บทที่ 390.1 ท่วงทำนองแห่งจอมปราชญ์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เดินทางไปจุดธูปที่ศาลพ่อปู่ลำคลองต้องเดินไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ไม่ถือว่าใกล้ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ชายฉกรรจ์ที่มาส่งธูปผู้นั้นกลับละอายใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้ในประวัติความเป็นมาของคนกลุ่มนี้มากขึ้น

ชาวนาลงนาเห็นข้าวกล้า นายพรานขึ้นเขาเห็นฟืนดี ในเมื่ออยู่กับภูเขาก็กินกับภูเขา อยู่กับน้ำก็กินกับน้ำ หากทำงานกันคนละอาชีพ สิ่งที่ดวงตาเห็นย่อมต่างกันออกไป ในฐานะที่ชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นทั้งผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังเป็นคนส่งธูป สายตาจึงมองเห็นผู้ฝึกตนมามากกว่า อีกทั้งแคว้นชิงหลวนก็ไม่เหมือนกับพื้นที่ส่วนใหญ่ในแจกันสมบัติทวีป พวกเขามีความสัมพันธ์กับบนภูเขาอย่างแนบแน่น อีกทั้งทางราชสำนักยังไม่เคยจงใจยกฐานะของสำนักตระกูลเซียนให้สูงขึ้น ความขัดแย้งมากมายทั้งบนและล่างภูเขา ฮ่องเต้สกุลถังล้วนแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความแกร่งกร้าวที่ไม่ธรรมดา นี่เป็นเหตุให้แคว้นชิงหลวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเทพปีศาจและภูตผีตัวประหลาดในป่าเขาลำเนาไพรเป็นอย่างดี

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่คนของแคว้นชิงหลวนมองตนเองสูงส่ง

อีกทั้งตอนนี้ยังมีตระกูลขุนนางและผู้มีชื่อเสียงอีกนับไม่ถ้วนแห่กันมาที่แคว้นชิงหลวน บวกกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ได้รับความสนใจจากคนทั้งแคว้นครั้งนี้ จึงทำให้ช่วงเวลานี้แคว้นชิงหลวนมีหน้ามีตาโดดเด่นในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปอย่างถึงที่สุด

ตบะของชายฉกรรจ์ตื้นเขินเกินไป แค่ขอบเขตสามเท่านั้น บางครั้งตอนที่ถุงเงินตุงแน่นเคยเชื้อเชิญสหายสนิทสองสามคนมาคุยเล่นกันก็จะค้นพบความรู้สึกได้เปรียบของการเป็นประชาชนในแคว้นชิงหลวน ซึ่งความรู้สึกนั้นไม่เป็นรองการที่เป็นผู้ฝึกลมปราณเลยแม้แต่น้อย

นี่คงจะเป็นความรักความผูกพันที่มีต่อบ้านเมืองกระมัง

เพียงแต่ว่าชายฉกรรจ์เองก็ไม่กล้ายืนยันว่า รอจนเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางแล้ว ตนเองจะกลายเป็นเหมือนพวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านั้นหรือไม่

แต่ภาพความฝันอันงดงามอยู่ห่างไกลเกินไป ถึงอย่างไรก็ต้องเดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าทีละก้าว ข้าวในถ้วยก็ต้องกินไปทีละคำ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ตนต้องพยายามผูกมัดจิตใจของคนต่างถิ่นกลุ่มนี้ไว้ให้ได้

คนกลุ่มนี้มีคนหนุ่มที่สะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่เป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย ฝีเท้าของเขาแผ่วเบา บุคลิกเคร่งขรึม น่าจะเป็นพวกเซียนซือในลำดับเทียบวงศ์ตระกูล แต่รากฐานที่แท้จริงน่าจะมาจากตระกูลของชนชั้นสูง

