุดขึ้นในดวงตาของจวินอู๋เสีย นางรู้ว่าการรอคอยอันแสนยาวนานที่ใครบางคนต้องทนอยู่บนภูเขาฝูเหยา ในที่สุดก็ออกดอกออกผล
  “วิหารหยกวิญญาณอยู่กลางภูเขาฝูเหยา ข้าจะให้เฟยเหยียนวาดแผนที่ให้ท่าน กุญแจนี้คือกุญแจเปิดประตูทางเข้าวิหารหยกวิญญาณ ท่านแค่บอกข่าวเรื่องสิบสองวิหาร จากนั้นก็ไปที่สำนักธาราเมฆเพื่อพบกับอาจารย์ซูหย่าได้เลย”
  เยี่ยนปู้กุยรับกุญแจมาแล้วพยักหน้าให้จวินอู๋เสีย
  “ข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้”
  พูดจบ เยี่ยนปู้กุยก็เดินออกไป
  จวินอู๋เหยาวางคางไว้บนหัวของจวินอู๋เสียขณะมองเยี่ยนปู้กุยเดินจากไป รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขา
  “อาจารย์ของเจ้าคนนี้ก็ไม่ได้หัวทึบมากนัก”
  “ก็นั่นคืออาจารย์ของข้า” จวินอู๋เสียเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นดันคางของจวินอู๋เหยาเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการทรมานบนศีรษะ
  “ข้าน่าจะรักษาอาการของพวกเฉียวฉู่ให้คงที่ได้ในเวลาประมาณหนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนเราค่อยออกเดินทางดีไหม?”
  จวินอู๋เหยายิ้มอย่างลุ่มหลงเมื่อเห็นดวงตาของจวินอู๋เสียเป็นประกายด้วยความคาดหวัง เขารู้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์ของตัวเขาที่ทำให้เด็กน้อยกระวนกระวายอยากได้พลัง
  “แน่นอน! แต่ถ้าตอนนั้นอาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หาย ข้าก็ไม่พาเจ้าไปนะ”
ตอนที่ 1953 นกนางแอ่นกลับรัง (5)
  ใจของเยี่ยนปู้กุยเดินทางออกไปหาซูหย่าแล้ว เขารีบกลับไปที่ห้องและส่องกระจกอยู่นาน
  ชายในกระจกสูงใหญ่สง่างาม ใบหน้ามีหนวดเครารกครึ้ม แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่รูปลักษณ์ราวกับโจรของเขาก็ยังเห็นได้ชัดเจน เยี่ยนปู้กุยลูบเคราพลางจ้องมองมีดโกนด้านข้างอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหยิบมีดโกนขึ้นมา
  หลังจากพวกเฉียวฉู่โดนจวินอู๋เสีย “แก้แค้น” ซะจนอิ่มแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ยังเลวร้ายยิ่งกว่าความตายซะอีก
  จวินอู๋เสียเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน นางย่อมไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ จึงเป็นเยว่เย่ตัวน้อยที่รับหน้าที่แทนอาจารย์ของนาง ผลุบเข้าผลุบออกห้องของพวกเฉียวฉู่ทุกวัน พร้อมกับนำหม้อยาขนาดใหญ่ที่พวกเฉียวฉู่แค่มองก็รู้สึกสยองเข้ามาด้วย โดยมีเยว่อี้พี่ชายของนางเป็นผู้ช่วย
  “ข้าว่านะ เจ้าจันทร์น้อย อาจารย์เจ้าก็บาดเจ็บเหมือนกัน เจ้าไม่ไปช่วยนางหรือ?” มุมปากของเฉียวฉู่กระตุกขณะมองเยว่เย่ที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ถ้าไม่ใช่เพราะยัยเด็กน้อยนี่บังคับพวกเขากินยา พวกเขาคงยินดีต้อนรับนางมากกว่านี้
  เยว่เย่เงยหน้ามองเฉียวฉู่ แต่มือที่กำลังบดยาให้เป็นผงไม่ได้หยุดชะงักไปด้วย นางตอบอย่างจริงจังมากๆว่า “วิชาการรักษาของอาจารย์ยอดเยี่ยมกว่าข้ามาก ข้าไปก็มีแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม”
