หลิงหยุนเอ่ยชื่นชมหลี่เคิ่นวู๋จากใจจริง..
แม้ว่าหลี่เคิ่นวู๋จะเพียงแค่บิดข้อมือและเบี่ยงร่างกายไปมา ซึ่งดูคล้ายกับเป็นการเคลื่อนไหวธรรมดาๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนั้น แต่ในสายตาของหลิงหยุน นี่ต่างหากที่เรียกว่าการต่อสู้อย่างแท้จริง..
ในการต่อสู้แต่ละครั้ง..อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างนั้นหรือ
คำตอบก็คือการทำให้ตนเองเป็นผู้ชนะและฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แพ้ในทุกเสี้ยววินาทีของการประมือ!
และสำหรับหลิงหยุนนั้น..ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อ่อนแอกว่า หรือศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า เขาก็ยังคงตระหนักถึงหลักการข้อนี้อยู่เสมอ..
เพราะในการต่อสู้นั้น..ไม่มีอะไรที่นอกเหนือไปกว่าการจู่โจม และรับมือฝ่ายตรงข้าม ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้รับชัยชนะที่เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด!
และทั้งพละกำลังของร่างกายร่างกายที่แข็งแกร่ง และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ประกอบรวมกันเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่พูดมาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น!
ยกตัวอย่างหลิงหยุนในวันนี้..ไม่ว่าเขาจะถูกกระบี่ของศัตรูฟาดฟันใส่ร่างมากมายเพียงใด เขาก็สามารถใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนั้น หลบหลีกคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามาได้อย่างง่ายดาย..
และในที่สุดแม้แต่ผู้ที่ฝึกเพลงดาบมาทั้งชีวิตอย่างชางซงก็ยังไม่สามารถทำร้ายหลิงหยุนได้เลยแม้แต่น้อย!
นั่นเพราะชางซงยังคงใช้แต่กลยุทธในการต่อสู้แบบเดิมๆจึงยากที่จะทำอันตรายหลิงหยุนที่มีลูกเล่นแพรวพราวได้..
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเหล่ายอดฝีมือจึงต้องมีกลอุบายในการต่อสู้ที่หลากหลายในระหว่างประมือกับศัตรู..
การต่อสู้ระหว่างหลิงหยุนกับหลี่เคิ่นวู๋เองก็เช่นกัน..เมื่อหลี่เคิ่นวู่พุ่งปลายกระบี่เข้าใส่ร่างของหลิงหยุน และหลิงหยุนเองก็ไม่หลบแต่กลับพุ่งร่างเข้าหาปลายกระบี่แทน และในเสี้ยววินาทีที่อันตรายอย่างยิ่งนั้น หลิงหยุนก็สามารถเบี่ยงตัวหลบออกไปทางด้านข้างได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเบี่ยงหลบได้สำเร็จแล้ว จึงพุ่งเป้าโจมตีไปที่กระบี่ของหลี่เคิ่นวู๋ทันที..
ในวินาทีที่ร่างของหลิงหยุนเข้าประชิดกับร่างของหลี่เคิ่นวู๋นั้นหมัดของเขาก็จู่โจมเข้าใส่กระบี่ยาวของหลี่เคิ่นวู๋ และในจังหวะที่หมัดของเขากระแทกเข้ากับกระบี่ยาวของหลี่เคิ่นวู๋นั้น หลิงหยุนก็เปลี่ยนจากฝ่ายรับ มาเป็นฝ่ายจู่โจมทันที!
และเมื่อหลี่เคิ่นวู๋กลับกลายมาเป็นฝ่ายตั้งรับเช่นนี้เขาจึงเหลือทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้นคือ.. จะสู้ต่อ หรือว่าจะกระโดดถอยหนี!
ในเมื่อสามารถเลือกได้เพียงหนึ่งเท่านั้นหลี่เคิ่นวู๋จึงได้เบี่ยงร่างของตนเองพร้อมกับก้าวถอยหลังกลับออกมาหนึ่งก้าว เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างตนเองกับหลิงหยุน จากนั้นจึงบิดข้อมือของตนเองเพื่อให้กระบี่หลุดพ้นจากหมัดของหลิงหยุนที่จู่โจมเข้ามา และทันทีที่หลบพ้นแล้ว เขาก็พุ่งกระบี่ในมือจู่โจมหลิงหยุนกลับอีกครั้งในทันทีเช่นกัน..
ในการหลบหลีกคู่ต่อสู้นั้น..ไม่จำเป็นต้องกระโดดถอยออกไปไกลมากมายอะไรนัก เพียงแค่หลบให้พ้นรัศมีการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามก็เพียงพอแล้ว!
