“นายท่าน ข้าน้อยเกือบลืมไปเสียสนิท แม่ทัพใหญ่หลานมาถึงแล้วขอรับ ฝ่าบาทให้ข้าน้อยมาเรียกท่านไปพบ”
“กองทัพตระกูลหลานมาถึงแล้วหรือ? ”
“ยังขอรับ แม่ทัพใหญ่หลานล่วงหน้ามาก่อน ส่วนกองทัพตระกูลหลานที่นำโดยคุณชาย จะตามมาในภายหลัง”
ฉินเทียนมองไปทางเมืองซีอวิ๋น
เมื่อกองทัพตระกูลหลานมาถึง คาดว่าต้องมีการต่อสู้อันหนักหน่วงเกิดขึ้น ยามนี้จะพูดได้อย่างไรว่ากองกำลังทหารซีอวิ๋นล้วนเป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน หากไม่ถึงขั้นเสียเลือดเนื้อก็คงจะดีไม่น้อย ทว่าหากต้องลงไม้ลงมือจนถึงขั้นดาบเปื้อนเลือด ฉินเทียนก็ไม่ลังเลที่จะรีบรุดไปเป็นทัพหน้าเพื่อโยวเหยา
ตอนนี้ เยี่ยโยวเหยากำลังอ่านจดหมายอยู่ที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองเยวี่ยหยาง
เดิมที ตอนที่เยี่ยโยวเหยามาถึงเมืองเยวี่ยหยาง ท่านเจ้าเมืองได้เตรียมสถานที่พักในจวนให้เขาแล้ว ทว่าเยี่ยโยวเหยาคิดว่าที่จวนเสียงดังเกินไป อีกทั้งคนในจวนก็ใช้งานได้ไม่คล่องมือ จึงให้ฉินเทียนหาสถานที่ที่สะอาดและสงบเงียบภายในเมืองชั่วคราว
เมื่อแม่ทัพหลานเสวียนหมิงมาถึง เยี่ยโยวเหยาก็ยื่นกระดาษในมือให้เขาดู
หลานเสวียนหมิงเปิดอ่าน หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นและกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงพับจดหมายแล้ววางไว้ด้านข้างโต๊ะของเยี่ยโหยวเหยา
“ท่านอ๋อง แท้จริงแล้ว สิ่งที่ฮูหยินปิงจีกล่าวในจดหมายนั้นถูกต้อง เพียงท่านอ๋องมีพระประสงค์จะอภิเษกสมรสกับคุณหนูใหญ่หนานกง ปัญหาของซีอวิ๋นก็จะคลี่คลาย เหตุใดถึง… ”
หลานเสวียนหมิงยังพูดไม่ทันจบ เยี่ยโยวเหยาก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชา หลานเสวียนหมิงจึงปิดปากอย่างรวดเร็ว
แววตาของเยี่ยโยวเหยาคมกริบราวกับใบมีด “หลานเสวียนหมิง เจ้าหมายความว่าศึกครานี้ เจ้าจะไม่ต่อสู้? ”
หลานเสวียนหมิงมีความกล้าที่ใดกัน?
ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือด เขารีบคุกเข่ากับพื้นอย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมไม่มีทางมีความคิดเช่นนั้นขอรับ”
“ไม่มีก็ดี! ” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางหยิบจดหมายขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าภายใต้แสงเทียนเย็นชายิ่งกว่าเดิมหลายเท่า “นี่คือสิ่งที่กองทัพหนานกงต้องการ หรือตระกูลหนานกงต้องการกันแน่? ”
น้ำเสียงเย็นชานั้น ทำให้หลานเสวียนหมิงรู้สึกสันหลังเย็นวาบอย่างอธิบายไม่ได้
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงให้เขาดูจดหมายที่ฮูหยินปิงจีส่งมาจากแคว้นซีอวิ๋น
ท่านอ๋องกำลังเตือนหลานเสวียนหมิง!
เตือนเขาว่าอย่าเพ้อฝันเหมือนตระกูลหนานกง ที่คิดว่าตนเองสามารถควบคุมเหล่าทหารรับจ้างได้ คิดว่าตนเองมีอำนาจทหารอยู่ในมือ แล้วจะสามารถทำตัววางอำนาจ
ประโยคที่เยี่ยโยวเหยากล่าวว่า ‘กองทัพหนานกงต้องการ หรือตระกูลหนานกงต้องการ’ ช่างมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก หลานเสวียนหมิงจะไม่รู้ได้อย่างไร?
