บทที่ 979 ยิงธนูทำลายค่ายกล

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

เวลานี้..หลิงหยุนกระโดดเข้าไปหาร่างของชางซง และกำลังตวัดกระบี่ในมือใส่ร่างของเขาอย่างดุเดือด
  สีหน้าของชางซงเต็มไปด้วยความตกใจกลัวและรีบกระโดดถอยหลังหลบในทันที ร่างกายของชางซงยังคงอยู่ในอาการเหนื่อยล้า จึงเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างเชื่องช้า เขารีบยกกระบี่ยาวในมือขึ้นต้านพลังปราณสีดำที่พวยพุ่งออกจากกระบี่ของหลิงหยุนไว้ทันที..
  ตูม!
  ลมปราณจากกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งขุนเขา
  ชางซงถึงกับอึ้งไปด้วยความตกใจและได้แต่ล่าถอยออกไปทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือด และบาดแผลในมือข้างซ้ายที่เพิ่งจะได้รับการรักษาก็ถึงกับสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด..
  ระหว่างที่ร่างของหลิงหยุนเคลื่อนที่ช้าลงนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็มีกระบี่สามเล่มพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของเขาพร้อมๆ กัน และมันก็คือกระบี่ของผู้ทรงศีลทั้งสามจากเขาหลงหู่นั่นเอง!
  “รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
  ในเสี้ยววินาทีที่กระบี่ทั้งสามพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของตนเองอย่างรวดเร็วนั้นต่อให้หลิงหยุนคิดที่จะหลบหลีก ก็คงยากที่จะทันแล้ว แต่หลิงหยุนกลับเลือกที่จะทำในสิ่งที่ยากกว่า..
  และจู่ๆหลิงหยุนก็หันหน้ากลับไปเผชิญกับกระบี่ทั้งสามเล่ม พร้อมกับตวัดกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือขึ้นจากด้านล่าง เข้าใส่กระบี่ทั้งสามเล่มในระยะกระชั้นชิด..
  เคร้ง..เคร้ง.. เคร้ง..
  เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นถึงสามครั้งทั้งซีเสีย จุ้ยจู่ และชิงเฟิงต่างก็ตกใจอย่างที่สุด!
  การที่หลิงหยุนหันกลับไปเผชิญหน้าในระยะกระชั้นชิดเพื่อรับกระบี่ของยอดฝีมือทั้งสามเช่นนั้นทำให้พลังปราณในร่างกายของเขาถึงกับกระเพื่อมอย่างรุนแรงจนเขาเองก็ยังสัมผัสได้..
  หลังจากที่ปลายกระบี่ทั้งสามถูกกระบี่โลหิตแดนใต้ตวัดขึ้นจนปลายกระบี่ชี้ขึ้นฟ้าแล้วนักบวชทั้งสามก็ไม่รีรอที่จะฟันกระบี่ลงที่ศรีษะของหลิงหยุนพร้อมกันอีกครั้งทันที..
  “ไม่เลวเลยนี่..”
  แต่ครั้งนี้หลิงหยุนเลือกที่จะไม่ปะทะเหมือนครั้งก่อนเขาจึงรีบกระโดดถอยหลังหลบกระที่ทั้งสามที่ฟันลงมาทันที!
  ทางด้านชางซงที่ล่าถอยไปก่อนหน้านี้ก็ได้พุ่งเข้ามาทางด้านหลังของหลิงหยุนที่เพิ่งจะกระโดดหลบกระบี่ของสามนักบวช
  เวลานี้..ด้านหน้าของหลิงหยุนนั้นมีทั้งกระบี่สามเล่ม และแส้ปัดอีกสามด้าม ส่วนด้านหลังก็มีชางซงที่พุ่งเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ ในระหว่างที่หลิงหยุนกระโดดถอยหลังหลบนั้น จึงดูเหมือนว่าหลิงหยุนจะต้องถูกกระบี่ของชางซงแทงเข้าที่แผ่นหลังอย่างแน่นอน..
  “หลิงหยุนระวัง!”
  ฉินตงเฉี่วยเห็นภาพที่น่าหวาดเสียวนั้นก็ถึงกับร้องตะโกนบอกหลิงหยุนอย่างลืมตัว..
  แต่ในช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นหลิงหยุนก็ได้รวบรวมกำลังพุ่งหลบด้วยการกระโดดขึ้นไปบนอากาศ ทำให้กระบี่ทั้งสามเล่มพุ่งเข้าใส่ร่างของชางซงแทน..
  ระหว่างที่กระบี่ทั้งสามเล่มกำลังจะแทงเข้าใส่ร่างของชางซงนั้นเขาก็ค่อยๆ เอนร่างลงไปด้านหลังจนขนานกับพื้นเพื่อหลบกระบี่ของศิษย์น้องทั้งสามคน..