และนี่คือกลยุทธและยุทธวิธีที่หลิงหยุนมักใช้ในสนามต่อสู้ เวลานี้ได้เห็นหลี่เคิ่นวู๋ใช้วิธีเดียวกับเขาเช่นนี้ หลิงหยุนจึงอดที่จะเอ่ยชื่นชมไมได้..
และที่หลิงหยุนเอ่ยชมนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาตัวเบาที่คล่องแคล่ว หรือเพลงกระบี่ของหลี่เคิ่นวู๋แต่อย่างใด แต่เป็นการเอ่ยชมถึงความเข้าใจในคำว่า ‘ต่อสู้’ ของหลี่เคิ่นวู๋นั่นเอง
หลังจากที่จู่โจมหลิงหยุนไปสองดาบแล้วหลี่เคิ่นวู๋ก็เป็นฝ่ายกระโดดออกไปยืนห่างจากหลิงหยุนราวสามเมตร เขาเชิดหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“วิชาตัวเบาของเจ้าก็ล้ำเลิศไม่เบาทีเดียว!”
“แม้แต่ข้าเองยังนึกประหลาดใจที่ได้พบยอดฝีมือเช่นเจ้า..”
หลี่เคิ่นวู๋เอ่ยชมหลิงหยุนพร้อมกับขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “แต่น่าเสียดายที่ข้าเกลียดเจ้ายิ่งนัก! ข้ารังเกียจการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เพียงคลุ้มคลั่งไร้สติ แต่ยังไร้ยางอายสิ้นดีด้วย!”
หลิงหยุนไม่พูดตอบโต้แม้แต่คำเดียวเขายกมือขึ้นช้าๆ และใช้วิชาดูดลมปราณดูดเอากระบี่ยาวของจุ้ยจู่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาไว้ในฝ่ามือของตนเอง และนิ่งฟังหลี่เคิ่นวู๋ที่กำลังพูดจาถากถาง
“ใช้วิธีชั่วช้าเช่นนี้..ชนะแล้วได้อะไร”
“นี่เป็นการต่อสู้โดยใช้วรยุทธแต่เจ้ากลับใช้ธนูโจมตีพวกเขาทีเผลอเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือยังไง”
การที่จู่ๆหลิงหยุนกลับใช้ลูกธนูยิงใส่คู่ต่อสู้เช่นนี้ เป็นสิ่งที่หลี่เคิ่นวู๋เองก็ไม่อาจยอมรับได้ เขาจึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยซีเสีย และชิงเฟิง!
หลังจากที่ฟังหลี่เคิ่นวู๋พูดพล่ามอยู่นานโดยที่ไม่ตอบโต้ในที่สุดหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า..
“เจ้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้หรือว่าจะมาสอนศีลธรรมกันแน่ หากเจ้าไม่ได้มาเพื่อสู้กับข้า ก็ถอยหลังกลับไปยืนรวมกับหญิงสาวทางโน้นได้เลย อย่าได้พูดพล่ามให้ข้ารู้สึกรำคาญอีก!”
หลี่เคิ่นวู๋ได้ฟังคำสบประมาทของหลิงหยุนก็ถึงกับเดือดดาลยิ่งนักเขายกปลายกระบี่ขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“นี่เจ้าว่าใคร”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆอย่างอารมณ์ดี“เจ้ายังจะต้องถามอีกรึ ข้าก็กำลังว่ากล่าวเจ้าอยู่น่ะสิ !”
หลี่เคิ่นวู๋ตั้งแต่เด็กมาไม่เคยมีใครพูดจาโอหังกับเขาเช่นนี้มาก่อน เมื่อได้ฟังวาจาสามหาวของหลิงหยุน ก็ถึงกับโมโหอย่างมาก
“ได้..ข้าจะสั่งสอนให้เจ้าได้สำนึกในอีกไม่ช้า!”
“นำกระบี่ของเจ้าออกมา!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าและตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จัดการกับคนอย่างเจ้า.. ข้าไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่โลหิตแดนใต้! แค่กระบี่เล่มนี้ก็เพียงพอแล้ว!”
หลี่เคิ่นวู๋คับแค้นใจอย่างมากและเวลานี้ธรรมะในตัวเขาก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น เขากัดฟันกรอดพร้อมกับถือกระบี่พุ่งเข้าใส่หลิงหยุนทันที
หลิงหยุนยังคงยิ้มพร้อมกับกับส่งกระบี่ยาวในมือเข้าทักทายทันทีเช่นกันเสียงโลหะทั้งสองกระทบกันดังเคร้ง.. เคร้ง.. และทั้งคู่ต่างก็พุ่งเข้าต่อสู้กันในทันที
สำนักกระบี่คุนหลุนแห่งเทือกเขาคุนหลุนนั้นมีวิธีชาฝึกกำลังภายในที่เรียกว่าลมปราณคุนหลุน และมีวรยุทธที่เลื่องชื่อถึงสองแขนงคือ.. ฝ่ามือเถียนกัง และเพลงกระบี่คุนหลุน!