อีกทั้งคงจะเพิ่งฝึกตนบนภูเขาได้ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นหากเทียบกับเซียนซือหนุ่มหลายคนที่ชายฉกรรจ์พบเห็นมาซึ่งชาติกำเนิดไม่ค่อยดี แต่เลือกมาเกิดในครรภ์ดี ทำให้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ตอนเด็กต้องได้รับโชควาสนาในการฝึกตนไปนานแล้ว บ้างก็ถูกยอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยว หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของสำนักใหญ่ที่รับผิดชอบหน้าที่ตามหาต้นกล้าที่ดีหมายตา เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว แต่นิสัยของผู้ฝึกตนหนุ่มประเภทนี้จะสมกับเป็นเซียนซือน้อยที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย ไม่น่าชิดเชื้ออย่างแท้จริง ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาออกเดินทางไกลเพื่อฝึกขัดเกลาจิตแห่งการฝึกตนท่ามกลางโลกีย์วิสัย บางทีอาจไม่ถึงขั้นบีบคั้นคุกคามผู้คน แต่กลับเข้ากับคนอื่นได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับขุนนางชนชั้นสูง หรือจอมยุทธ์วีรบุรุษในยุทธภพก็ล้วนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม นั่นคือมีเพียงคำว่าเฉยชาเท่านั้น

เด็กหญิงผิวดำเกรียมห้อยกระบี่และดาบไม้ไผ่ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเด็กรุ่นหลังในตระกูลของคุณชายหนุ่ม มองดูแล้วเฉลียวฉลาด ส่วนผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยสองคนน่าจะเป็นองค์รักษ์ข้ารับใช้ที่ช่วยบังลมบังฝนระหว่างที่คุณชายหนุ่มท่องอยู่ในยุทธภพ

ในขณะที่ชายฉกรรจ์กำลังลอบคาดเดาตัวตนของพวกเขา เฉินผิงอันก็กำลังใช้ภาษากลางของใบถงทวีปอธิบายให้เผยเฉียนฟังถึงเรื่องวงในบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำระดับพ่อปู่ลำคลอง

พวกพ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลอง แม้ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยอมรับจากราชสำนัก สามารถเสวยสุขกับควันธูปที่ชาวบ้านในพื้นที่จุดถวาย เพียงแต่ว่าระดับขั้นต่ำเกินไป เท่าเทียมในกับเสมียนชั้นผู้น้อยที่ยังไม่มีระดับขั้นในวงการขุนนาง ไม่ได้อยู่บนทำเนียบวงศ์ตระกูลหยกทองขององค์เทพแห่งขุนเขาและสายน้ำ แต่เมื่อเทียบกับพวกศาลเถื่อน การบวงสรวงเซ่นไหว้เถื่อนที่ผิดต่อกฎพิธีการแล้ว ต่อให้ฝ่ายหลังจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน และฝ่ายแรกจะมีขนาดเล็กแค่ไหน แต่ฝ่ายหลังก็ยังอิจฉาฝ่ายแรกอยู่ดี ฝ่ายหลังถือเป็นหอเรือนกลางอากาศ ไม่มีควันธูปก็เท่ากับเจอทางตัน ร่างทองทรุดโทรมแห้งเหี่ยว รอแค่วันตายเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีสะพานให้เดินขึ้นสู่เบื้องบน จึงง่ายที่จะกลายไปเป็นเป้าหมายที่พวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลอยากสังหาร ถูกผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขามองเป็นเนื้อชิ้นโต ฝ่ายแรกที่เป็นพวกพ่อปู่แม่ย่าลำคลอง ต่อให้ลมและน้ำจะไหลหายไปแค่ไหน ควันธูปจะเบาบางเท่าไหร่ ขอแค่ระบบสืบทอดในราชสำนักยังคงอยู่ และทางราชสำนักยินดีให้ความช่วยเหลือก็จะสามารถเปลี่ยนตำแหน่งองค์เทพ ได้รับควันธูปอีกครั้ง ร่างทองก็จะได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิมได้

เมื่อไปถึงศาลพ่อปู่ลำคลองที่กินอาณาบริเวณสิบกว่าไร่ เพียงไม่นานคนเฝ้าศาลก็ออกจากประตูมาต้อนรับ เอ่ยแนะนำเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อปู่ลำคลอง รวมไปถึงบทกวีที่เหล่าปัญญาชนและนักประพันธ์เขียนไว้บนฝาผนังให้พวกเฉินผิงอันฟังด้วยตัวเอง