หากหมายถึงกองทัพหนานกง ก็พอสมเหตุสมผล ทหารหนานกงติดตามตระกูลหนานกงมาอย่างยาวนาน ย่อมไม่อาจทำเฉยและทนมองนายตนเองที่ต่อสู้ร่วมกันมานานหลายปีถูกผู้อื่นเหยียดหยามเช่นนี้
ทว่า หากหมายถึงตระกูลหนานกง…
ตระกูลหนานกงทำตัวเพิกเฉย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตระกูลหนานกงในวันนี้ ถูกจักรวรรดิต้าฉินให้ท้ายจนลืมตนไปเสียแล้ว
ตอนนี้ ดินแดนต้าฉินยังไม่ฟื้นฟู ตระกูลหนานกงยังกล้าข่มขู่ราชวงศ์ ข่มขู่เจ้านายตนเอง หลังจากช่วยราชวงศ์ฟื้นฟูจักรวรรดิต้าฉินแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบ เช่นนั้นจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในยามนี้ ความคิดของตระกูลหนานกงเป็นแบบที่สอง
ในฐานะที่พวกเขาทั้งสองเป็นครอบครัวขุนนางที่ภักดีต่อจักรวรรดิต้าฉิน ทั้งยังเป็นสองตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิต้าฉิน ด้วยตำแหน่งหน้าที่อันสูงส่ง แน่นอนว่าการปะทะกับอีกตระกูลหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร แผ่นหลังของหลานเสวียนหมิงก็ยิ่งเย็นวาบมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้น เขาก็ก้มศีรษะแนบพื้น
“ท่านอ๋อง ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลหลานจะจงรักภักดีต่อจักรวรรดิไม่เปลี่ยนแปลง และจะมั่นคงจริงใจต่อท่านอ๋อง รวมถึงราชวงศ์ไม่เสื่อมคลาย ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเป็นแน่”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่กลับพูดว่า “ชั่วชีวิตนี้ ไท่จื่ออย่างข้ามีสตรีเพียงผู้เดียวคือซูจิ่นซี และจักรวรรดิต้าฉินจะมีนายหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เยี่ยโยวเหยาแทนตนเองว่า ‘ไท่จื่อ’ แน่นอนว่าหมายถึงบทบาทของเขาในฐานะองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน
มันยิ่งเพิ่มความรุนแรงให้แก่คำเตือน
“กระหม่อมจะจำให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ! เหล่าทหารตระกูลหลานก็จะจำให้ขึ้นใจเช่นกัน”
พูดจบ หลานเสวียนหมิงก็โขกศีรษะคำนับอีกครั้ง
“โยวเหยา”
ฉินเทียนเดินเข้ามาในห้อง เขาเหลือบมองหลานเสวียนหมิงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าฉงน
เยี่ยโยวเหยามองหลานเสวียนหมิง หลานเสวียนหมิงเข้าใจในทันที “ท่านอ๋อง กระหม่อม… กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กล่าวอันใด หลานเสวียนหมิงจึงถอยออกไป
เมื่อเดินออกจากประตู ลมหนาวที่พัดผ่านยิ่งทำให้หลานเสวียนหมิงรู้สึกสันหลังเย็นวาบมากกว่าเดิม ทว่ามันทำให้เขาได้สติมากขึ้นเช่นกัน
อันตรายเกินไปแล้ว
สาเหตุที่เขาล่วงหน้ามาถึงเมืองเยวี่ยหยางก่อนกองทัพตระกูลหลาน เพราะเขาต้องการคุยเรื่องการอภิเษกสมรสของบุตรสาวตนเองกับเยี่ยโยวเหยา
ต้องทราบว่า เพื่อเป็นการปลุกเร้าขวัญกำลังใจของกองทัพตระกูลหลาน และเพื่อพิชิตแคว้นซีอวิ๋นได้สำเร็จ การพูดถึงเรื่องนี้ในยามนี้ ไม่ว่าเจ้านายคนไหนย่อมเห็นด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้วางแผนเพื่ออนาคตของตระกูลหลานและเพื่อบุตรสาวของตนเอง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องจะมองทะลุถึงจิตใจ
หลานเสวียนหมิงยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว พลันรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
โชคดีที่ท่านอ๋องใช้สถานการณ์ของตระกูลหนานกงมาเตือนเขาทางอ้อม ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่รู้ว่าท่านอ๋องกำลังคิดอันใด และไม่อาจรู้ได้ว่าวันนี้จะมีสิ่งใดรอเขาอยู่!