หลี่เคิ่นวู๋จู่โจมหลิงหยุนด้วยเพลงกระบี่คุนหลุนซึ่งมีท่วงท่าสง่างามไม่ต่างจากเทือกเขาคุนหลุน แต่ละกระบวนท่าล้วนแล้วแต่ทรงพลัง และเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ..
ทางด้านหลี่เคิ่นวู๋ที่ถูกหลิงหยุนพูดจาถากถางให้ได้รับความอับอายเช่นนั้นก็บันดาลโทสะจนแทบอยาสังหารหลิงหยุนให้ตายคาคมกระบี่ของตนเอง..
และในขณะที่หลี่เคิ่นวู๋ร่ายรำเพลงกระบี่คุนหลุนทั้งเจ็ดสิบสองกระบวนท่าอยู่นั้นหลิงหยุนนก็จับจ้องมองอย่างไม่ละสายตา และค่อยๆจดจำบันทึกลงในใจ
หลี่เคิ่นวู๋พุ่งกระบี่ในมือใส่หลิงหยุนในขณะที่หลิงหยนุก็ยกกระบี่ในมือขึ้นรับพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“เพลงกระบี่คุนหลุนทั้งเจ็ดสิบสองกระบวนท่า..ข้าจดจำได้หมดแล้ว!”
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ใช้อาวุธลับแล้วก็จะไม่ใช้ธนู..” ทันทีที่พูดจบหลิงหยุนก็พุ่งกระบี่เข้าโจมตีหลี่เคิ่นวู๋ทันที
หลี่เคิ่นวู๋เองก็ไม่ลังเลที่จะยกกระบี่ในมือขึ้นรับและกระบี่ทั้งสองเล่มก็ปะทะกันอีกครั้ง!
ปัง!…novel-lucky
หลังจากสิ้นเสียงดังสนั่นหลี่เคิ่นวู๋ก็ถึงกับตกใจ และร่างของเขาก็ผงะถอยหลังกลับไปถึงสามก้าว..
หลี่เคิ่นวู๋พยายามควบคุมร่างกายให้นิ่งแต่ก็พบว่าพลังปราณจากกระบี่ของหลิงหยุนครั้งนี้นั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก!
เขาสัมผัสได้ว่ากระบี่ครั้งที่สองของหลิงหยุนนั้นมีพลังรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก หลี่เคิ่นวู๋ถึงกับต้องใช้สองมือจับกระบี่ของตนเองเพื่อต้านทานไว้
ปัง!
เสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้งเมื่อกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันอีก จนเกิดเป็นประกายไฟขึ้นมา แต่ครั้งนี้ร่างของหลี่เคิ่นวู๋ถึงกับสั่นสะท้าน และกระเด็นถอยหลังไปไกลถึงห้าก้าว..
สีหน้าของหลี่เคิ่นวู๋เปลี่ยนไปทันทีและเพิ่งรู้ว่าที่นักบวชทั้งสี่จากเขาหลงหู่พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนนั้น ไม่น่าจะเป็นเพราะเพลงกระบี่ของพวกเขาด้อยกว่า แต่เป็นเพราะพละกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมากของหลิงหยุนต่างหาก..
เป็นไปได้อย่างไรกัน
หลี่เคิ่นวู๋เป็นเพียงคนเดียวที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของจี้เสี่ยวฉิงเขาได้สอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดการต่อสู้ระหว่างกัวเสี่ยวเทียนกับหลิงหยุนก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าระหว่างที่กัวเสี่ยวเทียนใช้กระบวนท่าสู่สรวงสวรรค์ซึ่งต้องใช้พลังจิตควบคุมดาบนั้น หลิงหยุนได้ชกเข้ากับดาบของกัวเสี่ยวเทียนนับร้อยครั้ง!
จากนั้นหลิงหยุนก็ยังชกหลิวซุ่ยเฟิงสังหารจอมยุทธจากสำนักแดนใต้ และเอาชนะจอมยุทธจากเขาหลงหู่ได้อีก
ต่อให้หลิงหยุนจะแข็งแกร่งมากเพียงใดแต่การใช้พลังปราณในร่างกายสังหารผู้คน และผ่านการต่อสู้มายาวนานเช่นนี้ พลังปราณในร่างกายของเขาก็น่าจะต้องเหลือน้อยแล้ว!
แต่หลังจากที่หลี่เคิ่นวู๋ต้านทานพลังกระบี่ที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนได้ถึงสองครั้งนั้นเขากลับพบว่า.. พละกำลังของหลิงหยุนไม่เพียงเหลืออยู่มากมาย แต่ยังรุนแรงและดุดันมากอีกด้วย!
