กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1014

“การเดินทางไปเผ่าเพลิงฟ้าในวันนี้ คนของข้าจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง หากเจ้าคิดจะไปด้วย เช่นนั้นก็จ่ายเงินมา หากไม่ต้องการไป ข้าก็ไม่ว่าอะไร เพราะถึงอย่างไรเผ่าเพลิงฟ้าก็ไม่ต้อนรับเจ้า”

“เท่าไร”

“ไม่มาก สองแสนตำลึง”

“สองแสนตำลึง? เจ้าหน้าเงินมากเช่นนั้นเลยหรือ?”

รถม้าคันเดียวจำเป็นต้องใช้เงินมากมายเช่นนั้นเลยหรือ?

“ใครบอกให้ข้ายากจนล่ะ ในเมื่อเจ้าร่ำรวยเจ้าก็ควรทำประโยชน์บ้าง”

เยี่ยจิ่งหาน “……”

“พระสวามีรอง เจ้าต้องคิดให้ดีๆ เจ้าคิดจะเดินทางไปเผ่าเพลิงฟ้าอย่างเปิดเผยสักครั้ง และนี่ก็เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น อ้อไม่ เจ้าคงอยากรู้ว่าเผ่าเพลิงฟ้าอยู่ที่ไหนมากกว่า”

“จ่ายเงินสองแสนตำลึงเพื่อรู้ที่ตั้งของเผ่าเพลิง ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว”

เยี่ยจิ่งหานกล่าวเตือน “เรียกข้าว่าพระสวามีรองอีกครั้ง ระวังจะกลายเป็นใบ้”

“เอ๊ะ เจ้าต้องการเป็นพระสวามีเองไม่ใช่หรือ ข้าไม่ได้บังคับเจ้าเสียหน่อย”

เมื่อพูดจบ เยี่ยจิ่งหนาก็พูดไม่ออก

เมื่อวานไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป จู่ๆ ก็คิดอยากแย่งตำแหน่งพระสวามีกับเหวินเส่าอี๋

อันที่จริงเขาไม่แยแสตำแหน่งพระสวามีนี้เลยสักนิด

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระสวามี พระสวามี…”

ทหารองครักษ์วิ่งเข้ามารายงานอย่างตื่นตระหนก

กู้ชูหน่วนมองไปยังเยี่ยจิ่งหาน ราวกับยังไม่รู้ว่าพระสวามีที่พูดถึงนั้นเป็นใคร

“ฝ่าบาท ไม่ใช่พระสวามีรอง แต่เป็นพระสวามีเอกพ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ เขาก็เป็นลมหมดสติ เมื่อหมอหลวงมาดูอาการก็พบว่าดวงตาของพระสวามีเอกไม่สามารถมองเห็นได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”

กู้ชูหน่วนเอามือกุมปาก

มองไม่เห็น?

ตาบอด?

เมื่อวานก็ยังดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ?

เหตุใดจู่ๆ ก็ตาบอดได้

เหวินเส่าอี๋คิดจะทำอะไรของเขา

“พระสวามีรอง เจ้ารอข้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะไปดูพระสวามีเอก และประเดี๋ยวจะพาเจ้าไปยังเผ่าเพลิงฟ้า”

เยี่ยจิ่งหานกล่าว “ข้าบอกแล้วไงว่าหากพูดอีกครั้ง ข้าจะทำให้เจ้าเป็นใบ้”

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากจากข้า อยู่ที่นี่นะ พระสวามีรองของข้า”

เยี่ยจิ่งหานกำลังจะระเบิดความโกรธ จากนั้นกู้ชูหน่วนก็พาทหารองครักษ์เดินออกไป

เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

ตั้งแต่ที่ได้พบเจอนาง เขาก็รู้สึกโมโหทุกครั้งที่ได้เจอ

มีเงาแวบเข้ามาและจากนั้นทหารองครักษ์ของเยี่ยจิ่งหานก็ปรากฏตัวขึ้น “นายท่าน ฆ่านางเลยไหมขอรับ?”

“ดวงวิญญาณของอาหน่วนยังหาไม่เจอ นางยังมีประโยชน์อยู่”

“ขอรับ”

“เหวินเส่าอี๋ตาบอดจริงหรือ?”

