บทที่ 390.2 ท่วงทำนองแห่งจอมปราชญ์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องในอดีตตอนยังเป็นเด็กหนุ่มขึ้นมา นั่นคือเรื่องที่เขา หลิวเสี้ยนหยางและกู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดใช้ถ่านเขียนตัวอักษรในวัดเล็กๆ เพื่อประชันกับชื่อของคนอื่นๆ หลิวเสี้ยนหยางกับกู้ช่านช่วยกันคิดหาสารพัดวิธี สุดท้ายไปขโมยบันไดของครอบครัวหนึ่งมา วิ่งแบกออกมาจากเมืองเล็ก ข้ามสะพานหินโค้งจนมาถึงวัดเล็กแห่งนั้นก็พาดบันได ถึงได้เขียนชื่อของพวกเขาสามคนไว้บนจุดที่สูงที่สุดของผนังวัดเล็กได้ หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนไปขโมยบันไดของครอบครัวหนึ่งในตรอกฉีหลง ส่วนกู้ช่านก็ขโมยถ่านไม้ในบ้านตัวเองมา สุดท้ายเฉินผิงอันเป็นคนจับบันได หลิวเสี้ยนหยางเขียนตัวอักษรใหญ่สุด กู้ช่านเขียนไม่เป็น เฉินผิงอันจึงช่วยเขียนให้เขา อักษรตัวช่านนั้น เฉินผิงอันต้องไปถามเพื่อนบ้านจื้อกุยถึงจะรู้ว่าเขียนอย่างไร

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วดึงหูหิ้วตัวนางขึ้นมา ก่อนตัวเองจะทรุดตัวนั่งลงไป บอกให้นางขี่คอตน “เขียนตรงจุดที่สูงที่สุดก็ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน”

เผยเฉียนถือพู่กันในมือ นั่งอยู่บนคอของเฉินผิงอัน อีกมือหนึ่งเกาหัว เป็นนานก็ยังไม่กล้าจรดพู่กัน เฉินผิงอันก็ไม่เอ่ยเร่ง

จูเหลี่ยนหัวเราะชั่วร้าย “จอมยุทธ์หญิงใหญ่เผย เจ้าก็เขียนคำว่าหญ้าบนยอดกำแพงที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุนสิ เหมาะกับสถานการณ์ แถมยังเป็นความจริง นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับจอมยุทธ์ในนิยายที่ข้ามอบให้เจ้าเล่มนั้นที่ต้องตะโกนเสียงดังว่าข้าเป็นใครๆๆ หลังจากตัดหัวคนชั่วร้ายไปแล้ว แบบนี้ชื่อเสียงจะได้ขจรไกลสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งยุทธภพอย่างไรเล่า ไม่แน่ว่าพอพวกเราไปถึงเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ทุกคนที่เห็นเจ้าก็อาจกุมหมัดเรียกเจ้าด้วยความเคารพว่าจอมยุทธ์หญิงเผยก็เป็นได้ แบบนั้นจะไม่กลายเป็นเรื่องราวงดงามที่คนกล่าวขานถึงหรอกหรือ?”

เผยเฉียนหันหน้ามา ยู่ใบหน้าเล็กๆ จนยับยุ่ง “จูเหลี่ยนหากเจ้ายังเป็นอย่างนี้อีก ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก ข้าจะ…จะร้องไห้ให้เจ้าดู!”