ภายในห้อง หลังจากหลานเสวียนหมิงออกไปแล้ว ฉินเทียนจึงเดินไปยังโต๊ะที่เยี่ยโยวเหยานั่งอยู่ ก่อนจะชี้ไปยังหลานเสวียนหมิงที่เพิ่งเดินออกไป พลางยกยิ้มมุมปาก
“ส่งเสริมบุตรสาวตนเองอีกแล้วหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยากำลังวุ่นอยู่กับเอกสารราชสำนักในมือ จึงไม่ได้ตอบอันใด
ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เยี่ยโยวเหยา เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้! เจ้าเป็นเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่ามีแม่นางกี่คนที่ต้องใจสลาย รู้ไว้ด้วย ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ แม่นางที่ต้องการอภิเษกสมรสกับเจ้า สามารถนำมาต่อเป็นแถวยาวตั้งแต่ทะเลตงไห่ไปถึงแผ่นดินตะวันตก เช่นนั้น… เจ้าก็ให้โอกาสพวกนางเสียเถิด”
หลังสิ้นเสียงพูดของฉินเทียน ทันใดนั้น เบื้องหน้าก็มีที่ทับกระดาษลอยมาหาเขา โชคดีที่ฉินเทียนเป็นคนว่องไว จึงรับที่ทับกระดาษนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่เช่นนั้น หัวของเขาคงถูกที่ทับกระดาษกระแทกจนเลือดอาบเป็นแน่
ฉินเทียนถือที่ทับกระดาษไว้ในมือ เขายืนอยู่ด้านข้างพลางเบิกตากว้าง “โยวเหยา เจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก กล้าดีอย่างไรจึงทำร้ายข้า? หากโดนเข้าจริงๆ จะทำอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยากำลังยุ่ง หลังจากเตือนหลานเสวียนหมิงแล้วยังต้องอ่านเอกสารราชสำนักต่อ เขาจะเอาเวลาที่ไหนมาพูดคุยไร้สาระกับฉินเทียน?
“หยุดพูดจาไร้สาระ จดหมายที่ให้คนของเจ้าส่งไปที่คฤหาสน์เป็นอย่างไรบ้าง? ถึงมือนางหรือยัง? ”
ฉินเทียนวางที่ทับกระดาษลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเยี่ยโยวเหยา
“คนส่งจดหมายไปถึงคฤหาสน์แล้ว ทว่าพระชายาของพวกเราไม่ได้อยู่ที่นั่น! โยวเหยา ทันทีที่เท้าหน้าของเจ้าก้าวออกจากคฤหาสน์ เท้าหลังของพระชายาก็เก็บข้าวของไปเมืองเย่หลิน เมืองเย่หลินคือสถานที่เช่นไร? ยามนี้ ที่แห่งนั้นกลายเป็นถ้ำเสือไปแล้ว เจ้าจะยอมปล่อยนางไว้ที่นั่นคนเดียวจริงหรือ? ”
เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของฉินเทียน เยี่ยโยวเหยาที่กำลังยุ่งอยู่กับงานเอกสารในมือพลันหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาดำมืด
ทั้งน้ำเสียงยังเย็นชาสุดขีด “ซูจิ่นซี! ”
สตรีนางนี้… ช่างหาญกล้าเกินไปแล้ว
ก่อนไป เขากำชับนางหลายหนแล้วว่า รอให้ร่างกายหายดีเสียก่อน ค่อยไปเมืองเย่หลิน นางก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดี ไม่คิดเลยว่า…
อย่างไรก็ตาม เขาควรคิดได้นานแล้ว ซูจิ่นซีที่ชอบทำตามใจตนเอง มีหรือจะเชื่อฟังผู้อื่น?
ซูจิ่นซี เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโกหกข้า…