ระหว่างที่ไปจุดธูปในตำหนักหลัก คนเฝ้าศาลยังบอกเป็นนัยๆ แก่เฉินผิงอันว่าขอแค่จ่ายเงินเกล็ดหิมะอีกสามถึงห้าเหรียญก็จะสามารถทิ้งตัวอักษรไว้บนผนังสีขาวสะอาดหลายแห่งได้ ราคาจะคำนวณตามตำแหน่งของผนังว่าดีหรือไม่ดี สามารถเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม ทางศาลจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้ถูกลมและฝนกัดเซาะ อีกอย่างการตั้งบูชาและการจุดตะเกียงฉางหมิงล้วนเป็นเรื่องดีที่ถือเป็นการสร้างบุญ แต่สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเฉินผิงอัน ทางศาลจะไม่บังคับ

ชายฉกรรจ์คนส่งธูปผู้นั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย คนเฝ้าศาลใช้สายตาเตือนให้ชายฉกรรจ์ช่วยพูดประโยคน่าฟังเสริมคำพูดเขาอยู่หลายครั้ง แต่ชายฉกรรจ์ก็ยังไม่เอ่ยอะไร แม้จะบอกว่าทำอาชีพที่ไม่สอดคล้องกับสถานะผู้ฝึกลมปราณ แต่คงเป็นเพราะชายฉกรรจ์ที่มีนิสัยซื่อสัตย์ไม่อาจพูดถ้อยคำน่าฟังเกินจริงได้ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของคนเฝ้าศาล

เฉินผิงอันมอบธูปสามดอกให้กับเผยเฉียนและจูเหลี่ยน มีเพียงสือโหรวเท่านั้นที่เขาไม่ได้มอบให้ ถึงอย่างไรผีสาวก็สิงอยู่ในคราบร่างเซียน เขากลัวว่าจะเกิดการขัดแย้งกันเอง

หลังจากจุดธูปกราบไหว้เสร็จ คนเฝ้าศาลก็รู้สึกว่าคงจะพูดให้อีกฝ่ายเพิ่มเงินค่าน้ำมันตะเกียงไม่เป็นผลแล้ว แต่สีหน้าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะเสียดายอยู่มาก กระนั้นก็ยังมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ อีกทั้งยังรั้งพวกเฉินผิงอันให้ไปดื่มชายังที่พักของเขา ก่อนหน้านี้ชายฉกรรจ์คนส่งธูปเงียบงันมาโดยตลอด เวลานี้กลับเปิดปากเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันไปดื่มชาพร้อมกับคนเฝ้าศาล บอกว่านับแต่โบราณมาน้ำในลำคลองก็ไม่ใช่น้ำที่ดีในการต้มชา แต่การดึงเอาน้ำในลำคลองที่อยู่ริมศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้มากลับมีส่วนที่ต้องพิถีพิถันอย่างมาก ด้านในมีแก่นน้ำอยู่มากมายที่สามารถบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณได้

คนเฝ้าศาลหัวเราะอย่างฉุนๆ ขณะที่เดินอยู่กลางระเบียง ฉวยโอกาสที่พวกเฉินผิงอันกำลังชมภาพลอกลายศิลาบนระเบียง คนเฝ้าศาลจึงชะลอเท้าเดินรั้งท้ายไปเล็กน้อย แอบเหยียบเท้าชายฉกรรจ์หนึ่งที เจ้าหมอนี่เข้าข้างคนอื่นมากเกินไปแล้ว

ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์จะเคยชินกับนิสัยนี้ของอีกฝ่ายจึงแค่หัวเราะหึหึ

เฉินผิงอันปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้ไปดื่มชาของคนเฝ้าศาลอย่างละมุนละม่อม เพียงแค่ถามเผยเฉียนว่า “อยากเขียนตัวอักษรไว้บนกำแพงบ้างหรือไม่?”

เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างแรง

สามถึงห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ! ทำไมผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลคนนี้ไม่แย่งเงินไปตรงๆ เลยเล่า หากเอามาคำนวณเป็นเงินขาวก็สามารถทุ่มทับนางเผยเฉียนให้ตายได้เลย นางไม่เต็มใจจะให้อาจารย์จ่ายเงินก้อนนี้หรอก ว่าวนกอินทรีมู่เย่าที่ซื้อจากร้านว่าวในเมืองยังแค่แปดตำลึงเงินเท่านั้นเอง!

แต่เฉินผิงอันกลับหันไปมองผู้เฒ่าคนเฝ้าศาล ยิ้มกล่าวว่า “รบกวนหาผนังที่ไม่ค่อยสะดุดตาให้พวกเราสักแห่งหนึ่ง เอาแบบสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะน่ะ พวกเราจะเขียนสักสองสามประโยค ใช่แล้ว ตัวอักษรพวกนี้ต้องมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่?”

เผยเฉียนเกือบจะโยนไม้เท้าเดินป่าในมือทิ้งไปแล้ว นางรีบคว้าชายเสื้อเฉินผิงอัน ศีรษะเล็กๆ ส่ายเป็นกลองป๋องแป๋ง

คนเฝ้าศาลรีบกล่าวว่า “หากไม่ใช่ผนังที่ฮวงจุ้ยดีที่สุดในศาลพวกเรา สามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ต่อให้คุณชายเขียนเต็มผนังก็ยังไม่มีปัญหา”

คนเฝ้าศาลก้าวเร็วๆ นำทางไป บอกให้ชายฉกรรจ์ช่วยนำความไปบอกคนในศาลให้รีบเตรียมพู่กันและหมึกดีๆ เอาไว้

คนทั้งกลุ่มหยุดอยู่กลางระเบียงของเรือนชั้นที่สี่ ระหว่างที่กำลังรอพู่กันและหมึก คนเฝ้าศาลชี้ไปยังกลอนของปัญญาชนบทหนึ่งที่อยู่บนผนังห่างไปไม่ไกลพลางพูดโอ้อวดด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะลำพองใจในตัวเองเล็กน้อย “แม้ว่าตรงนี้จะอยู่ค่อนมาทางด้านหลัง ไม่สะดุดตา แต่อันที่จริงกลับเป็นฮวงจุ้ยดีเยี่ยมในศาลของพวกเรา บอกตามตรง ข้ารู้สึกถูกชะตากับคุณชายอย่างมากถึงได้นำพาคุณชายมาที่นี่ ตรงนั้นคือผลงานประพันธ์ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแคว้นชิงหลวนพวกเรา รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วท่านนี้คือบุคคลผู้มีชื่อเสียงของแคว้นชิงหลวนเราอย่างแท้จริง คือปรมาจารย์ผู้รอบรู้อย่างสมศักดิ์ศรี ตัวอักษรของเขา คิดว่าคุณชายคงมองออกถึงทักษะอันโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอะไรมาก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ลายมือทรงพลัง เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง”

นี่หาใช่ว่าเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมีรสนิยม แต่เป็นเพราะเขาเคยเห็นตัวอักษรดีๆ มาไม่น้อยจริงๆ

ยกตัวอย่างเช่นตัวอักษรของหลี่ซีเซิ่ง ชุยตงซาน จงขุย

คนเฝ้าศาลยกนิ้วโป้ง “คุณชายคือคนในวงการ สายตาดีเยี่ยมจริงๆ”

เฉินผิงอันกลับรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย

นี่ก็พอๆ กับการเรียนหมากล้อม ในเรื่องของการเขียนตัวอักษร เฉินผิงอันมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง หรือย้อนไปไกลกว่านั้น การขึ้นรูปเครื่องปั้นของเขาก็ไม่นับว่ามีฝีมือเช่นกัน

