บทที่ 552 ฟ้อง

บัลลังก์พญาหงส์

หงหลัวถอนใจ แล้วก็พูดเรื่องที่ตัวเองสังเกตเห็นช้าๆ “ตอนนั้นท่าทีของถาวจืออี๋เหนียงน่าสงสัยนักเจ้าค่ะ ดูจากกู่อี๋เหนียงแล้ว กู่อี๋เหนียงแม้ว่าไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยห้าม โวยวายเพียงครู่ก็จบไป อย่างไรก็ยังคงหวังให้จับโจรลอบสังหารได้ แต่ถาวจืออี๋เหนียงกลับพยายามห้ามอยู่ตลอดเวลา แล้วยังลากกู่อี๋เหนียงออกมา ดูจากนิสัยโดยปกติของถาวจืออี๋เหนียงแล้ว นี่นับว่าแปลกอยู่เล็กน้อยเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ตอนนั้นทั้งนางและกู่อวี้จือก็ยืนอยู่ด้วยกัน แต่อวิ๋นกู่กลับจับกู่อวี้จือที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อย และไม่แตะต้องตัวนางเลย” 

 

 

แบบนี้หมายความว่าอะไร? ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นกู่ผูกพันกับถาวจือเจ้านายของตน ก็ต้องเป็นเพราะรู้ว่าไม่อาจทำอะไรถาวจือได้ 

 

 

อย่างแรก…ดูเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นอย่างหลัง และในสถานการณ์ใดที่ทำให้อวิ๋นกู่ไม่อาจแตะต้องถาวจือได้? ไม่ต้องพูดก็รู้ได้ 

 

 

ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมองหงหลัว “ไปสืบดูให้ละเอียดว่าปกติแล้วถาวจือปฏิบัติต่ออวิ๋นกู่อย่างไร และให้คนจับตาดูความเคลื่อนไหวของถาวจืออย่างละเอียด” 

 

 

เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่ต้อนถามต่อหน้าได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่คอยจับตาลอบสังเกตเท่านั้น แน่นอนว่าการลอบสังเกตย่อมต้องเห็นอะไรได้ไม่น้อย 

 

 

พอถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาประทานถาวจือมาให้ ทันใดนั้นก็นึกอยากหัวเราะ “พูดไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นความหละหลวมของพวกเราเอง” ฝ่ายนั้นเป็นคนของฮองเฮาอยู่แล้ว หากผูกสัมพันธ์กับฮองเฮาได้ และทำธุระให้ฮองเฮาจนได้ผลประโยชน์ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดามาก 

 

 

ท้องฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย ถาวจวินหลันก็ให้คนกุมตัวอวิ๋นกู่เข้าวังหลวงไป เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น นางย่อมไม่หวังว่าจะจัดการให้หายไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย โอกาสดีขนาดนี้ย่อมต้องแสดงละครฉากใหญ่ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงจะดี 

 

 

ไทเฮาก็ไม่ยอมออกมาจากวังหย่งโซ่วอีกแล้ว และไม่มีเรี่ยวแรงมาจัดการเรื่องด้านนอกอีก ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะไปรบกวนไทเฮา แต่หากไปหาฮองเฮาก็เปิดโอกาสให้ฮองเฮาปิดปากเท่านั้น แน่นอนว่าไปหาไม่ได้ 

 

 

แน่นอนว่านางเป็นสตรีมียศ แม้จะสามารถตรงไปหาฮองเฮาได้เลย ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยตรงก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ อย่างไรนางก็ถือว่าเป็นลูกสะใภ้ของฮ่องเต้ 

 

 

ถาวจวินหลันคำนวณเวลามาแล้ว ก็เร่งเดินทางก่อนที่ฮ่องเต้จะขึ้นว่าการ ความตั้งใจเดิมของนางนั้นง่ายมาก นั่นก็คือทำเรื่องนี้ให้ใหญ่ วุ่นวายได้เท่าไรยิ่งดี 

 

 

ตอนที่ขันทีเป่าฉวนรู้ว่าถาวจวินหลันมา ก็เขม็งมองถาวจวินหลัน ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ชายารองถาวคิดดีแล้วใช่หรือไม่ ช่วงนี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณกงกงที่เอ่ยเตือน” แต่นางไม่กลัวว่าฮ่องเต้จะอารมณ์ไม่ดีจริงๆ แม้ว่าฮ่องเต้อารมณ์ดี นางก็ต้องคิดหาวิธีทำให้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดีอยู่ดี มิเช่นนั้นจะโหมให้เรื่องใหญ่ได้อย่างไร? จะเอาวิธีที่รวดเร็วราวฟ้าผ่าได้อย่างไร? 

