ตอนที่ 28 กลับบ้านเกิด โดย Ink Stone_Fantasy
ดินแดนเก้าเมฆาห่างจากจักรวาลบ้านเกิดลิบลับ โดยทั่วไปหากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเร่งเดินทางไปอย่างยากลำบากก็ต้องใช้เวลาสิบล้านปี
“ฟิ้ว” เพียงพริบตาเดียว บริเวณทั้งหมดของอากาศอันสับสนอลหม่านก็บิดเบี้ยวไป ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากในนั้น
“จักรวาลบ้านเกิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปทางทิศหนึ่งไกลออกไป เนื่องจากระยะห่างมากเกินไป ขณะส่งถ่ายจึงมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ทว่าการ ‘ทะลุอากาศ’ ภายในอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นเร็วกว่าภายในโลกทิพย์ตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ฟิ้วๆ
เพียงชั่วอึดใจเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปถึงตรงหน้าจักรวาลอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ภายในจักรวาล อย่างมากที่สุดก็อนุญาตให้ผู้มาเยือนขั้นผู้ปกครองเข้ามาได้ ส่วนเทพอากาศน่ะหรือ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของจักรวาลเท่านั้น! สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจากภายนอกมิอาจเข้าไปในจักรวาลได้ นอกเสียจากบางท่านที่มีพละกำลังสามารถทำลายล้างจักรวาลแห่งหนึ่งได้เช่นผู้ท่องอากาศกู่ฉี จักรวาลมิอาจสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้ได้ ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาตามอำเภอใจเท่านั้น แต่จะทำลายล้างจักรวาลสักแห่งอย่างง่ายดาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็ยังทำมิได้
“แคว่กกก…” ผนังเยื่อของจักรวาลมีรอยแยกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในนั้นอย่างง่ายดาย
จักรวาลบ้านเกิดยังคงอยู่ในยุคนี้ ตนยังมิได้ถูกผลักไสออกไป
******
ภายในจักรวาลบ้านเกิด สุนัขสีดำหูตั้งชันซึ่งนอนหมอบอยู่บนผืนหญ้าของสถานที่แรกเริ่มพลันเงยหน้าและเบิกตากว้าง มันมองออกไปไกล บนใบหน้าสุนัขของมันเผยสีหน้าแตกตื่นออกมา ปากก็พึมพำออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า “เข้าเด็กตงป๋อเสวี่ยอิงนี่จากไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็กลับมาเสียแล้ว เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือ”
“มิใช่แค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้อาวุโสตำหนักในอีกด้วย” ชายชราผมขาวปรากฏกายแล้วเอ่ยขึ้น สถานที่แรกเริ่มนี่เป็นสถานที่ที่บรรพชนเทียนอวี๋สร้างขึ้น เมื่อสมาชิกของวังทวีสูญมาถึงจักรวาลแห่งนี้ สถานที่แรกเริ่มก็สามารถรับรู้ได้ถึงสถานะ
“ผู้อาวุโสตำหนักในหรือ มิใช่แค่พลังทัดเทียมกับข้าหรอกหรือ” สุนัขสีดำตกตะลึงไป
หากพูดกันอย่างเข้มงวดแล้ว พลังของมันคือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก
ทว่าเมื่ออยู่ในสถานที่แรกเริ่ม มันก็ได้เปรียบด้านพื้นที่ ค่ายกลความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่บรรพชนเทียนอวี๋วางเอาไว้ร้ายกาจยิ่งนัก สุนัขสีดำได้รับการเสริมแรงจากค่ายกล จึงสามารถสำแดงพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดออกมาได้! แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตอนนั้นก็ยังถูกจอมกระบี่กดดันจนได้
“บำเพ็ญรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าในภายหน้าคงจะได้เป็นประมุขตำหนักของวังทวีสูญเราอีกคนหนึ่ง” ชายชราผมขาวชมเชย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแดนดาราอันกว้างใหญ่ซึ่งแผ่กลิ่นอายทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ทั้งแดนดารานั้นไม่มีพืชพรรณใดงอกขึ้นมาเลย มีเพียงบุรุษอาภรณ์สีแดงเข้มผู้หนึ่งเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงกลาง บัดนี้บุรุษอาภรณ์สีแดงเข้มผู้นั้นก็รู้ตัวและเงยหน้ามองผ่านระยะทางของอากาศมา จึงเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่นอกแดนดาราผู้นั้น
