บทที่ 553 สำคัญ

บัลลังก์พญาหงส์

พระชายาองค์รัชทายาทได้ยินคำเดิมจากปากของถาวจวินหลันอีกครั้ง ก็อดหรี่ตาคลางแคลงใจไม่ได้ แท้จริงแล้วเด็กคนนั้นมีชาติกำเนิดยังไงถึงบอกใครไม่ได้? ถาวจวินหลันถึงกล้าใช้มาข่มขู่ได้ทุกครั้งเช่นนี้? 

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทพลันนึกไปถึงอี๋เฟย เรื่องของครอบครัวตัวเอง ทำไมอี๋เฟยถึงได้เข้ามายุ่ง? ตอนนั้นนางยังไม่คิดเยอะ เพียงคิดว่าอี๋เฟยเป็นคนของฮองเฮา จึงเชื่อฟังฮองเฮาทุกอย่าง แต่ตอนนี้…พระชายาองค์รัชทายาทไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว 

 

 

“คนมีคุณธรรมไม่พูดอ้อมค้อม แท้จริงแล้วชายารองถาวอยากพูดอะไรกันแน่?” ในที่สุดพระชายาองค์รัชทายาทก็อดขมวดคิ้วถามกลับไม่ได้ นี่ย่อมขัดกับนิสัยปกติของนาง ถือว่าถาวจวินหลันมีสิทธอยู่เหนือนาง 

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้วแย้มยิ้ม “ดูแล้วท่านคงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ก็ใช่ ฮองเฮาเหนียงเหนียงจะยอมบอกเรื่องนี้กับท่านได้อย่างไร? เกรงว่าคงอยากปิดเงียบไปตลอดกาล น่าเสียดายที่ท่านเชื่อใจฮองเฮาเสียขนาดนั้น ถือว่าไร้ประโยชน์เสียแล้ว หม่อมฉันก็ยังคิด ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ในฐานะแม่สามีและลูกสะใภ้ หรือว่าเป็นป้าหลาน ฮองเฮาก็ควรบอกเรื่องนี้กับท่าน” 

 

 

พอพูดจบถาวจวินหลันก็จงใจจิ๊ปากสองครั้งแสดงความทอดถอนใจ 

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทโมโหกัดฟันแน่ แต่กลับไม่ได้บันดาลโทสะ เพียงแค่ปล่อยให้ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในใจ แม้แต่ใบหน้าก็เริ่มเป็นสีแดงสลับขาว ย่อมไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะโมโหมาก 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นพระชายาองค์รัชทายาทเป็นเช่นนี้ ก็พูดช้าๆ ว่า “องค์ชายเก้ากับเด็กคนนั้นเกิดวันเดียวกัน ท่านว่าบังเอิญหรือไม่เพคะ?” 

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ ย่อมไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว แค่เห็นท่าทางตื่นตะลึงเหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวของพระชายาองค์รัชทายาท ถาวจวินหลันก็รู้ว่านางเดาได้แล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันจึงลุกขอตัวลา “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันต้องขอทูลลา เด็กนั้นจะแลกหรือไม่ก็แล้วแต่พวกท่าน ถ้าหากจะแลกวันพรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันต้องเห็นเด็ก” 

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย ยังคงตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตนเอง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ สีหน้าที่แสดงออกมาซับซ้อนเหลือเกิน 

 

 

ถาวจวินหลันพอใจกับปฏิกิริยาของพระชายามาก จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ก็ด้วยอยากยั่วโมโหอยู่แล้ว 

 

 

เพิ่งออกมาจากห้องของพระชายาองค์รัชทายาท ถาวจวินหลันก็บังเอิญพบหวังเหลี้ยงตี้ พูดให้ถูกต้องก็คือหวังเหลียงตีุ้ขวางทางเดินของถาวจวินหลันเอาไว้ 

 

 

ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมองพิจารณาหวังเหลียงตี้ เลิกคิ้วเชิงสอบถาม 

 

 

หวังเหลียงตี้ยิ้มเปิดปากน้อยๆ ปรากฏเป็นท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก ชุดสีแดงอ่อนชวนให้นึกถึงดอกไม้แรกแย้มที่ค่อยๆ เบ่งบานท่ามกลางหิมะ 

 

 

