“เช่นนั้นก็ไปตามหาที่เมืองเย่หลิน ตามหาที่จวนฉีอ๋อง”
ฉินเทียนขมวดคิ้ว ความรู้สึกผิดปรากฏชัดในดวงตา เขาดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “โยวเหยา ความจริง… ข้าส่งคนไปตามหาที่เมืองเย่หลินแล้ว ทว่า… ยังหาไม่พบ องครักษ์เงาทั้งสี่ที่อยู่ข้างกายนาง ก็หานางไม่พบเช่นกัน”
“ว่าอย่างไรนะ เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอกข้า? ” เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นยืนทันที
ฉินเทียนมองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาตกตะลึง
เขารู้ว่าเยี่ยโยวเหยาห่วงใยและเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของซูจิ่นซี แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่เป็นตัวของตนเองเช่นนี้
เขาเป็นห่วงเป็นใยซูจิ่นซีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับสายตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยา ฉินเทียนก็รู้สึกหวั่นๆ อยู่ในใจ
“โยวเหยา ใช่ว่าข้าไม่รีบบอกเจ้า ทว่าข้าเองก็เพิ่งได้ยินข่าวที่ซูจิ่นซีขาดการติดต่อไป เมื่อไปหานางที่คฤหาสน์ก็ไม่พบแล้ว ข้าจึงรีบส่งคนไปตามหาที่เมืองเย่หลินทันที ทว่า… ”
“องครักษ์เห็นนางล่าสุดที่ใด? ”
“ที่ประตูเมืองเย่หลิน มู่หรงเฟิงติดประกาศตามจับเจ้ากับนางไปทั่วเมือง เพื่อให้นางผ่านเข้าเมืองไปได้ องครักษ์เงาทั้งสี่จึงคลาดจากนาง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวของนางอีกเลย”
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด แสงเทียนสลัวที่ส่องกระทบบนใบหน้า ยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ฉินเทียนไม่ได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยานานแล้ว
เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจพูดเกลี้ยกล่อม “โยวเหยา เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ส่วนซูจิ่นซี… มีฉีอ๋องอยู่ นางคงไม่เป็นอันใด เจ้าก็รู้จักฉีอ๋องดี… ”
ก่อนจะพูดจบ ฉินเทียนก็ถูกสายตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาจับจ้องอีกครั้ง ทำให้ต้องปิดปากทันที ไม่สามารถพูดอันใดได้อีก
ในอดีต เยี่ยโยวเหยาเคยโหดร้ายกับเขามาก ทว่าไม่เท่าตอนนี้ และเยี่ยโยวเหยาก็ไม่เคยใช้สายตาน่ากลัวเช่นนี้มองเขา
เยี่ยโยวเหยาพูดขึ้นว่า “ผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ ทว่าไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าซูจิ่นซี”
ฉินเทียนตกตะลึงจนพูดไม่ออก แววตาปรากฏความสับสนมึนงง เขานิ่งอึ้งกับคำพูดของเยี่ยโยวเหยาพักใหญ่
เมื่อก่อน เขาเคยได้ยินเหล่าพี่น้องในวิหารวิญญาณพูดถึงสิ่งที่เยี่ยโยวเหยาเคยกล่าวไว้ว่า ‘ไม่อาจแลกเปลี่ยนใต้หล้ากับซูจิ่นซี’
ทว่าตอนนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่เยี่ยโยวเหยาพูดกับหูตนเอง เขาจึงรู้สึกตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น
โยวเหยาหมายถึงอันใดกัน?
ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เพื่อจักรวรรดิต้าฉิน!
ความหมายของเขาคือ จักรวรรดิไม่สำคัญเท่าซูจิ่นซีหรือ?
เขารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอันใดอยู่?
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเยี่ยโยวเหยาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ผู้ใดอยู่ข้าก็ไม่วางใจ ต้องมีข้าคอยปกป้องเท่านั้น จึงจะวางใจได้”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางเก็บเอกสารบนโต๊ะ
ฉินเทียนพลันได้สติ เขาตื่นตระหนกอีกครั้ง ก่อนจะรีบเข้าไปห้ามเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าซีดเผือด
“โยวเหยา เจ้ากำลังทำอันใดอยู่? กองทัพของทหารตะวันตกส่วนใหญ่ประจำการอยู่นอกเมืองแล้ว ส่วนทหารที่เหลือและกองทัพตระกูลหลานจะมาสมทบในอีกไม่ช้า ยามนี้ ทางซีอวิ๋นพร้อมประจันหน้าทำสงครามกับพวกเราแล้ว เจ้าจะละทิ้งทหารทั้งสามกองทัพ และไปเมืองเย่หลินเพื่อตามหาซูจิ่นซีหรือ? ”
ไม่ต้องพูดถึง เมื่อครู่เยี่ยโยวเหยาคิดเช่นนั้นจริงๆ
เขาคิดจะไปเมืองเย่หลินเพื่อตามหาซูจิ่นซี เขาต้องการพบนาง และต้องการแน่ใจว่าตอนนี้ ซูจิ่นซีปลอดภัยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินเทียนพูดจาอย่างมีเหตุผลเช่นนี้ เขาจึงตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่อาจตัดสินใจโดยขาดความยั้งคิด
เขาควรทำอย่างไร?