“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญตกใจใหญ่ เขาหยุดการบำเพ็ญลงแล้วสาวเท้าข้ามอากาศมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
“เสวี่ยอิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
เพราะเวลาสั้นเกินไปแล้ว
จากจักรวาลบ้านเกิดไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ก็ต้องเดินทางเป็นเวลานานมาก
“กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
“นี่ก็แค่ไม่กี่ร้อยล้านปีเท่านั้นเอง เจ้าก็กลับมาแล้ว อีกทั้งพลังของเจ้าในตอนนี้ ข้ายังมองได้ไม่ทะลุปรุโปร่งอีกด้วย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าโชคดี หลังออกจากจักรวาลบ้านเกิดไปได้ไม่นานก็พบระเบียงอากาศเข้า ทำให้ข้าพบกับจอมมารแห่งวังทวีสูญ ทำให้ข้าสามารถไปถึงวังทวีสูญได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แม้เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ร้อยล้านปี…อันที่จริงข้าได้อาศัยตำหนักกาลเวลาแห่งวังทวีสูญในการบำเพ็ญมานานหลายหมื่นล้านปีแล้ว จึงได้มีพลังเช่นนี้ได้ ด้วยความสามารถในการรับรู้ของท่านอาจารย์ หากเข้าไปยังวังทวีสูญ พลังก็จะต้องปะทุขึ้นมาเช่นเดียวกัน”
“ระเบียงอากาศรึ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจ “เจ้าพบระเบียงอากาศเข้าหรือนี่”
เขารู้ภาพเส้นทางที่จะไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และรู้ว่าระหว่างทางจะต้องพบกับอันตรายบางอย่างที่มิอาจรู้ได้
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็ปวดหัวและกลัวเกรงระเบียงอากาศนัก
เพราะทันทีที่ร่วงลงไป…
แม้ความเป็นไปได้ที่จะตายในทันทีจะค่อนข้างต่ำ แต่โดยทั่วไปก็จะห่างไกลจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามาก จักรวาลบ้านเกิดนับว่าอยู่ห่างจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราใกล้มากแล้ว! ไม่แน่ว่า เมื่อผ่านระเบียงอากาศ…ระยะทางไม่แน่นอนอาจจะไกลไปเป็นสิบเป็นร้อยเท่าในคราวเดียวก็เป็นได้! การเร่งเดินทางไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ความจริงก็เป็นเช่นนี้เอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงตรงเข้าไปจุดที่อยู่ใกล้โลกทิพย์กิเลนบูรพา
“มิได้พบจอมมารเข้าแล้วเช่นกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“โชคดีๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรำพึง “จากบ้านเกิดไปคราวนี้ เดินทางไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านช่างอันตรายนัก”
“สำหรับข้าในตอนนี้ ก็นับว่าสบายมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ท่านอาจารย์ ถึงตอนนั้นข้าจะส่งท่านไปยังวังทวีสูญด้วยตนเอง”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้ายิ้มๆ “ฮ่าฮ่า เห็นทีเจ้าบำเพ็ญมาหลายหมื่นล้านปี พลังคงจะสูงส่งลึกล้ำกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว เตรียมตัวจะชี้แนะเหล่าผู้ปกครองทั้งหลายหรือยังเล่า พวกเขาต่างก็ติดอยู่ที่ขีดจำกัด มิอาจก้าวหน้าสำเร็จเป็นเทพอากาศได้”
“อีกหนึ่งเดือนให้หลังแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวนจ้าวตงป๋อเหนือทะเลหมอกดำ แล้วเชิญทุกท่านมาเข้าร่วม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตดีใจมาก อารมณ์ก็ดียิ่งนัก