พูดจากใจแล้ว หวังเหลียงตี้ถือเป็นสตรีงาม อายุน้อยอ่อนเยาว์ เหมือนกับน้ำค้างยามรุ่งสาง จนอดเอนเอียงไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนของตระกูลหวัง บางทีองค์รัชทายาทคงจะชอบนางจริงกระมัง? ถ้าไม่ใช่คนของตระกูลหวัง คิดว่าอาศัยหน้าตางดงามนี้ก็คงได้แต่งงานดีๆ เช่นกัน น่าเสียดายเหลือเกิน 

 

 

ขณะที่ถาวจวินหลันรำพึงรำพันคำนี้อยู่ในใจ หวังเหลียงตี้ก็เปิดปากเอ่ยเสียงเบา “พูดไปแล้ว หลายวันมานี้ท่านป้ากับท่านพี่พูดถึงชายารองถาวบ่อยนัก ข้าไม่เห็นรู้ว่าท่านพี่กับชายารองถาวสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไร” 

 

 

ตอนที่หวังเหลียงตี้พูดนั้น ก็มีท่าทีพินิจพิจารณาถาวจวินหลันแฝงอยู่ด้วย สุดท้ายแล้วก็วางตัวสูงส่ง “ไม่ทราบว่าชายารองถาวจะช่วยคลายความสงสัยให้ข้าได้หรือไม่?” 

 

 

ถาวจวินหลันแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ที่บอกว่าไร้เดียงสา ก็คงจะหมายถึงคนอย่างหวังเหลียงตี้กระมัง? ดูท่าทางการที่ไม่เคยพบเจอเรื่องใดๆ และไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ชัดเจน อีกทั้งยังวางท่าเป็นคุณหนูอันแสนสูงส่งของจวนเหิงกั๋วโหวอีก 

 

 

ท่าทีเช่นนี้ไม่เหมือนขอร้องให้ไขข้อข้องใจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการออกคำสั่งให้อธิบายเสียมากกว่า 

 

 

ถาวจวินหลันไม่คิดว่าต้องลากหวังเหลียงตี้เข้ามายุ่ง แต่สาวน้อยดันเข้ามาเกี่ยวเอง ดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ “ท่านป้าไม่ยอมบอกท่าน ก็ย่อมต้องมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ แต่ข้าอยากจะถามท่านสักหน่อย ท่านทราบเรื่องที่ท่านไม่อาจตั้งครรภ์ได้แล้วหรือไม่?” 

 

 

หวังเหลียงตี้ฟังแค่เรื่องข้างหน้าก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่พอฟังครบหมดแล้วนั้นก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก และคิดว่าถาวจวินหลันพูดจาเลอะเทอะ 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมเห็นชัดเจน จะไม่รู้ความคิดของหวังเหลียงตี้ได้อย่างไร? จึงยิ้มมีเลศนัย “ท่านอย่าโมโหไปเลย กลับไปท่านลองแอบไปหาหมอตรวจดูก็ได้ เท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วมิใช่หรืออย่างไร? จริงสิ ท่านคงอยากถามข้าเป็นแน่ว่าใคร ในเมื่อข้าบอกแล้วก็จะบอกให้หมด ขอเตือนท่านอีกสักเล็กน้อย ภายในจวนองค์รัชทายาทนี้ คนที่จะลงมือกับท่าน ยังมีใครกล้าอีก? แล้วใครจะสามารถพอ?” 

 

 

ทันใดนั้นหวังเหลียงตี้ก็ทำหน้าตกใจปนสงสัย 

 

 

ถาวจวินหลันยกริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย เผยให้เห็นความเยียบเย็น ฮองเฮาทำให้จวนตวนชินอ๋องของนางไม่สงบ นางย่อมไม่ปล่อยให้จวนองค์รัชทายาทสงบเป็นแน่ นางจะต้องยุแยงตะแคงรั่วให้พวกนั้นทะเลาะกันเอง 

 

 

หวังเหลียงตี้เพิ่งอายุเท่าไรกัน? นางเพิ่งจะเป็นดอกไม้แรกแย้ม อนาคตสวยงามไร้ขอบเขต พอรู้เรื่องนี้แล้วนางจะไม่โกรธได้อย่างไร? จะไม่แค้นได้อย่างไร? พี่น้องเป็นศัตรูกัน นี่เป็นเรื่องน่าสนุกนัก 

 

 

ที่จริงแล้วหากเป็นเวลาปกติก็แล้วไป นางก็คงจะต้องใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทจริง แต่ตอนนี้…ท่าทีของพระชายาองค์รัชทายาททำให้นางเข้าใจว่า เหตุการณ์ในจวนตวนชินอ๋องเมื่อวานนี้พระชายาองค์รัชทายาทมีส่วนรู้เห็น เพราะพระชายาองค์รัชทายาทไม่ได้แปลกใจเลยที่นางดุ่มๆ เข้ามาหาด้วยความโมโห  