  ในวินาทีที่นักบวชทั้งสามเห็นว่าชางซงสามารถหลบกระบี่ของตนได้อย่างปลอดภัยแล้วพวกเขาจึงพร้อมใจกันตวัดกระบี่ขึ้นฟ้า พุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศพร้อมๆกัน!
  ในขณะนั้น..ร่างของหลิงหยุนยังคงอยู่เหนือพื้นดินไปราวสี่เมตร แม้กระบี่ของนักบวชทั้งสามจะยาวไม่พอที่จะแทงโดนร่างของหลิงหยุนในทันที แต่ดูเหมือนว่า.. ครั้งนี้หลิงหยุนคงยากที่จะหลบได้อีก และคงต้องถูกกระบี่ทั้งสามเล่มแทงเข้าร่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..
  “มันไม่ง่ายอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก!”
  สิ้นเสียงพูดของหลิงหยุน..กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของเขานั้น ก็ตวัดเข้ากับปลายกระบี่ทั้งสามเล่มของนับบวชทั้งสามคนทันที จนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ!
  นักพรตชงซวีที่ยืนมองอยู่นั้นถึงกับพยักหน้าพร้อมกับพึมพำออกมา “ค่ายกลปราบมังกรยอดเยี่ยมไม่เบาเลยทีเดียว!”
  แม้ปากของนักพรตชงซวีจะเอ่ยชื่นชมค่ายกลปราบมังกรออกมาแต่ดวงตาของเขานั้นกลับจับจ้องอยู่ที่ร่างกลางอากาศของหลิงหยุน ซึ่งถูกเหล่านักบวชจู่โจมจนต้องกระโดดหนีขึ้นไป และเวลานี้กำลังจะตกลงมา
  แม้แววตาของนักพรตชงซวีจะเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความกังวลใจอยู่บ้าง..
  แต่จอมยุทธย่อมมีกลวิธีในการต่อสู้หากเป็นไปได้.. คงไม่มียอดฝีมือคนใหนเลือกที่จะหลบคู่ต่อสู้ไปอยู่กลางอากาศเช่นนั้น เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ศัตรูโจมตีได้ง่ายขึ้น..
  และแน่นอนว่าเมื่อไปอยู่กลางอากาศเช่นนั้นย่อมไม่สามารถจะยืมพลังจากความว่างเปล่าเพื่อกระโดดขึ้นสูงอีกได้ อีกทั้งเมื่อครู่หลิงหยุนก็ได้กระโดดหมุนตัวขึ้นไปถึงสองรอบแล้ว ยังจะสามารถทำครั้งที่สามได้อีกอย่างนั้นหรือ
  ผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้..อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังภายในอยู่ในระดับขั้นเซียงเทียน-9 ที่จะสามารถควบคุมพลังปราณไปในทิศทางที่ต้องการได้!
  แม้หลิงหยุนจะแข็งแกร่งถึงปานนี้แต่ทั้งหลวงจีนเจี๋วยหยวน และนักพรตชงซวีต่างก็มองออกว่าเขายังห่างไกลขั้นเซียงเทียน-9 มากนัก..
  แน่นอนว่าหลิงหยุนยังไม่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9เขาจึงไม่สามารถควบคุมลมปราณเพื่อพาร่างของตนเองให้สูงขึ้นไปกว่านั้นได้อีก..
  หลิงหยุนซึ่งอยู่ในที่สูงนั้นกำลังมองกระบี่สีเงินทั้งสี่เล่มที่ทอประกายระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์ ก่อนจะร้องตะโกนออกมาว่า
  “ในเมื่อค่ายกลมังกรของเจ้ายอดเยี่ยมเช่นนี้ข้าก็คงหมดหนทางแล้ว!”
  คำว่า‘หมดหนทาง’ ที่หลุดจากปากของหลิงหยุนนั้น ทำให้นักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งสี่คนถึงกับตื่นเต้นดีใจ เพราะหากพวกเขาใช้ค่ายกลปราบมังกรแล้วยังไม่สามารถสังหารหลิงหยุนได้ ก็คงต้องรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก..
  แต่ในระหว่างที่ทั้งสี่พี่น้องกำลังตื่นเต้นดีใจอยู่นั้นทั้งหมดก็ถึงกับต้องตกตะลึง และงุนงง
  ยอดฝีมือทุกคนในที่นั้นต่างก็ดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบว่าจู่ๆ กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุนนั้นได้หายวับไปกับตา และกลายมาเป็นคันธนูสีทองแทน..
  นั่นเพราะหลิงหยุนรู้ดีว่า..ครั้งนี้กระบี่โลหิตแดนใต้คงไม่สามารถทลายค่ายกลปราบมังกรได้ เขาจึงได้เรียกคันธนูทองออกมาแทน..