  [เจ้าก็เลยใช้พวกเราฝึกวิชางั้นสิ?] เฉียวฉู่คิดในใจ อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา
  แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนั้น แต่เฉียวฉู่ก็ไม่กล้าพูดออกมา อย่าลืมว่าคนที่หนุนหลังเด็กผู้หญิงคนนี้ก็คือปีศาจร้ายจวินอู๋เสีย
  พวกผู้เยาว์ที่ถูกศิษย์อาจารย์คู่นี้ทรมานอย่างขมขื่น ทันใดนั้นก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตูห้อง
  ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาดูมีอำนาจเดินเข้ามาในห้องของพวกเขา
  เฉียวฉู่ขมวดคิ้ว ชายผู้นี้ดูไม่คุ้นตาเอาซะเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันจริงๆ
  “ท่านคือ?” เยว่เย่กระพริบตาปริบๆ นางไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน
  “อะแฮ่ม” ชายรูปงามที่ดูมีอำนาจกระแอมในลำคอ เขามองพวกผู้เยาว์ในห้องที่มีแววตาสงสัยอย่างเคอะเขินเล็กน้อย
  “ข้าคืออาจารย์ปู่ของเจ้า” ชายผู้นั้นตอบ
  เยว่เย่มีสีหน้ามึนงง เห็นได้ชัดว่าจำไม่ได้ว่าเป็นอาจารย์ปู่คนไหน
  “อาจารย์เคยบอกข้าว่านางมีอาจารย์สามคน แต่……” เยว่เย่รู้สึกสับสน ในบรรดาอาจารย์ทั้งสามคนของจวินอู๋เสีย คนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนอีกสองคนคือเยี่ยนปู้กุยและคนที่นางไม่เคยพบ แต่นางรู้ว่าเป็นผู้หญิง
  “ข้าคือเยี่ยนปู้กุย” ชายคนนั้นพูดอย่างอึดอัดใจ
  “พรูด!!!” เฉียวฉู่พ่นยาต้มที่เพิ่งเทเข้าปากออกมาหมด
  “อา……อาจารย์?” เฉียวฉู่เบิกตากว้างจ้องมองเยี่ยนปู้กุยอย่างเหลือเชื่อ
  ไม่ใช่แค่เฉียวฉู่ แม้แต่ฮัวเหยาและคนอื่นๆก็มีสีหน้าตกตะลึง
  ใครจะไปเชื่อมโยงชายรูปหล่อที่ดูมีอำนาจคนนี้กับอาจารย์ซกมกซอมซ่อของพวกเขาได้?
  “อาจารย์ ท่าน……ท่านกลายเป็นแบบนี้……ได้ยังไง?” ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงยังคงเหมือนเดิม เฉียวฉู่คงคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้กำลังแอบอ้างเป็นอาจารย์ของพวกเขา!
  สีหน้าของเยี่ยนปู้กุยยิ่งอึดอัดมากขึ้น เขากระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ข้าแค่โกนหนวดเคราออก พวกเจ้าก็จำข้าไม่ได้แล้ว มันน่าอัดนัก!” ขณะที่พูดเขาก็เอามือลูบคาง สัมผัสเรียบๆที่นิ้วมือเป็นสิ่งที่เขายังไม่คุ้นเคย
  “…………” เฉียวฉู่พูดไม่ออก
  เปลี่ยนไปตั้งขนาดนี้ ใครจะไปจำได้?
  ตอนที่พวกเขาคารวะเยี่ยนปู้กุยเป็นอาจารย์ เขาก็มีหนวดเครารกครึ้มเต็มหน้าอยู่แล้ว หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่มีใครเคยเห็นเขาโกนหนวดโกนเคราเลย ยิ่งกว่านั้น……
ตอนที่ 1954 นกนางแอ่นกลับรัง (6)
  นี่มันแตกต่างกันมากเกินไปหน่อยแล้ว!
  ตีเฉียวฉู่ให้ตาย เขาก็ไม่มีวันคิดว่าอาจารย์ผู้หยาบกระด้างของเขาจะกลายเป็นหนุ่มหน้าใสแบบนี้ได้เพียงแค่โกนหนวดเคราออก
  น่าตกใจใช่ไหมล่ะ!