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทรู้เรื่องนี้ ต่อให้ไม่ใช่ตัวการ แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยพระชายาองค์รัชทายาทรักษาภาพลักษณ์ อีกทั้งที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้โกหก พระชายาองค์รัชทายาทรู้เรื่องที่หวังเหลียงตี้โดนวางยา แต่พระชายาองค์รัชทายาทไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย นี่ถือว่าเปิดโอกาสให้หยวนฉงหวาวางยาด้วยตนเอง 

 

 

ความเย็นชาและไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ เมื่อเทียบกับคนที่ลงมือกลับยิ่งน่ากลัวกว่า จะต้องรู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทเป็นพี่สาวแท้ๆ ของหวังเหลียงตี้ 

 

 

พี่สาวแท้ๆ ยังไม่อาจเชื่อใจได้ แล้วคนนอกเล่า? 

 

 

คิดดูว่า พอหวังเหลียงตี้เข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฮองเอาคงจะต้องปวดหัวเป็นแน่กระมัง? 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นก็เดินออกไปเอง ทางด้านหวังเหลียงตี้กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่รู้ว่าคิดอะไร จนถาวจวินหลันเดินออกไปไกลแล้ว นางก็หันกลับไปมองอีกรอบ แต่จากเดิมที่รู้สึกว่าเหมือนสีของดอกกุหลาบ กลับชวนให้นึกถึงคาวเลือดแทน 

 

 

ถาวจวินหลันอดถอนสายตาออกมาไม่ได้ 

 

 

พอไปทำความเคารพไทเฮาแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้กลับจวนไปนอนต่ออีกเล็กน้อย 

 

 

พอตื่นขึ้นมา ถาวจวินหลันก็ได้ยินข่าวดีที่สุดในช่วงหลายวันมานี้ หลี่เย่ให้คนนำจดหมายกลับมา อีกทั้งจดหมายนี้ยังส่งถึงนาง ไม่ได้ส่งเข้าวังหลวง 

 

 

หลังจากถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้แล้ว ก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาในทันที รีบยิ้มไปรับจดหมาย “รีบเอามาให้ข้าดูเร็ว” 

 

 

พอได้รับจดหมายแล้ว ถาวจวินหลันก็รีบเปิดซองออกมาอ่านอย่างอดรนทนไม่ไหว 

 

 

จากนั้นอ่านเพียงแค่บรรทัดแรก หน้าของนางก็เห่อแดงเล็กน้อย เพราะหัวจดหมายเป็นกลอนรัก เป็นกลอนที่ชื่อว่า ‘คืนฝนพรำ ณ ปาซาน’ ของหลี่ซังอิ่น 

 

 

ถาวจวินหลันเพียงแค่อ่านก็สัมผัสได้ถึงความคิดถึงอันเปี่ยมล้นของหลี่เย่ กลอนบทนี้เอามาใช้บรรยายตัวเขา ก็ถือว่าเหมาะสมยิ่งนัก หลี่เย่จะกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้ แต่พวกเขาทั้งสองต่างคาดหวังให้ถึงวันได้พบกันอีกครั้ง 

 

 

ไม่รู้ว่าทำไมจดหมายฉบับนี้ของหลี่เย่ถึงได้ยาวผิดปกติ และดูผูกพันเป็นพิเศษ 

 

 

นอกจากความคิดถึงอันลึกซึ้งแล้ว หลี่เย่ก็ยังพูดเรื่องที่เขาบังเอิญพบ หรือเล่าเรื่องที่ต้องรับผิดชอบให้ฟังแทบจะหมดแล้ว ทั้งยังเล่าได้ละเอียดมาก สิ่งที่เขาคิดว่าควรต้องบอก ก็เขียนบอกเล่ามาหมดแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่คงกลัวนางเป็นห่วง แต่หลี่เย่น่าจะไม่ได้บังเอิญพบเรื่องที่อันตรายอะไรจริง จะมีก็แต่เรื่องสิ่งอำนายความสะดวกค่อนข้างขาดแคลน อย่างเช่นท่ามกลางพายุหิมะ ก็มีม้าตัวหนึ่งล้มป่วยลง ตอนที่หาโรงเตี๊ยมไม่ได้ ต้องนอนภายในรถม้า พวกเขาก็แทบจะหนาวจนตัวแข็ง พวกเขายอมเดินทางภูเขา เพื่อประหยัดเวลา ตลอดทางรกร้างอ้างว้าง ไร้ผู้คน พบเจอความลำบากมากมาย แต่ก็ล่าสัตว์มาได้ไม่น้อย 