  เวลานี้หลิงหยุนอยู่ในท่าเล็งคันธนูไปด้านล่างในขณะที่มือซ้ายของเขาก็น้าวสายธนูออกมา จนคันธนูในมือกลายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง..
  ระหว่างที่น้าวสายธนูนั้นร่างของหลิงหยุนก็ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นดิน แต่เวลานี้ในมือซ้ายของเขาที่น้าวสายธนูนั้นกลับไม่มีลูกธนูแม้แต่ดอกเดียว!
  แต่ในเมื่อหลิงหยุนสามารถเปลี่ยนจากกระบี่มาเป็นคันธนูใหญ่ได้เหตุใดลูกธนูทั้งสี่ดอกจะปรากฏขึ้นในมือของเขาไม่ได้เล่า
  และเวลานี้ลูกธนูสีเงินทั้งสี่ดอกก็กำลังทอประกายอยู่ในมือของหลิงหยุนซึ่งน้าวสายธนูเตรียมพร้อมที่จะยิงได้ในทันที!
  และจู่ๆหลิงหยุนก็ปล่อยสายธนู.. ไม่มีแม้แต่เสียงสั่นไหวของสายธนู และไม่เห็นแม้แต่ลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู นั่นเพราะหลิงหยุนยิงออกไปด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าเร็วกว่าความเร็วของลูกปืนเสียอีก…..novel-lucky
  อีกทั้งหลิงหยุนก็อยู่ห่างจากนักบวชทั้งสี่คนไปเพียงแค่สี่เมตรเท่านั้น..
  “หลบเร็ว!”
  สีหน้าของชางซงเปลี่ยนไปทันทีดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุดในขณะที่ร้องตะโกนออกไป!
  เมื่อใดที่นึกถึงคำว่า‘สายเกินไป’ นั้น ย่อมหมายถึงว่ามันเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที หรือเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
  ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องตะโกน..ชางซงก็ใช้วิชาตัวเบาขั้นสุดกระโดดหลบลูกธนู พร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือไปมาราวกับคนคลุ้มคลั่ง ในเมื่อไม่สามารถหลบลูกธนูได้ทันเวลา ก็จำต้องใช้กระบี่ในมือปัดป้อง..
  ส่วนซีเสียจุ้ยจู่ และชิงเฟิงนั้น ทั้งสามคนมีทั้งแส้กับกระบี่อยู่ในมือทั้งสองข้าง และทั้งหมดต่างก็ใช้ทั้งแส้ทั้งดาบปัดป้องลูกธนูกันเป็นพัลวัน
  แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าทั้งสี่คนจะสามารถกระโดดหลบได้อย่างรวดเร็วแล้วแต่ก็ยังนับว่าช้าไปกว่าหลิงหยุนหนึ่งก้าว!
  ฉึก..ฉึก.. ฉึก.. ฉึก..
  เสียงลูกธนูพุ่งแทงเข้ากับร่างของนักบวชทั้งสี่คนจากเขาหลงหู่จนได้รับบาดเจ็บเลือดไหลออกมากันทุกคน
  เมื่อเป็นเช่นนี้มีหรือที่นักบวชทั้งสี่จะยังสามารถรักษาตำแหน่งของค่ายกลปราบมังกรไว้ได้เวลานี้ทุกคนต่างก็หลบหนีลูกธนูไปกันคนละทิศคนละทางจนวุ่นวายไปหมด..
  แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่ลูกธนูของหลิงหยุนยิงไม่โดนอวัยวะสำคัญลูกธนูทั้งหมดต่างก็พุ่งโดนที่ต้นขาของพวกเขาเท่านั้น และหากทั้งหมดไม่กระโดดหลบ ลูกธนูก็จะปักเข้าที่อกของพวกเขาทันที
  และเวลานี้ร่างของหลิงหยุนก็ได้ร่วงลงสู่พื้นแล้วในมือของเขากลับมาว่างเปล่าอีกครั้งในขณะที่จ้องมองนับบวชทั้งสี่คนที่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วจึงพูดขึ้นว่า
  “พวกเจ้าคงคิดว่าข้าหวาดกลัวค่ายกลปราบมังกรของพวกเจ้ามากสินะ!ข้าคร้านที่จะเสียเวลากับพวกเจ้าแล้วต่างหากเล่า!”
  เมื่อทุกคนได้เห็นหลิงหยุนทำลายค่ายกลปราบมังกรด้วยลูกธนูที่ยิงออกมาเพียงครั้งเดียวก็ได้แต่งุนงงไปตามๆกัน!
  ในเมื่อค่ายกลปราบมังกรถูกทำลายลงไปแล้วหลิงหยุนจึงได้แต่นึกหยัน และร่างของเขาก็พุ่งตรงเข้าหาชางซงทันที!