“ยังไม่แน่ชัดขอรับ ตำหนักเฟิ่งหลวนมีการคุ้นกันแน่นหนา ไม่ได้มีเพียงแค่คนของจักรพรรดินีเท่านั้น แถมยังมีคนของเผ่าเพลิงฟ้าที่แอบคอยคุ้มกันอยู่”

ภายในตำหนักเฟิ่งหลวน

เบื้องหน้าของเหวินเส่าอี๋มืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงสว่าง

เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างและในมือก็ถือตำราเล่มหนึ่ง ทว่าตำรานั้นกลับหัวกลับหาง

เขาดูไม่แยแสเหมือนก่อน ดูสงบและเยือกเย็น เพียงแค่นั่งเงียบๆ อยู่ริมหน้าต่าง ไม่มีร่องรอยของความวิตกกังวลและความคลุ้งคลั่งบนใบหน้าปรากฏให้เห็น

สายลมโชยพัดพาปอยผมปลิวไสวราวกับเทวดาลงมาโปรดสัตว์ ช่างงดงามยิ่งนัก

กู้ชูหน่วนเดินเข้ามายังตำหนักเฟิ่งหลวนและบรรยากาศภายในก็ดูมืดมนขุ่นมัว

เหวินเส่าอี๋นั่งมองไปนอกหน้าต่างเงียบๆ โดยไม่ขยับไปไหน ราวกับเขาเป็นรูปปั้นแกะสลักที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

กู้ชูหน่วนมาปรากฏตัวต่อหน้าของเขาและขยับไปมา

เหวินเส่าอี๋กลับไม่รู้สึกตัวสักนิด

นางยิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวหูเตี๋ย ข้าบอกว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง เจ้าดูสิตอนนี้เจ้ายังเป็นหัวหน้าของวังหลังแห่งรัฐปิงอยู่เลย ต่อให้เยี่ยจิ่งหานจะเลื่อนขั้นมาเป็นพระสวามีรอง แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องแสดงความเคารพต่อเจ้าอยู่เหมือนเดิม”

เหวินเส่าอี๋ยังคงไม่ตอบสนองและยังคงอยู่นิ่งๆ กะพริบตาและไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่

“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่ดีที่ข้าแต่งตั้งเยี่ยจิ่งหานให้เป็นพระสวามีรอง เอางี้ วันนี้หลังจากกลับไปยังเผ่าเพลิงฟ้า ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นภายนอกวังหลวงดีไหม?”

“ฝ่าบาทเป็นถึงจักรพรรดินีแห่งรัฐปิง ฝ่าบาทคิดจะแต่งตั้งใครก็แต่งตั้งได้ กระหม่อมจะพูดอะไรได้”

เหตุใดถึงรู้สึกว่าคำนี้มันฟังดูแปลกๆ?

หรือว่าจะโกรธจริงๆ?

หมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าว “ฝ่าบาท การที่พระสวามีมองไม่เห็นอาจเป็นเพราะ…..อาจจะเป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ก็เลยทำให้ส่งผลถึงการมองเห็นพ่ะย่ะค่ะ”

“มองไม่เห็น?”

เมื่อเห็นตำรากลับหัวที่เหวินเส่าอี๋ถืออยู่ รวมถึงคำว่ามองไม่เห็น จากนั้นมือของเขาก็สั่นสะท้านเล็กน้อย กู้ชูหน่วนจึงรู้ได้ทันทีว่าเหวินเส่าอี๋ไม่ได้โกหกนาง

กู้ชูหน่วนตรวจชีพจรของเขาและตรวจสอบดวงตาของเขาอย่างละเอียด จากนั้นนางคิดจะตรวจสอบศีรษะของเหวินเส่าอี๋ แต่ถูกเหวินเส่าอี๋ปฏิเสธ

“แค่มองไม่เห็นเท่านั้น ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวล ฝ่าบาทบอกว่าจะกลับไปยังเผ่าเพลิงฟ้ากับกระหม่อมไม่ใช่หรือ? ไม่ทราบว่าจะออกเดินทางตอนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“กลับเผ่าเพลิงฟ้าเป็นเรื่องเล็ก แต่ดวงตาของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญกว่า มาให้ข้าตรวจดูหน่อยเถอะ”

ไม่ว่าเหวินเส่าอี๋จะยอมหรือไม่ สองมือของกู้ชูหน่วนก็ได้ประคองศีรษะของเขาเอาไว้และลูบคลำไปที่จุดชีพจรไท่หยางและบริเวณหน้าผาก

กลิ่นสมุนไพรที่คุ้นเคยโชยเข้ามาแตะที่จมูกทำให้เหวินเส่าอี๋สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในภวังค์

กลิ่นนี้เหมือนกับกลิ่นที่ติดตามร่างกายของกู้ชูหน่วนยังไงยังงั้น

เขาทั้งรักทั้งแค้นกู้ชูหน่วน

เหตุใดเขาถึงรู้สึกเช่นนี้กับมู่หน่วนด้วยเช่นกัน

“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสในงานพิธีเมื่อครั้งก่อน เจ้ามองไม่เห็นอาจเป็นเพราะมีเลือดคั่งในสมอง ซึ่งไปขัดขวางระบบการมองเห็น”

หมอหลวงกล่าว “ฝ่า….ฝ่าบาท การต่อสู้ในลานพิธีเมื่อครั้งก่อนได้ผ่านไปหลายเดือนมากแล้ว และพระสวามีเองก็ฟื้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หากมีเลือดคั่ง เช่นนั้นตอนที่พระสวามีฟื้นขึ้นมาก็ควรมีอาการมองไม่เห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เหตุใดถึง…..”