เฉินผิงอันยกเท้าเตะจูเหลี่ยนหนึ่งที ด่าฉุนๆ ว่า “แก่แล้วยังไม่ทำตัวให้น่านับถือ ดีแต่จะรังแกเผยเฉียนอยู่ได้”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “นายน้อยเปิดปากทั้งที บ่าวเฒ่าก็จะปล่อยนางไปสักครั้ง นังหนูนี่ทุกวันกินอิ่มจนท้องกลมป่องยังจะตินั่นตินี่ บ่าวเฒ่าโมโหนัก”

สือโหรวรู้สึกทนรับหนึ่งเด็กหนึ่งคนแก่คู่นี้ไม่ไหวสักเท่าไหร่

ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่เดินออกจากทางหลวงสายใหญ่ ขึ้นเขาลงห้วยผ่านหมู่บ้านกลางภูเขาบางแห่ง เจอฝูงสุนัขที่เห่าคนแปลกหน้าอย่างพวกเขา นังหนูที่ชื่อเผยเฉียนผู้นี้จะต้องยกไม้เท้าเดินป่าแล้ววิ่งตะบึงเข้าไปแล้วตวัดกวัดแกว่งกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่งจนฝุ่นฟุ้งตลบ ตัวคนวิ่งเร็วกว่าสุนัขเสียอีก

ตาแก่บ้ากามจูเหลี่ยนก็อยู่ว่างจัดจนยอมช่วยดักทางให้เด็กหญิง หลังจากกดตัวสุนัขพันธ์พื้นบ้านให้นอนหมอบกับพื้นได้แล้ว เผยเฉียนก็จะนั่งยองกดหัวสุนัขเอาไว้ ถลึงตาถามว่า “ไอ้น้องชาย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ยังจะทำตัวดุร้ายอยู่อีกไหม? รีบขอโทษจอมยุทธ์หญิงเผยเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นจะตีหัวสุนัขของเจ้าแล้วนะ…”

จากนั้นชาวบ้านและเด็กๆ ในหมู่บ้านเห็นเข้าก็จะวิ่งเข้ามาพร้อมเสียงด่า แล้วเฉินผิงอันก็เป็นคนนำทุกคนวิ่งเผ่นแผล็วหนีไป

สือโหรวไม่เข้าใจ นี่น่าสนุกตรงไหน?

แต่เฉินผิงอันที่เวลาปกติมักจะวางท่าเคร่งขรึมจริงจังกลับดูเหมือนจะ…วิ่งหนีอย่างมีความสุขมาก?

ไม่พูดถึงเผยเฉียนที่เป็นเด็ก พวกเจ้าคนหนึ่งคืออาจารย์ของพญามารชุย อีกคนหนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล ไม่อายตัวเองบ้างหรือไร?

ยังมีครั้งหนึ่งเจอห่านขาวตัวใหญ่ริมลำคลอง เจ้าเฒ่าบ้ากามยุแยงให้เผยเฉียนไปประมือกับมัน ผลกลับกลายเป็นว่าเผยเฉียนถูกห่านไล่กวดร้องว้ากๆ เสียงดัง ก้นยังถูกห่านจิกอยู่หลายที พอวิ่งมาถึงข้างกายเฉินผิงอันด้วยเหงื่อที่แตกเต็มหัวก็ทอดถอนใจพูดว่าร้ายกาจเกินไปแล้ว เอาชนะไม่ได้เลย ตอนนั้นเฉินผิงอันหัวเราะดังไม่น้อยไปกว่าจูเหลี่ยนเลย

สือโหรวรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนเข้ากับสามคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด

ถึงขั้นรู้สึกว่าเวลาตนอยู่ข้างกายชุยตงซาน คล้ายว่าจะดีกว่า?

เวลานี้ในที่สุดเผยเฉียนก็เริ่มยกพู่กันจรดตัวอักษร เพียงแต่ว่าเขียนตัวอักษรบนผนังกับคัดตัวอักษรบนกระดาษเป็นคนละเรื่องกัน ขีดแรกนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ เผยเฉียนสูดลมเย็นๆ ดังเฮือก ยื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าทิ้ง ก่อนจะกัดฟันเขียนสี่ตัวอักษรว่า ‘ฟ้าดินผสานเป็นหนึ่ง’ จนเสร็จอย่างยากลำบาก เพียงแต่ว่าหลังจากเขียนครึ่งประโยคนี้เสร็จแล้ว เผยเฉียนที่เอนตัวออกมาด้านหลังเพื่อมองให้ชัดก็รู้สึกว่าไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าตลกสิ้นดี ฝีมือไม่ได้ครึ่งของครึ่งเวลาคัดตัวอักษรยามปกติเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องหันไปมองจูเหลี่ยนนางก็รู้ได้ว่าพ่อครัวเฒ่าผู้นี้ต้องแอบหัวเราะเยาะว่าลายมือของนางมีแต่ผีไม่มีเทพแน่นอน