 

 

ของที่หลี่เย่ส่งกลับมายังมีหนังจิ้งจอกคู่หนึ่ง ในจดหมายก็เขียนบอกถาวจวินหลันว่าให้นางเอามาทำที่ป้องกันหัวเข่า นางจะได้ไม่ปวดข้อเข่าในวันที่อากาศหนาวอีก 

 

 

อีกอย่างหลี่เย่ก็ยังส่งน้ำมันฮวนกลับมาให้ นี่เอาไว้ใช้ทาบริเวณที่นางถูกอากาศหนาวกัดเป็นแผล นี่เป็นผลพวงมาจากสมัยยังอยู่หน่วยงานซักล้าง โดนอากาศหนาวกัดกินได้ง่ายมากนัก อีกทั้งบริเวณข้อกระดูกตรงมือก็เจ็บเวลาหนาวเช่นเดียวกัน 

 

 

นางเคยถามเรื่องนี้กับหมอหลวงมาก่อน แต่หมอหลวงก็ไม่มีวิธีที่ดีนัก พูดแค่ว่าให้รักษาไปบำรุงไปเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะบำรุงอย่างไรก็ต้องเผลอลืมไปบ้าง ปีที่แล้วเผลอตัวอุ้มซวนเอ๋อร์ออกไปอยู่ด้านนอกห้องครู่หนึ่ง ในวันนั้นบริเวณมือก็จะเกิดอาการบวมเป็นข้อแข็งขึ้นมา ทั้งบวมและแดง อีกทั้งยังปวดและคัน ทำให้หงุดหงิดได้ง่าย 

 

 

คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะจำได้แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แล้วยังเตือนนางเป็นพิเศษด้วยว่าห้ามสะเพร่าอีก 

 

 

ถาวจวินหลันอ่านดู ก็รู้สึกว่าใจพองโต สุดท้ายแล้วก็ล้นออกมา จนดวงตาพร่าเบลอมาก 

 

 

พูดตามจริงแล้วตอนนี้นางยังคิดถึงหลี่เย่มากเป็นพิเศษ จนกระทั่งอยากกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้วร้องไห้ดังๆ หลายวันมานี้ ไม่ว่าจะตกใจหรือหวาดกลัว ไม่ว่าจะชิงไหวชิงพริบก็ดี นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นที่ยิ่ง 

 

 

หากไม่ได้เห็นจดหมายของเขาก็แล้วไป สุดท้ายนางคงยังทนต่อไปได้ แต่พอตอนนี้ได้อ่านจดหมายแล้ว ก็เริ่มคิดถึงเขา จนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในใจฉีกขาด และทนไม่ไหวอีกต่อไป 

 

 

สงบนิ่งถือตัว หรือมุ่งมั่นเข้มแข็งอะไร ที่จริงแล้วก็เพียงภาพโกหกอันเลือนรางเท่านั้น นางก็แค่แสร้งทำตอนที่หลี่เย่ไม่อยู่ข้างกายนาง หากหลี่เย่ยังอยู่ นางยังจำเป็นต้องทำแบบนี้หรืออย่างไร? 

 

 

ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้หลี่เย่ไม่ค่อยได้อยู่จวนเท่าไร ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกนางจึงไม่ค่อยมีเรื่องน่าปวดหัว แต่นางก็ต้องยอมรับว่า นี่ยิ่งทำให้พวกนางรู้ใจกัน และเข้าใจกันมากกว่าเดิม ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกัน ความรู้สึกปลอดภัยที่เขามอบให้นางอะไรก็ไม่สามารถมาทดแทนได้ ต่อให้ไม่อยู่ต่อหน้าเขา ขอแค่ได้รับรู้ข่าวของเขา นางก็รู้สึกสงบใจมากแล้ว 

 

 

หลี่เย่เห็นนางเป็นเช่นนี้คงต้องหัวเราะนางแน่กระมัง? ถาวจวินหลันถอนหายใจยาว แล้วอ่านจดหมายอีกครั้งหนึ่ง ก่อนวางลงด้วยทำใจไม่ค่อยได้นัก จากนั้นก็คิดว่าจะตอบจดหมายอย่างไรดี