  แต่เวลานี้..แขนซ้ายของชางซงก็ได้รับบาดเจ็บ และต้นขาก็ถูกยิงด้วยธนู มีหรือที่จะสามารถหลบหลีกหลิงหยุนได้อีก จึงได้แต่กัดฟันยกกระบี่ในมือขึ้นเพื่อรับมือหลิงหยุน!
  หลิงหยุนพุ่งเข้าหาปลายกระบี่ของชางซงอย่างไม่นึกหวาดกลัวและเมื่อเข้าใกล้มากแล้ว เขาก็เพียงแค่บิดตัวเล็กน้อยหลบปลายกระบี่ และเหยียดมือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า ก่อนจะใช้มือที่แข็งแกร่งราวกับคีมของตนเองหนีบข้อมือของชางซงไว้ในทันที..
  “ทิ้งกระบี่ในมือของเจ้าซะ!”
  ชางซงรู้สึกเจ็บปวดข้อมืออย่างมากจนต้องปล่อยกระบี่ในมือลงพื้น..จากนั้นหลิงหยุนก็งอเข่าลง และงอข้อศอกเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังฟันข้อศอกเข้าที่หน้าอกของชางซงต่อ..
  และชางซงก็อ้าปากพ่นเลือดออกมากองใหญ่ ก่อนที่ร่างจะลอยละลิ่วร่วงลงสู่พื้นดิน และหมดสติไป
  “พี่สอง!”
  ทั้งซีเสียจุ้ยจู่ และชิงเฟิงเห็นเช่นนั้น ต่างก็ลืมอาการบาดเจ็บของตนเอง และรีบเข้าไปช่วยชางซงทันที
  เมื่อหลิงหยุนเห็นร่างผอมบางของจุ้ยจู่พุ่งเข้ามาเป็นคนแรกเขาก็พุ่งเข้าไปหากพร้อมกับใช้สองมือชกเข้าที่หน้าอกของจุ้ยจู่ถึงห้าหมัด..
  สามหมัดแรกเป็นการทำลายพลังปราณที่ปกป้องร่างของจุ้ยจู่และอีกสองหมัดสุดท้ายนั้น ทำให้เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาก่อนจะลงไปกองกับพื้นอีกคน..
  หลังจากจัดการกับชางซงและจุ้ยจู่ไปแล้วหลิงหยุนก็หันไปจัดการกับซีเสียต่อ..
  “หลิงหยุน..ข้าจะฆ่าเจ้า!”
  เมื่อซีเสียเห็นพี่น้องของตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นก็ร้องตะโกนออกมาอย่างคั่งแค้นพร้อมกับพุ่งเข้าหาหลิงหยุนทันที!
  พรึบ!
  ระหว่างนั้น..ร่างในชุดสีขาวก็กระโดดเข้ามายืนขวางระหว่างหลิงหยุนกับซีเสียไว้ทันที เขาก็คือหลี่เคิ่นวู๋แห่งสำนักกระบี่เทียนซันนั่นเอง..
  “เจ้าหนู..เจ้ามันเสียสติไปแล้ว ข้าหลี่เคิ่นวู๋จะมอบบทเรียนให้กับเจ้าเอง!”
  “ข้าเองก็รอคอยเจ้ามานานแล้วเหมือนกัน..”หลิงหยุนร้องตอบพร้อมกับกระโดดเข้าหาหลี่เคิ่นวู๋ทันทีเช่นกัน
  สองเท้าของหลี่เคิ่นวู๋ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับมีเพียงกระบี่ในมือเท่านั้นที่ตวัดไปมาอย่างรวดเร็ว..
  และดูเหมือนว่ากระบี่ในมือของหลี่เคิ่นวู๋นั้นจะรวดเร็วกว่าสี่นักบวชจากเขาหลงหู่เสียอีก!
  หลิงหยุนเองก็บิดตัวหลบกระบี่ในมือที่ตวัดไปมาอย่างรวดเร็วของหลี่เคิ่นวู๋พร้อมกับพุ่งเข้าหาหมายชกหมัดเข้าที่ร่างของหลี่เคิ่นวู๋เช่นกัน แต่หลี่เคิ่นวู๋ก็สามารถหลบหมัดของหลิงหยุนได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง..
  ระหว่างที่หลบหมัดของหลิงหยุนนั้นกระบี่ในมือของหลี่เคิ่นวู๋ก็ตวัดเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอย่างต่อเนื่องจนเกือบโดนเข้ากับซี่โครงของเขา
  หลิงหยุนถึงกับหยุดนิ่งและเอ่ยชื่นชมหลี่เคิ่นวู๋ “เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว กระบี่ก็รวดเร็วยิ่ง!”