เผยเฉียนเกิดลังเลใจ สุดท้ายก็ทิ้งครึ่งประโยคนั้นไว้อย่างนั้น

นางขยับพู่กันลงมาข้างล่างเล็กน้อย จุ่มหมึกแล้วเขียนว่า ‘เผยเฉียนและอาจารย์มาเยือนที่แห่งนี้’

เสร็จเรียบร้อย!

เผยเฉียนรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย แม้ว่าลายมือจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่เนื้อความดียิ่ง

ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอยู่ในหมู่บ้านของซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแคว้นซูสุ่ยก็เขียนประโยคไร้ความคิดทำนองนี้บนหน้าผาหินด้านหลังน้ำตกเช่นกัน

เฉินผิงอันไม่ได้บังคับให้เผยเฉียนเขียนอะไรเพิ่มอีก เขาวางตัวนางลง หันไปพูดกับจูเหลี่ยน “เจ้าก็เขียนสักหน่อยสิ?”

จูเหลี่ยนถูมือ หัวเราะเสียงระรื่น “อย่าเลยดีกว่า ไม่ได้จับพู่กันมาหลายปีแล้ว มือต้องแข็งแน่นอน มีแต่จะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น”

แต่เฉินผิงอันก็ยังคงยื่นพู่กันส่งให้จูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนไม่ใช่คนอิดออด รับพู่กันมาแล้วก็ไม่ยืดยาด มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจับพู่กันจุ่มหมึก ใคร่ครวญถ้อยคำที่จะเขียนอยู่ในใจ

เห็น ‘ฝีมือการเขียนพู่กัน’ ของเด็กหญิงมาก่อนแล้ว อันที่จริงทั้งคนเฝ้าศาล ชายฉกรรจ์คนส่งธูปและสือโหรวต่างก็ไม่คาดหวังในตัวจูเหลี่ยนแล้ว อีกอย่างผู้เฒ่าหลังค่อมยังเรียกตัวเองว่า ‘บ่าวเฒ่า’ ก็แสดงว่าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ อาจจะรู้จักบทความบางอย่าง เขียนพู่กันได้บ้าง แต่จะดีได้ขนาดไหนกันเชียว?

ทว่าเฉินผิงอันกลับรู้รากฐานของจูเหลี่ยนดี

ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนที่จูเหลี่ยนจะบ้าคลั่งไปอย่างสิ้นเชิง ถูกขนานนามให้เป็น ‘คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์ ผู้ที่เจ๋อเซียนยังต้องอาย’

จูเหลี่ยนเขียนบทกวีอันโด่งดังในพื้นที่มงคลดอกบัว ใช้ตัวอักษรฉ่าวซู่ (ตัวอักษรแบบหวัด) จำนวนตัวอักษรมีไม่มาก แค่ร้อยกว่าตัว ตัวอักษรแต่ละตัวดุจดั่งไข่มุก พออยู่บนผนังก็ยิ่งเคลื่อนคล้อยดุจเมฆล่องลอยและไหลระริกดุจสายน้ำหลั่งริน พาให้คนมองรู้สึกตื่นตะลึง