 

 

สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็ยังยอมเรียกพบถาวจวินหลัน เพราะถาวจวินหลันพูดว่าขอให้ฮ่องเต้ช่วยชีวิตซวนเอ๋อร์ เรื่องอื่นยังไม่เท่าไร แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลานชายคนโตของตน ฮ่องเต้ย่อมจริงจังเป็นพิเศษ 

 

 

หลังจากถาวจวินหลันพบฮ่องเต้แล้ว ก็คุกเข่าลงไปทันที “ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!” 

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮ่องเต้ยังต้องรีบไปเข้าว่าการ ย่อมไม่อาจล่าช้าได้ ดังนั้นจึงถามนางตรงประเด็น 

 

 

“เมื่อกลางดึก ตอนที่หม่อมฉันใกล้จะหลับสนิท ภายในจวนก็มีโจรลอบสังหารเข้ามาเพคะ ครั้งนี้เกือบจะลงมือสำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะหมิงจูตื่นขึ้นมากลางดึก ทำให้หม่อมเห็นความผิดปกตินอกเรือน เกรงว่าหม่อมฉันกับลูกทั้งสองคงต้องตายไปแล้วเมื่อคืนนี้!” ถาวจวินหลันคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นไม่ยอมลุก เอาแต่ร้องไห้ไปเล่าเรื่องไป 

 

 

ไม่ร้องไห้ตอนนี้ แล้วจะร้องไห้เมื่อไร? ถาวจวินหลันร้องไห้สะอึกสะอื้นเล่าว่า “ตอนนี้ก็ยังหาเซิ่นเอ๋อร์ไม่พบ หากเกิดเรื่องขึ้นกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู หม่อมฉันคงไม่มีหน้าไปพบท่านอ๋องอีกแล้วเพคะ! ตอนนี้จวนตวนชินอ๋องเกิดเรื่องขึ้นบ่อยครั้ง หม่อมฉันตื่นตระหนกไปหมดแล้ว ขอฮ่องเต้ได้โปรดเห็นใจพวกเราแม่ลูกด้วยเถิดเพคะ ขอให้เรียกท่านอ๋องกลับมาเพื่อตามหาเซิ่นเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ!” 

 

 

ฮ่องเต้ทั้งตกใจและโมโห “อะไรนะ? มีโจรลอบสังหารอีกแล้ว!” จากนั้นก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้พูดอย่างโมโหว่า “โจรลอบสังหารตอนนี้มีอยู่เต็มแผ่นดินไปหมด ดูท่าทางแผ่นดินนี้ของข้าจะมีแต่ชื่อเสียแล้ว!” 

 

 

ฮ่องเต้ฟังคำว่าโจรลอบสังหารแล้วไม่พอใจจริง ตั้งแต่ต้นปีมานั้น ปีนี้แท้จริงแล้วเกิดเหตุโจรลอบสังหารมากี่ครั้งแล้ว? เขาได้ยินจนรู้สึกหงุดหงิดแล้วจริงๆ! อีกทั้งวิธีสกปรกที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งแต่เดิมนั้นก็เป็นการแสดงถึงความไม่มั่นคง เช่นนั้นจะทำให้เขาดีใจขึ้นมาอย่างไร? 

 

 

ขันทีเป่าฉวนเห็นฮ่องเต้โมโห ก็รีบเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อม 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ก็เริ่มสงบลง มองดูถาวจวินหลันที่ยังคงก้มหมอบอยู่ที่พื้น คิดถึงคำขอเมื่อครู่นี้ของถาวจวินหลัน ในใจแม้จะไม่พูดออกมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ตำหนิอะไร เพียงแค่พูดเนิบๆ ว่า “ตวนชินอ๋องออกไปทำธุระ และยังเป็นการทำเพื่อประชาชน ให้พวกเขใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ความเห็นอย่างหญิงที่แต่งงานแล้ว อย่ายกขึ้นมาพูดให้ได้ยินอีก แล้วข้าจะส่งทหารองครักษ์ไปคุ้มกันจวนตวนชินอ๋องด้วยตนเอง! ข้าไม่เชื่อว่าโจรลอบสังหารเหล่านี้จะมีปีกงอกหนีไปได้?!” 