เมื่อก่อน ไม่ว่าจะมีเรื่องรีบร้อนเร่งด่วนเพียงใด เขายังสามารถสงบนิ่งและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ทว่าวันนี้เขากลับหุนหันพลันแล่น
เขาถูกเวทมนตร์ครอบงำหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของเยี่ยโยวเหยาพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่หัวใจอันเยือกเย็นของเขาไม่เคยเต้นแรงถึงเพียงนี้
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยามองไปยังแสงเทียนริบหรี่เบื้องหน้า ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้ฉินเทียนออกไป
ฉินเทียนลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้ออกไปในทันที
“โยวเหยา เจ้า… ต้องสงบสติอารมณ์ บัดนี้ เหล่าทหารอยู่ในเมืองแล้ว รอเพียงคำบัญชาจากเจ้า หากเจ้าจากไปในยามนี้ พวกเราจะเสียเปรียบ นอกจากนั้น หากตระกูลหนานกงแปรพักตร์จริง จากความแข็งแกร่งของตระกูลหนานกงในตอนนี้ ต่อไปภายภาคหน้า หากพวกเราจะบุกมาโจมตีแคว้นซีอวิ๋นอีกครั้ง อาจต้องใช้กำลังไพร่พลมากกว่านี้อีกหลายสิบ หลายร้อยเท่า หรืออาจจะเกิดสงครามที่โหดร้ายทารุณ”
ฉินเทียนพูดเช่นนี้ ไม่ใช่การยกยอหรืออวดอ้างเกินไป ทว่าเป็นความสัตย์จริงทั้งสิ้น แววตาของเขาจริงจังยิ่งนัก
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ทว่ายังคงโบกมือให้เขาออกไป
ฉินเทียนลุกขึ้นและเดินออกไป ในห้องจึงเหลือเยี่ยโยวเหยาเพียงลำพัง
เยี่ยโยวเหยาจับจ้องแสงเทียนที่สั่นไหว ดวงตาพลันหดเล็กลง นิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมอย่างรุนแรง
เขามีชีวิตอยู่มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทว่าหัวใจดวงนี้ไม่เคยเต้นแรงเช่นนี้มาก่อน
ครั้งหนึ่ง เขาเคยคิดว่าตนเองเป็นคนเย็นชา เป็นคนผิดปกติ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการหัวใจเต้นเร็วเป็นเช่นไร
นอกจากนั้น ตัวตนและสถานะของเขา การสั่งสอนที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงความคิดของเขา ภาระอันหนักอึ้งที่เขาแบกรับไว้บนบ่า และสายเลือดพิเศษที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ล้วนสอนให้เขาสุขุมเยือกเย็น ไม่อนุญาตให้เขาเกิดอารมณ์อ่อนไหว
เพราะเขาคือเยี่ยโยวเหยา
คือคนในราชวงศ์ต้าฉิน คือองค์ชายรัชทายาท
ทว่า… จนกระทั่งเขาได้พบซูจิ่นซี
ตั้งแต่ที่เสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อพระราชทานความตาย ตั้งแต่เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์เพราะอั้นหรานเซียวหุน และตั้งแต่ที่เขาถูกฮูหยินปิงจีผนึก ‘หมุดกร่อนรัก’ ในร่างกาย เขาก็ถูกลิขิตให้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างโดดเดี่ยว อ้างว้าง และหนาวเหน็บ
ทว่า ‘หมุดกร่อนรัก’ ได้พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปจากชีวิตเขา รวมทั้งเคยพรากเขาจากซูจิ่นซีอย่างโหดเหี้ยม อย่างไรก็ตาม มันกลับทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อซูจิ่นซีอย่างชัดเจน
หมุดกร่อนรักสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ทั้งมันยังมีเพียงไม่กี่แท่งบนโลก ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผนึกเข้ามาในร่างกายของเขา ดังนั้น บนโลกใบนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเข้าใจรสชาติของหมุดกร่อนรักได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
ยิ่งรักมากเท่าไร ผลสะท้อนกลับของพิษหมุดกร่อนรักก็ยิ่งเจ็บปวดทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย เนื่องจากผลสะท้อนกลับโดยสมบูรณ์ของพิษหมุดกร่อนรัก และช่วงเวลาที่พิษหมุดกร่อนรักกำเริบจนทำให้เขาขาดสติ
จนกระทั่งเขาหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่อยู่ด้านนอกตำหนักเสวียนปิง เนื่องจากผลสะท้อนกลับของพิษหมุดกร่อนรักที่กำเริบอย่างรุนแรง ชีวิตนี้ เขาถูกลิขิตไว้แล้วว่า นอกจากสายเลือดแห่งราชวงศ์ต้าฉินอันสูงส่ง ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ไม่สามารถลบเลือนได้ นั่นคือ ซูจิ่นซี
ครั้งหนึ่ง เขาเคยต้องการผลักไสนาง ต้องการปลิดชีพนาง ต้องการเข้าใกล้นาง ทว่าเขาทำไม่ได้เพราะพิษหมุดกร่อนรัก บัดนี้ เขาได้เป็นเจ้าของนางแล้ว แต่กลับกลัวเสียนางไปจนทำให้เขาขาดสติ…
เยี่ยโยวเหยาครุ่นคิดเรื่องนี้เพียงลำพังภายใต้แสงเทียนที่สั่นไหว ดวงตาดำขลับปรากฏความลึกซึ้งอย่างที่ไม่อาจลึกซึ้งไปมากกว่านี้ได้อีก
ทันใดนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด ภาพเหตุการณ์ที่เขาพบซูจิ่นซีครั้งแรกที่ใต้ต้นดอกท้อในสวนหลังจวนสกุลซูก็ผุดขึ้นมา ดวงตาดำขลับของเขาพลันส่องประกายด้วยแสงประหลาด
มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำเข้าหากันแน่นอย่างเชื่องช้า
“ซูจิ่นซี เป็นเจ้าที่ยั่วยุข้าก่อน นี่เป็นหนี้ที่เจ้าต้องชดใช้ ก่อนที่เจ้าจะชดใช้ให้ข้า เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อข้า เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”