อันที่จริงตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจากจักรวาลบ้านเกิดไปนั้น เขาก็กังวลใจเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนั้นก็ยังคงอ่อนแอเกินไป อ่อนแอกว่าเขา จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอยู่ไม่น้อย แต่บัดนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเขามากแล้ว
ทว่าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลับสงบนิ่งนัก
อย่างแรกเพราะศิษย์ของตนคนนี้มีความสามารถในการรับรู้สูงส่งกว่าตนเสียอีก อย่างที่สอง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกว่ารอให้เข้าไปในวังทวีสูญแล้ว ตัวเขาเองก็จะมีการวิวัฒน์เช่นเดียวกัน
……
หลังตงป๋อเสวี่ยอิงแยกกับท่านอาจารย์แล้ว เพียงก้าวออกไปหนึ่งก้าว ก็มาถึงหน้าดินแดนดวงดาราอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เหนือดินแดนดวงดาราแห่งนี้ มีแสงสีแดงกลิ้งไปมา ด้านบนก็มีวังและตำหนักทอดยาวต่อเนื่องกัน มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากอยู่ในนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้
บนดินแดนดวงดาราแห่งนี้
มีชายหนุ่มในอาภรณ์สีเทาตัวหลวมนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ จุดสูงสุดของตำหนักใหญ่ ด้านล่างมีศิษย์จำนวนมากนั่งฟังคำสอนของเขาอยู่
“เจ้าเด็กอวี้เอ๋อร์คนนี้ไม่เลวเลย รับศิษย์มากมายถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มจนปากแทบฉีก หลังกลับมาถึงบ้านเกิดแล้ว เขาก็อารมณ์ดียิ่งนัก เพราะด้วยพลังของเขา การรับรู้ก็แผ่คลุมไปทั่วทุกหนแห่งของจักรวาลบ้านเกิด ตั้งแต่ชั่วขณะแรกก็พบว่า ‘ตงป๋ออวี้’ บุตรชายตนได้หลุดพ้นแล้ว
บัดนี้คล้ายว่าจะกลายเป็นบรรพชนของแถบหนึ่งไปแล้ว ทั้งยังสอนศิษย์มากมาย
เมื่อเห็นบุตรเป็นเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังดีใจมากกว่าที่ตนบำเพ็ญจนบรรลุเสียอีก
“อวี้เอ๋อร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
ตงป๋ออวี้ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของตำหนักใหญ่สะดุ้งไปเล็กน้อย ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้ เขาสั่งขึ้นว่า “ถอยออกไปให้หมด” พูดจบเขาก็หายวับไปกลางอากาศทันที
แม้บรรดาศิษย์ในตำหนักทั้งหลายจะงุนงงสงสัย ทว่าก็ยังถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
กลางอากาศ
ตงป๋ออวี้ทะลุอากาศมาปรากฏกาย เขามองดูคนตรงหน้าแล้วก็อดตื่นเต้นขึ้นมามิได้ “ท่านพ่อ! ท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือ”
รวดเร็วเกินไปแล้ว
เร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก เดิมทีคิดว่า กว่าท่านพ่อจะกลับมาก็คงจะตอนที่ยุคจักรวาลใกล้จะสิ้นสุดลงเสียอีก
“ไม่เลว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเอ่ยชม
ตงป๋ออวี้ได้ยินบิดาชมเชยก็อดยิ้มออกมามิได้
“ท่านแม่เจ้าเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วหรือยัง”
“นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ร้อยล้านปีเท่านั้นเอง ท่านแม่ยังไม่รีบร้อนเข้าสู่ห้วงนิทราหรอก ทว่าเวลาส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่แต่ในโลกคูหาสวรรค์” ตงป๋ออวี้กล่าว “ออกมาบ้างเป็นบางครั้ง ทว่าอีกสักไม่กี่ปี ท่านแม่ก็จะเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ตอนนี้ท่านแม่และท่านพี่ต่างก็อยู่ในจวนจ้าวขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
เตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราหรือ
จิ้งชิวยังมิได้หลุดพ้นจริงๆ เสียด้วย
“ไป ไปพบท่านแม่และพี่สาวเจ้ากันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
………………………..