“ในสมองของเขามีเลือดคั่งมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้ปิดกั้นอย่างสมบูรณ์เท่านั้น”

เหวินเส่าอี๋วางตำราในมือลงและนึกถึงการต่อสู้ในลานพิธีครั้งก่อน

ในการต่อสู้ครั้งนั้น เขาได้รับบาดเจ็บจากแสงจ้าที่ควบแน่นโดยพลังภายในของผู้หญิงที่บ้าคลั่งและเขายังกระเด็นกระแทกไปมาหลายครั้ง จากนั้นก็กระแทกเข้ากับรูปปั้นหินแกะสลักอันหนักอึ้ง

เขาจำไม่ได้ว่าเขาถูกกระแทกและบาดเจ็บไปโดนศีรษะกี่ครั้ง

เป็นไปได้ไหมว่าเพราะตอนนั้นเลือดออกในสมอง จึงทำให้มองไม่เห็น?

มือใหญ่กุมโดยมือเล็กๆ ที่อบอุ่นคู่หนึ่ง และมู่หน่วนพึมพำเสียงปลอบโยนข้างๆ หูของเขา

“ไม่ต้องกลัว ข้าจะใช้การฝังเข็มเพื่อชำระเลือดที่คั่งค้างในสมองของเจ้าออกมาทุกวัน จากนั้นดวงตาของเจ้าก็จะค่อยๆ กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง”

จากนั้นใจในของเหวินเส่าอี๋ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

ความเกลียดชังที่มีต่อนางก็ค่อยๆ ลดลง

“ในช่วงที่เจ้ามองไม่เห็น ข้าจะคอยเป็นดวงตาของเจ้า เจ้าอยากไปไหน อยากทำอะไร ข้าจะคอยอยู่กับเจ้า”

“ฝ่าบาท กระหม่อมต้องการอะไร กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทก็คงรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

“รู้สิ ข้าได้มอบขวานผานกู่ให้กับเซี่ยวอวี่เซวียนไปแล้ว ตอนนี้มันได้เป็นของเซี่ยวอวี่เซวียนไปแล้ว ข้าไม่อาจมอบให้เจ้าได้”

“ดวงวิญญาณที่เจ้าต้องการ ข้าก็ได้สั่งให้คนพยายามออกตามหา การจะรวบรวมดวงวิญญาณทั้งเจ็ดมาได้นั้นก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น”

“ฝ่าบาทหมายความว่า หลังจากรวบรวมดวงวิญญาณได้ครบก็จะมอบให้กระหม่อม ไม่ได้มอบให้เยี่ยจิ่งหาน”

“เขาต้องการรวบรวมดวงวิญญาณให้ครบเพื่อให้ภรรยาของเขาฟื้นคืนชีพ ส่วนเจ้ารวบรวมเพื่อต้องการทำลายนางใช่หรือไม่”

“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้มากมายเช่นนั้น”

“เจ้าคิดจะทำลายนาง เช่นนั้นก็ไม่ต้องรวบรวมดวงวิญญาณก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงต้องเสียเวลา เฮ้อ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร เจ้าเกลียดแค้นนาง ฉะนั้นเจ้าคิดว่านางตายไปเช่นนี้มันดูง่ายเกินไป ฉะนั้นเจ้าเลยอยากทำให้นางฟื้นกลับมาแล้วค่อยลงมือฆ่านางด้วยตัวเองใช่หรือไม่”

ความอบอุ่นในร่างกายของเหวินเส่าอี๋หายไป มีเพียงความเยือกเย็นที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

อุณหภูมิในห้องนอนก็ลดลงครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หมอหลวงหลายคนที่อยู่ใกล้เคียงคิดว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึง

“พวกเจ้าออกไปให้หมด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

กู้ชูหน่วนสั่งให้หมอหลวงออกไปและนั่งลงข้างกายของเหวินเส่าอี๋ จากนั้นก็กุมมืออันเรียวยาวของเหวินเส่าอี๋