  พอถูกศิษย์จ้อง เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เยี่ยนปู้กุยทำหน้าบึ้งพูดเสียงเข้มขรึมว่า “ข้ามาหาพวกเจ้าวันนี้ก็เพื่อบอกลาพวกเจ้าชั่วคราว บ่ายนี้ข้าจะออกเดินทางและจะไม่กลับมาเร็วๆนี้ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนไม่มีพลังวิญญาณ เพราะฉะนั้นจำไว้ว่าต้องหัดควบคุมอารมณ์ให้ดี อย่าสร้างปัญหาให้อู๋เสียอีก”
  “หือ? อาจารย์ ท่านจะไปไหน?” เฟยเหยียนถามทันทีเมื่อได้ยินว่าเยี่ยนปู้กุยกำลังจะจากไป
  แต่เมื่อมองดูใบหน้าของเยี่ยนปู้กุย เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาจำผิดคน
  เยี่ยนปู้กุยเลิกคิ้วเล็กน้อย และพูดว่า “อาจารย์เจ้าจะไปตามหาความสุขชั่วชีวิต พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
  คำพูดของเยี่ยนปู้กุยทำให้เหล่าผู้เยาว์มีสีหน้าประหลาดใจทันที แต่เมื่อความประหลาดใจหายไป สายตาที่มองเยี่ยนปู้กุยก็กลายเป็นขบขันอย่างมาก
  “สายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง!” เยี่ยนปู้กุยสังเกตเห็นสายตาแปลกๆของพวกเด็กเวรทั้งหลาย
  “ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมจู่ๆอาจารย์ถึงโกนหนวด ที่แท้ก็เป็นเพราะอยากเปลี่ยนภาพลักษณ์เพื่อตามหาอาจารย์หญิงมาให้เรานี่เอง” เฟยเหยียนลูบคางพร้อมกับเอ่ยปากแซว
  “ไม่ต้องพูดแล้ว อาจารย์ รูปลักษณ์ท่านตอนนี้ต้องสะกดสายตาสาวๆได้อย่างแน่นอน หล่อสุดๆไปเลย!” เฉียวฉู่พยักหน้าเห็นด้วย และยังไม่ลืมเลียแข้งเลียขาอาจารย์
  เยี่ยนปู้กุยโดนล้อจนหน้าแดง เขาข่มกลั้นความต้องการที่จะสั่งสอนบทเรียนเด็กๆพวกนี้ พอคิดถึงสุขภาพร่างกายของพวกเขา เขาก็ได้แต่ยกเลิกความคิดนั้น
  “พวกเจ้าหุบปากไปเลย!”
  “พวกเจ้าหยุดได้แล้ว ไม่เห็นหรือว่าอาจารย์พวกเจ้าหน้าแดงหมดแล้ว?” ฟ่านจั๋วไม่ได้คารวะเยี่ยนปู้กุยเป็นอาจารย์ แต่ก็ยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
  “ทำไมข้ารู้สึกว่าพออาจารย์โกนหนวดแล้ว ผิวหน้าก็บางขึ้นด้วย หน้าแดงง่ายจัง” เฉียวฉู่พูดอย่างไม่กลัวตาย
  เยี่ยนปู้กุยโมโหเด็กพวกนี้จนแทบกระอักเลือด เขาอุตส่าห์มาบอกลาดีๆ แทนที่จะอาลัยอาวรณ์กันบ้าง ดันมาทำเขาโกรธแทบตาย!
  “เฉียวฉู่ เฟยเหยียน! พวกเจ้าสองคนรอก่อนเถอะ ไว้ร่างกายเจ้าหายดีเมื่อไร ดูซิว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้ายังไง” เยี่ยนปู้กุยหักข้อนิ้วของตนอย่างข่มขู่ “รีบรักษาตัวให้หายดี รอข้ากลับมาถลกหนังพวกเจ้าทีละคน”
  พูดจบ เยี่ยนปู้กุยก็หันหลังเดินฟึดฟัดออกไป
  พวกเฉียวฉู่มองตามหลังเยี่ยนปู้กุย แล้วแอบถูจมูกตัวเอง
  ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากเห็นเยี่ยนปู้กุยจากไป แต่ภาพของเยี่ยนปู้กุยก่อนจากไปทำให้พวกเขารู้สึกว่ายากจะยอมรับได้
  เยี่ยนปู้กุยจากไปพร้อมกับนำข่าวสิบสองวิหารถูกทำลายไปที่วิหารหยกวิญญาณ ก่อนที่จะไปทำตามความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมานานหลายปี
  พวกเฉียวฉู่ยังต้องกินยาต้มและยาเม็ดทุกวันอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอจนไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้ วันเวลาผ่านไปด้วยความรู้สึกเหมือนถูกเลี้ยงเป็นหมู
  ครึ่งเดือนต่อมา ท่านยายเยว่ก็มาหาจวินอู๋เสียเพื่อบอกว่าสำนักธาราเมฆว่างเปล่าร้างผู้คนนานแล้ว หลังจากพวกลูกศิษย์จากไป บรรดาครูของสำนักธาราเมฆก็แยกย้ายกันไปหมด ในสำนักไม่มีคนอยู่นานแล้ว
  เยี่ยนปู้กุยไม่ได้เจอกับซูหย่า แต่เขาก็ไม่กลับมา เขาไปหาเบาะแสเกี่ยวกับการจากไปของซูหย่าจากวิหารหยกวิญญาณและไล่ตามเบาะแสไปอย่างไม่ยอมแพ้
  วิหารหยกวิญญาณรับเอาความแข็งแกร่งที่เหลืออยู่ของสิบสองวิหารมาทั้งหมด ท่านยายเยว่มาเพื่อถ่ายทอดคำขอบคุณของประมุขวิหารหยกวิญญาณ
  ใครจะไปคิดว่าความร่วมมือที่แทบจะเป็นเรื่องตลกนั้นจะสำเร็จลงได้ภายในหนึ่งปี