คนเฝ้าศาลเป็นคนรู้จักดูของ พึมพำเบาๆ ว่า “รวมกันดั่งขุนเขา แยกย้ายดั่งลมฝน รวดเร็วปานประหนึ่งสายฟ้า ว่องไวดุจเหยี่ยวโฉบบนนภา…มหัศจรรย์ลึกล้ำ บรรลุถึงแก่นแห่งความสุดยอด ย่อมต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวงการตำราที่เก็บงำประกายอย่างลึกซึ้งแน่นอน…”

จูเหลี่ยนใช้วิธีการเขียนแบบหมึกจาง ดังนั้นจึงจุ่มหมึกน้อยมาก ท่วงทำนองเชื่อมประสานกันอย่างแนบแน่น เรียกได้ว่าเขียนเสร็จในรวดเดียว

ต่อให้เป็นสือโหรวก็ยังต้องยอมรับว่า…เฒ่าบ้ากามคนหนึ่งเขียนตัวอักษรได้งดงามขนาดนี้ แม้แต่สวรรค์ก็ยากจะทนรับได้!

จูเหลี่ยนคืนพู่กันให้เฉินผิงอัน “นายน้อย บ่าวเฒ่าบังอาจโยนอิฐล่อหยก ขอท่านอย่าได้หัวเราะเยาะ”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่านี่เจ้าจูเหลี่ยนไม่ได้ผลักข้าเข้ากองไฟหรือไร?

แล้วสีหน้าของคนทั้งสามในศาลพ่อปู่ลำคลองก็เต็มไปด้วยความคาดหวังจริงๆ

เฉินผิงอันคิดในใจว่าคงต้องทำให้พวกเขาผิดหวังแล้ว

จูเหลี่ยนไม่ได้โยนอิฐล่อหยกอะไรทั้งนั้น อีกเดี๋ยวคนทั้งสามของศาลก็จะรู้เองว่าอะไรคือไข่มุกและหยกอยู่เบื้องหน้า กระเบื้องและอิฐอยู่เบื้องหลัง

เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะเขียนตัวอักษรตามที่เลือกมาจากแผ่นไม้ไผ่

แต่จูเหลี่ยนกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นนายน้อยก็เขียนสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ในใจดีไหม? หน้าอกของนายน้อยมีร่องลึกกว้างใหญ่ สามารถเลือกไปใช้เส้นทางอื่น เหตุใดยังต้องเลียนแบบคนโบราณทุกเรื่องด้วยเล่า”

เฉินผิงอันครุ่นคิด หลังจากยืนมั่นคงแล้วก็กำมือข้างหนึ่งเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้อง อีกมือหนึ่งยกพู่กันเขียนตัวอักษร ยังคงเป็นตัวอักษรข่ายซู (อักษรแบบบรรจง) ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้มีสีสันใดๆ มีเพียงแค่กฎเกณฑ์ที่จริงจังเท่านั้น

รอจนเฉินผิงอันเขียนสองประโยคจบ รอบด้านก็เงียบสงัด

เฉินผิงอันคืนพู่กันด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน

คนเฝ้าศาลและชายฉกรรจ์คนส่งธูปพาพวกเขามาส่งออกจากศาลพ่อปู่ลำคลอง

ระหว่างทางที่มาส่งคนเฝ้าศาลก็พูดถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนั้นอีกครั้ง ท่าทางเป็นกังวลอย่างยิ่ง