 

 

ถาวจวินหลันกล่าวขอบพระคุณก่อน จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ที่จริงแล้วโจรลอบสังหารครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาจากภายนอกจวนเพคะ แต่แฝงตัวอยู่ภายในจวนแล้ว แม้แต่เซิ่นเอ๋อร์…คิดว่าขันทันเป่าฉวนก็คงจะเคยทูลให้ฮ่องเต้ทราบแล้ว ว่าแม่นมข้างกายของเซิ่นเอ๋อร์ลักพาตัวเขาไปเอง พวกเราจึงไม่ทันได้ป้องกันเพคะ” 

 

 

“เจ้าดูแลจวนอย่างไรกัน?” คราวนี้ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เพราะรู้ว่าถาวจวินหลันถือสิทธิ์อำนาจในการดูแลจวน ดังนั้นถึงได้ถามหาความรับผิดชอบจากถาวจวินหลันโดยตรง 

 

 

ถาวจวินหลันรีบพูดอธิบาย “โจรลอบสังหารครั้งนี้เข้ามาอยู่ภายในจวนเร็วกว่าหม่อมฉันเล็กน้อยเพคะ และยังเป็นแม่นมของเซิ่นเอ๋อร์ ล้วนเป็นชายารองเหมือนกัน หม่อมฉันย่อมไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชายารองเจียงได้มากเพคะ ส่วนแม่นมของเซิ่นเอ๋อร์ ชายารองเจียงก็เป็นคนหามาเองเพคะ” 

 

 

คนเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง แต่พอมาคิดดูแล้ว นางก็ยังคงยอมรับผิดโดยดี “แต่นี่ก็เป็นความผิดของหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะหม่อมฉันดูแลไม่เข้มงวด ถึงทำให้คนหาช่องว่างแทรกตัวเข้ามาได้เพคะ” 

 

 

ฮ่องเต้ไม่ได้คิดจะเอาความอะไรจริงจัง เพราะขันทีเป่าฉวนได้เอ่ยเตือน “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ โจรลอบสังหารคนนั้นถูกจับได้แล้ว พระองค์ต้องการให้เรียกมาไต่สวนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็มองไปทางถาวจวินหลันทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังขันทีเป่าฉวน “เรื่องนี้มอบให้เจ้าจัดการ ต้องไต่สวนความจริงมาให้ได้ ว่าแท้จริงแล้วใครอยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นวายพวกนี้กันแน่” 

 

 

“ฮ่องเต้ทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก! คิดว่าหากสืบพบแล้ว ต่อจากนี้ไปจวนตวนชินอ๋องคงจะสงบสุขเสียทีเพคะ” ถาวจวินหลันโขกหัวขอบคุณ พลางพูดสะอึกสะอื้น “ท่านอ๋องปฏิบัติดีกับคนอื่นมาโดยตลอด พบเรื่องอะไรก็ไกล่เกลี่ยไปได้ด้วยดี ทำไมถึงยังมีคนตั้งตนเป็นศัตรูกับจวนตวนชินอ๋องอีก? ขอให้ฮ่องเต้ตัดสินแทนท่านอ๋องด้วยนะเพคะ!” 

 

 

ถาวจวินหลันร้องไห้น่าสงสาร ย่อมทำให้ฮ่องเต้นึกถึงหลี่เย่ขึ้นมา  

 

 

หลี่เย่มีนิสัยอบอุ่นมาโดยตลอดจริง แต่ดูเหมือนว่าคนที่ไม่ชอบหลี่เย่จะเยอะมาแต่ไหนแต่ไร จงใจทำให้หลี่เย่ตกที่นั่งลำบากเสมอ นับเหตุเคราะห์ภัยที่เจอมาตั้งแต่ยังเด็ก หลี่เย่ก็ประสบเคราะห์ต่างๆ มาไม่น้อยจริง และพ่ออย่างเขาก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อหลี่เย่มาก่อน แม้แต่เรียกหาความยุติธรรมก็ทำไม่กี่ครั้งเท่านั้น 

 

 

เทียบกับตอนที่หลี่เย่โดนลอบสังหารได้รับบาดเจ็บ และถูกคนเล่นงานให้ม้าตกใจ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ แม้จะไม่ได้มีหลักฐานมัดตัว แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าใครวางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่เพราะความสงบของราชสำนัก และถ่วงดุลอำนาจของแต่ละฝ่ายให้สมดุลกัน สุดท้ายแล้วเขาก็ทำเป็นว่าสงบสุขเท่านั้นเอง 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ฮ่องเต้ก็นึกถึงคำพูดของไทเฮาที่ว่า ‘ลำเอียง’ ได้ทันที คำพูดที่ไทเฮาพูดออกมาในงานสมโภชฤดูหนาวเหล่านั้นไม่ปิดเลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ครุ่นคิดนิ่งอยู่ในภวังค์ แล้วก็เริ่มรู้สึกผิด 

 

 

เขานั้นติดหนี้ลูกชายคนนี้อยู่มาก ก่อนหน้านี้ก็แล้วไป อย่างไรเขาก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้มากนัก แต่ตอนนี้เล่า? ตอนนี้มานั่งคิดดูแล้ว เขาเป็นถึงฮ่องเต้ แต่กลับไม่สามารถปกป้องลูกชายของตนเองได้…ไม่ต้องพูดถึงลูกชาย แม้แต่หลานก็ยังปกป้องไม่ได้เช่นกัน 