เผยเฉียนยิ่งกระวนกระวายใจ เงินนี้ต้องจ่ายออกไปแน่แล้ว ไม่เขียนตัวอักษรก็เสียเงินเปล่า หากไม่มีใครว่า นางอยากจะเขียนให้เต็มไปยันพื้นของศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ หรือกระทั่งเทวรูปพ่อปู่ลำคลองก็ต้องเขียนด้วยถึงจะได้ไม่ขาดทุน แต่ตัวอักษรของนางที่ถูกพ่อครัวผู้เฒ่าจูเหลี่ยนเยาะเย้ยว่าเหมือนไส้เดือน เหมือนไก่เขี่ย หากต้องเขียนลงบนผนังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางกลัวว่าจะขายหน้าอาจารย์

ชายฉกรรจ์กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทางศาลพ่อปู่ลำคลองรับเลี้ยงไว้ช่วยกันยกหมึก พู่กันและแท่นฝนหมึกมา

เผยเฉียนยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ นางรีบเอาไม้เท้าเดินป่าวางพิงผนัง ปลดห่อสัมภาระ ควักตำราเล่มหนึ่งออกมา คิดว่าจะหาประโยคที่ไพเราะสักประโยคจากในตำรา นางความจำดี อันที่จริงก็ท่องจำจนขึ้นใจได้นานแล้ว เพียงแต่ว่าเวลานี้ในหัวเล็กๆ ของนางว่างเปล่าขาวโพลน ไหนเลยจะจำได้แม้สักครึ่งประโยค จูเหลี่ยนที่อยู่ด้านข้างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง บอกว่าคัดตัวอักษรตั้งมากมายมานานขนาดนี้ ถือว่าเสียเปล่าแล้ว ที่แท้กลับจำไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวเดียว ตำราอริยะปราชญ์ก็ยังเป็นตำราอริยะปราชญ์ เจ้าโง่น้อยก็ยังเป็นเจ้าโง่น้อยอยู่จริงๆ เผยเฉียนไม่มีเวลามาสนใจพ่อครัวผู้เฒ่านิสัยเสียคนนี้ นางพลิกเปิดตำราดังพั่บๆๆ แต่หาไปหามาก็ยังรู้สึกว่าไม่ดีพอ หากให้นางเขียนลงบนกำแพงจริงๆ ต้องขายหน้าครั้งใหญ่เป็นแน่

เผยเฉียนปิดหนังสือลง หน้าม่อยคอตก พูดกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ท่านมีแผ่นไม้ไผ่ที่เขียนตัวอักษรไว้จนเต็มอยู่เยอะไม่ใช่หรือ ขอให้ข้ายืมสักสองสามแผ่นได้ไหม ข้าไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี”

เดิมทีเฉินผิงอันรับพู่กันมาแล้ว คิดจะเขียนบทกวีสองสามบทที่ตนชื่นชอบ แต่พอเห็นท่าทางน่าสงสารของเผยเฉียนก็กลั้นยิ้ม ยื่นพู่กันส่งให้นาง “ถ้าอย่างนั้นก็เขียนประโยคในตำราที่เจ้าคิดว่ามีเหตุผลที่สุด หากคิดไม่ออกจริงๆ ก็เขียนความในใจออกมาก็ได้ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ ก็เหมอนคัดตัวอักษรในเวลาปกตินั่นแหละ”

เห็นรอยยิ้มของเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็พอจะสบายใจขึ้นได้บ้าง นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รับพู่กันมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น แต่พอเห็นผนังสีขาวหิมะแล้วก็ให้รู้สึกหวาดกลัวไม่คลาย ดังนั้นสายตาของนางจึงเคลื่อนไปมาไม่หยุดนิ่ง สุดท้ายถึงค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยอง นี่นางคิดจะเขียนตัวอักษรตรงมุมกำแพงด้านล่าง? ที่นี่ไม่มีภูตผีปีศาจที่นางกลัวที่สุด ไม่มีชุยตงซานที่เป็นดั่งหนึ่งสิ่งกำราบหนึ่งสิ่งอยู่ด้วยเสียหน่อย แต่เผยเฉียนกลับแสดงความขี้ขลาดออกมาถึงขั้นนี้ นับว่าเป็นเรื่องหายากเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว

—–