ที่แท้หลังจากผู้มากความรู้ของแคว้นชิงหลวนท่านนี้ลาออกจากการเป็นขุนนางมาใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษระหว่างเขาเขียวและน้ำใสแล้ว สวนสิงโตซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งสิบสวนใหญ่ของแคว้นชิงหลวน เมื่อปลายหน้าหนาวของปีก่อนได้เกิดเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งขึ้น มีปีศาจจิ้งจอกออกอาละวาด ทำร้ายให้บุตรสาวคนเล็กที่อยู่ในห้องหอของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสติวิปลาส จากดรุณีน้อยในวัยสวยสดงดงาม กลับถูกปีศาจจิ้งจอกที่เผยกายด้วยรูปร่างของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลารังแกจนกลายเป็นคนน่าสงสารที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ปีศาจจิ้งจอกที่มีตบะล้ำลึกตัวนั้นนิสัยแปลกประหลาดยากคาดเดา มันไม่สังหารคน กลับกันยังมีความสามารถด้านวรรณกรรม เข้าใจความรู้ของสามลัทธิอย่างกระจ่างแจ้ง มีครั้งหนึ่งเคยนั่งถกปัญหากับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว ถึงขั้นพูดให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งแคว้นบื้อใบ้ได้ หลังจากนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็ทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเชิญให้เทพเซียนบนภูเขาหลายคนไปช่วยกำราบปีศาจในบ้าน คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนผู้เฒ่า เซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักและภูเขาที่มีชื่อเสียงมากมาย หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนอิสระที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังแต่ฝีมือเหนือล้ำ พอไปถึงกลับถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นปั่นหัวจนอับอายขายหน้ากันทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น หากไม่ถูกแย่งชิงอาวุธประจำกายก็ถูกขโมยสมบัติอาคม ซ้ำร้ายหลังจบเรื่องยังต้องไปอ้อนวอนขอคืนจากปีศาจจิ้งจอกเป็นการส่วนตัว

เรื่องนี้เฉินผิงอันเคยเห็นในรายงานบนภูเขาที่สวนร้อยบุปผาของตระกูลเซียนส่งมาให้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ในรายงานยังระบุจำนวนเงินรางวัลของสวนสิงโตด้วย ไม่ว่าใครก็ตาม ขอแค่ขับไล่ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไปได้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วก็ยินดีนำของโบราณสามชิ้นที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษประคองส่งให้ด้วยสองมือ

ตอนที่เดินไปใกล้ประตูใหญ่ของศาล ชายฉกรรจ์คนส่งธูปอดพูดอย่างปลงอนิจจังขึ้นมาไม่ได้ “รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคือขุนนางน้ำดีที่หาได้ยาก ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของเขาก็ดีเยี่ยม หลายปีก่อนข้าเคยโชคดีมีโอกาสได้พูดคุยกับลูกหลานสกุลหลิ่ว บัณฑิตหนุ่มคนนั้นมีนิสัยนอบน้อมถ่อมตน จิตใจดีงามอย่างแท้จริง นี่แสดงให้เห็นว่าขนบธรรมเนียมประจำตระกูลหลิ่วนั้นเที่ยงตรง”

คนเฝ้าศาลพูดอย่างสะท้อนใจ “ก็นั่นน่ะสิ ลองหันมาดูลูกหลานสกุลหลิ่วที่ทำหน้าที่เป็นนายอำเภอของอำเภอที่อยู่ใกล้ศาลพวกเราสิ ภายในสี่ปี เขามุมานะบากบั่น ทำเรื่องที่มีประโยชน์ได้มากมายขนาดนั้น นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนเห็นกันอยู่ในสายตาจริงๆ หากเจ้าบอกว่าได้พบบัณฑิตสกุลหลิ่วแล้วรู้สึกว่าความรู้ของเขาดี อีกทั้งยังได้รับการอบรมมาดี ถ้าอย่างนั้นนายอำเภอท่านนี้ก็คือผู้ที่ช่วยขจัดทุกข์บำรุงสุขให้กับชาวประชาตัวจริง เฮ้อ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของสวนสิงโตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าจะไล่ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไปได้แล้วนะ”

เผยเฉียนฟังด้วยความรู้สึกขนลุกขนชัน

เกือบจะเอายันต์ออกมาแปะบนหน้าผากอยู่รอมร่อ

จูเหลี่ยนคลี่ยิ้มมีเลศนัย

ดีนักนะ คิดจะให้พวกเราไปช่วยผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ล่ะสิ?