 

 

เรื่องเซิ่นเอ๋อร์ยังแล้วไป แต่ถ้าหากซวนเอ๋อร์เป็นอะไรไป… 

 

 

จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าคิดต่อไป 

 

 

ฮ่องเต้ตกอยู่ในภวังค์เนิ่นนาน แม้แต่เวลาขึ้นว่าราชการยามเช้าล่าช้าออกไปก็ยังไม่ได้สติกลับมา ตราบจนขันทีเป่าฉวนเอ่ยเตือน เขาถึงได้สติกลับมา หลังจากเร่งบอกให้ถาวจวินหลันกลับไปแล้ว เขาถึงรีบมุ่งหน้าไปยังราชสำนัก 

 

 

ขันทีเป่าฉวนกลับอยู่ที่เดิมเพื่อจัดการเรื่องนี้ 

 

 

“ใครวางแผนอยู่เบื้องหลัง คิดว่ากงกงคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ” ถาวจวินหลันถอนใจ ตบฝุ่นบนกระโปรงออกไป จากนั้นก็มองขันทีเป่าฉวน ยิ้มน้อยๆ “ขอให้กงกงช่วยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

เมื่อครู่ถาวจวินหลันมองท่าทีของฮ่องเต้ออกอย่างชัดเจน นางรู้ว่าฮ่องเต้ต้องแอบรู้สึกผิดลึกๆ ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกเย้ยหยันตนเอง และรู้ว่านี่เป็นโอกาสปลดองค์รัชทายาทอันหาได้ยาก 

 

 

ขันทีเป่าฉวนกลับไม่ได้ดึงดันอะไร และตกปากรับคำ 

 

 

ถาวจวินหลันจัดการตนเองเล็กน้อย จากนั้นก็ไปพบพระชายาองค์รัชทายาท การกระทำในตอนนี้ของพระชายาองค์รัชทายาทนางก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง คงไม่อาจทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

 

 

หรือนี่อาจจะไม่ใช่ความตั้งใจของพระชายาองค์รัชทายาท แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ในตอนนี้นางก็ต้องแสดงความไม่เกรงใจ ให้พวกเขารู้ว่านางไม่ใช่คนที่บีบบังคับได้ง่าย 

 

 

อย่าลืมว่าอำนาจยังอยู่ในมือของนาง! 

 

 

เพราะว่าไปเช้าจนเกินไป พระชายาองค์รัชทายาทกำลังเสวยอาหารเช้าอยู่ ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็แย้มยิ้ม “พระชายาองค์รัชทายาทกำลังรอหม่อมฉันร่วมเสวยอาหารเช้าหรือเพคะ? ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่เกรงใจแล้ว พอดีว่าออกจากจวนมาแต่เช้ายังไม่ทันได้ทานอาหารเช้าเลยเพคะ” 

 

 

พระชายาองค์รัชทายาททำได้แค่ให้คนไปเอาถ้วยและตะเกียบมา จากนั้นก็ก้มหน้าหลบสายตา ไม่พูดไม่จา 

 

 

ถาวจวินหลันเองก็เงียบสงบ ทานอาหารช้าๆ ตามมารยาท พูดตามจริงแล้ว อาหารเช้าภายในวังหลวงเหล่านี้ก็ไม่ได้ประณีตและอร่อยไปกว่าที่จวนอ๋องนัก แต่มีอาหารหลากหลาย อย่างไรภายในจวนอ๋องก็มีคนน้อย ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยทำอาหารเช้ามากมายมิใช่หรือ? 

 

 

เพราะว่าทานพร้อมกับพระชายาองค์รัชทายาท ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่กังวลเรื่องวางยาพิษ ทานอย่างอาจหาญจนพออกพอใจ พูดตามจริงแล้วในตอนนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งหิว พอมีอาหารร้อนๆ ตกถึงท้อง ทั้งร่างก็รู้สึกสบายไม่น้อย 

 

 

พอทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้อมยิ้มมองพระชายาองค์รัชทายาททีหนึ่ง “สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ดูท่าทางพระชายาองค์รัชทายาทคงไม่ยินยอมให้เด็กคนนั้นเข้าวังหลวงมาจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ถือว่าทำเรื่องดีแล้ว ส่งเด็กคนนั้นไปส่งให้ไทเฮาหรือว่าฮ่องเต้จะดีกว่ากระมัง พลางเล่าเรื่องชาติกำเนิดของเด็กคนนั้นให้ละเอียด ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ?”