พลังกายและพลังปราณของหลิงหยุนนั้นนับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หากเมื่อครู่หลี่เคิ่นวู๋ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย หลิงหยุนคงลงมือสังหารซีเสียกับชิงเฟิงไปแล้ว จากนั้นเขาก็ตั้งใจว่าจะพักดื่มน้ำลายมังกรเพื่อฟื้นฟูพลัง..
แต่ในระหว่างที่หลี่เคิ่นวู๋กระโดดออกมาช่วยซีเสียไว้และพล่ามสอนศีลธรรมให้กับเขานั้น ทำให้หลิงหยุนได้มีเวลาหยุดพักฟื้นฟูพลัง และช่วงเวลานั้นพลังในร่างกายของเขาก็ได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว..
หากไม่ได้รับการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของร่างกายมีหรือที่หลิงหยุนจะสามารถประมือกับหลี่เคิ่นวู๋ได้นานเช่นนี้..
“เอาล่ะ..ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่าเพลงกระบี่ที่แท้จริงเป็นเช่นไร!”
หลิงหยุนมองหลี่เคิ่นวู๋ที่กระโดดถอยออกไปไกลและครั้งนี้เขาไม่อ่อนข้อให้อีกแล้ว หลิงหยุนพุ่งกระบี่ในมือเข้าใส่ร่างของหลี่เคิ่นวู๋อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หลิงหยุนพุ่งกระบี่ในมืออกไปนั้น เขาก็ได้เดินพลังลับหยิน-หยางขั้นสูงสุด ทำให้กระบี่ในมือของหลิงหยุนที่พุ่งเข้าใส่ร่างของหลี่เคิ่นวู๋นั้นทั้งรวดเร็ว และรุนแรงยิ่งนัก!
หลี่เคิ่นวู๋ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี..เขารีบใช้วิชาลมปราณคุนหลุนเดินพลังปราณในร่างกายในระดับสูงสุด มือทั้งสองข้างกำกระบี่ไว้แน่น พร้อมกับฟันเข้าใส่กระบี่ในมือของหลิงหยุนทันที!
ปัง!
นี่เป็นครั้งแรกที่พลังปราณรุนแรงจากกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันเป็นรูปกากบาท..
เคร้ง..จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบกัน!
หลี่เคิ่นวู๋กระอักออกมาเป็นเลือดและรีบกระโดดถอยหลังหนีทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ และหวาดผวาอย่างที่สุด!
หลี่เคิ่นวู๋เพิ่งจะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงจากตัวกระบี่ของหลิงหยุนซึ่งแข็งแกร่งกว่าตนเองอย่างน้อยถึงสี่เท่า!
“คุณชาย..ระวังตัวด้วย”
“ท่าไม่ดีแล้ว!”
“ช่วยคุณชายก่อน!”
มือกระบี่ทั้งสามที่มาด้วยไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีกเมื่อเห็นว่าหลี่เคิ่นวู๋ได้รับบาดเจ็บหนึ่งในสามพุ่งเข้าไปประคองร่างของหลี่เคิ่นวู๋ ส่วนอีกสองกระโดดเข้าไปขวางหลิงหยุนไว้..
แต่หลิงหยุนเองก็ไม่ได้ไล่ตามหลี่เคิ่นวู๋ไป..
เวลานี้ยอดฝีมือจากเขาหลงหู่ก็พ่ายแพ้ไปแล้วหลี่เคิ่นวู๋แห่งสำนักกระบี่คุนหลุนก็ได้รับบาดเจ็บ และเส้าหลินกับบู๊ตึ๊งเองก็ยังคงยืนดูอย่างเงียบๆ
ส่วนสำนักดาบสวรรค์นั้นหลิงหยุนไม่ใส่ใจนานแล้ว!
“คนของสำนักกระบี่คุนหลุนฟังข้า..หากพวกเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดลงเขาไป และจะไม่ขัดขวาง!” หลิงหยุนร้องบอกมือกระบี่ทั้งสองที่พุ่งเข้ามาขวางไว้
“อย่าได้ฟังคำพูดของมัน!เวลานี้มันใช้พลังปราณไปใกล้จะหมดแล้ว พวกท่านรีบสังหารมันซะ! จากนั้นจับตัวฉินตงเฉี่วยกลับไปรับโทษที่สำนักดาบสวรรค์!”
หลี่เคิ่นวู๋ที่มีจื่อเยี่ยประคองไว้นั้นพูดออกมาทั้งที่ยังกระอักเลือดอยู่
‘คิดจะจับน้าหญิงของข้างั้นรึ’
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาจากนั้นจึงกระโดดเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว..
“นวสังหาร!”