แน่นอนว่าสือโหรวหวังให้มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องมาก

ปีศาจจิ้งจอกที่สามารถก่อคลื่นลมมรสุมอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงได้ ตบะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน หากเป็นปีศาจใหญ่เซียนดินโอสถทองขึ้นมา แล้วถึงเวลานั้นจูเหลี่ยนจงใจเล่นงานตน เลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ นางก็ต้องเอาตัวไปรับมีดรับสมบัติอาคมแทนเฉินผิงอันที่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาจริงๆ น่ะหรือ?

เฉินผิงอันรับฟังอยู่เงียบๆ โดยไม่เอ่ยอะไร พอออกมาจากประตูใหญ่แล้วก็หันไปกุมหมัดบอกลาพวกคนเฝ้าศาล

จากนั้นก็เดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนต่อ

เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “ตระกูลผู้สูงส่ง มิกลัวภูตผีทำร้าย”

จูเหลี่ยนผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง”

หลังจากพวกเฉินผิงอันจากไปแล้ว ในศาลพ่อปู่ลำคลองก็ยังไม่มีผู้มีจิตศรัทธาคนอื่นมาเยือน

ปัญญาชนท่าทางสุภาพสง่างามที่เรือนกายล่องลอย มีแสงสีทองไหลรินเดินออกมาจากเทวรูป มาหยุดอยู่กลางระเบียงของเรือนชั้นที่สี่ ยืนอยู่ใต้ผนังแถบนั้น

คนเฝ้าศาลรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย รีบพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “นายท่านพ่อปู่ลำคลอง ตอนนี้ควันธูปมีไม่มาก ท่านอย่าอยู่นานเลยขอรับ”

หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคิดจะเผยร่างทองบนโลก จำเป็นต้องใช้ควันธูปที่บริสุทธิ์มาประคับประคอง

องค์เทพแห่งขุนเขาได้รับควันธูปโชติช่วงย่อมไม่มีปัญหาให้เรื่องนี้ แต่ศาลพ่อปู่ลำคลองเล็กๆ แห่งนี้จำเป็นต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ

พ่อปู่ลำคลองที่ลักษณะเหมือนชาวขงจื๊อวัยกลางคนยิ้มรับ

เขาเผยสีหน้าปล่อยวางอย่างที่ไม่เคยมีมานาน เงยหน้ามองท้องฟ้า พูดอย่างปิติยินดีว่า “ศาลของข้าเล็กเกินไป จิตใจของท่านจอมปราชญ์ยิ่งใหญ่เกินไป พ่อปู่ลำคลองเล็กๆ ประหนึ่งได้ดื่มเหล้าหมักหอมหวาน ช่างโชคดี ช่างมีความสุขยิ่งนัก!”

คนเฝ้าศาลมึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่กลับพบว่านายท่านพ่อปู่ลำคลองที่มีท่าทางอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาของตนท่านนี้ ไม่เพียงแต่มีสีหน้าสดชื่นเปี่ยมชีวิตชีวา แสงสีทองที่ไหลวนบนร่างของเขายามนี้ก็คล้ายจะครอบคลุมและกระชับแน่นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก

คนเฝ้าศาลพลันหันขวับกลับมามองผนังอีกครั้ง

ไม่ใช่ตัวอักษรฉ่าวซูบทนั้น

แต่เป็นตัวอักษรข่ายซูสองประโยคที่เขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

จันทราบนนภา พระจันทร์ในโลกหล้า แบกหีบหนังสือทัศนาจร เหนือไหล่มีแสงจันทร์ ยืนสูงพิงรั้วมองจันทร์ ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำแตกแต่กลม

สายลมบนภูเขา สายลมริมสายน้ำ ขี่กระบี่เดินทางไกลใต้ฝ่าเท้าคือสายลม สายลมพลิกเปิดตำราอริยะปราชญ์ สายลมพัดผ่านจอกแหนล่องลอยพบพา

—–