เล่มที่ 19 เล่มที่ 19 ตอนที่ 548 ชื่นชอบพระชายาเหลือเกิน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

จากสถานการณ์ในปัจจุบัน หากเขาไปถึงแคว้นซีอวิ๋น เหตุการณ์อาจยิ่งเลวร้ายมากขึ้น

เนื่องจากพลังอำนาจทั้งหมดของแคว้นซีอวิ๋นอยู่ในมือของตระกูลหนานกงและฮูหยินปิงจี และเขาจะเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่าเดิม

ท้ายที่สุด หนทางที่จะหยุดความวุ่นวายได้ คงมีเพียงวิธีที่เขาต้องอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋น

ทว่าเขาได้ให้สัญญากับซูจิ่นซีไว้แล้วว่า ชั่วชีวิตนี้ นางจะเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่เขาอภิเษกด้วย เช่นนั้น เขาจะอภิเษกสมรสกับหนานกงลั่วอวิ๋นอีกครั้งได้อย่างไร

ดังนั้น เมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง เยี่ยโยวเหยาจึงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เขาจะไม่เดินทางไปแคว้นซีอวิ๋น ทว่ารั้งอยู่ที่เมืองเยวี่ยหยาง ชายแดนของแคว้นจงหนิงกับแคว้นซีอวิ๋นแทน

ทั้งยังรับสั่งให้ฉินเทียนนำตราพยัคฆ์บัญชาทัพเพื่อระดมกำลังทหารตะวันตกที่อยู่ใกล้เมืองเยวี่ยหยางมากที่สุด และสั่งให้องครักษ์เงารีบไปยังเมืองหลวงพร้อมป้ายคำสั่งเพื่อแจ้งต่อกองทัพตระกูลหลาน

ในตอนนี้ แคว้นซีอวิ๋นเปรียบดังเนื้อร้าย แทนที่จะปล่อยให้เนื้อร้ายเติบโต มิสู้ตัดมันออกเสียแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า

สิ่งที่เยี่ยโยวเหยาทำในตอนนี้คือ ระดมกองทัพจากแคว้นจงหนิงและกองทัพตระกูลหลาน เพื่อโจมตีแคว้นซีอวิ๋นและยึดมันมาให้ได้

เขามีกองกำลังพันธมิตรอยู่ข้างกาย เช่น ตระกูลหลานซึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวมาก่อน ต้องทราบว่าความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของเยี่ยโยวเหยาในครั้งนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด

ในเวลาเพียงหนึ่งวัน กองกำลังทหารตะวันตกที่รวบรวมมาได้ก็มาถึงเมืองเยวี่ยหยาง บางส่วนที่ตกค้างเนื่องจากการเดินทางอันยาวนานจะมาถึงในไม่ช้า

ยามบ่าย เยี่ยโยวเหยาได้รับจดหมายจากหลานเสวียนหมิงว่า กองทัพตระกูลหลานซึ่งเป็นกองทัพของเผ่าวิหคได้ตั้งกำลังเรียบร้อยแล้ว ข้อได้เปรียบของกองทัพเผ่าวิหคคือความเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงสามวันก็มาสมทบกันที่เมืองเยวี่ยหยาง

ขณะนี้ ฉินเทียนกำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองเยวี่ยหยาง เขามองค่ายทหารด้านนอกเมืองที่มีแสงไฟสลัว พลางส่ายศีรษะและยกยิ้มมุมปากอย่างช่วยไม่ได้

“คำโบราณที่กล่าวว่า นารีเป็นเหตุแห่งความวุ่นวาย ย่อมไม่ผิดนัก หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาคงอภิเษกกับหนานกงลั่นอวิ๋นไปแล้ว ความขัดแย้งในแคว้นซีอวิ๋นคงได้การคลี่คลาย และการได้แคว้นซีอวิ๋นมาครอบครองก็จะเป็นเรื่องง่าย เหตุใดต้องวุ่นวายกับการทำสงครามครั้งใหญ่เช่นนี้? ”

หลังสิ้นเสียงคำพูดของฉินเทียน ทันใดนั้นก็มีเงาดำโผล่ขึ้นมาข้างกายเขา

เป็นจิ้นหนานเฟิง องครักษ์ข้างกายเยี่ยโยวเหยา

“นายท่านยังคิดเรื่องปลงพระชนม์พระชายาอยู่หรือ”

ฉินเทียนมองจิ้นหนานเฟิงด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ”

“นายท่านกับท่านอ๋องมีเรื่อง จะให้ลูกน้องอยู่ที่เมืองหลวงได้อย่างไร ต่อให้อยู่ ลูกน้องก็ทนอยู่ไม่ได้! ”

“เจ้าแน่มาก! มาถึงตั้งแต่เมื่อไร! ” ฉินเทียนตบเข้าที่ไหล่ของจิ้นหนานเฟิง

จิ้นหนานเฟิงหัวเราะ “เพิ่งมาถึงขอรับ! ”

หลังจากพูดจบ จิ้นหนานเฟิงก็ถามขึ้นอีกครั้ง “นายท่าน ท่านคิดกับพระชายา… ”

ใบหน้าฉินเทียนพลันสงบนิ่ง “จากสถานการณ์ของท่านอ๋อง เจ้าคิดว่าข้ายังสามารถสังหารซูจิ่นซีได้อีกหรือ? ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นหนานเฟิงยิ่งกว้างมากขึ้น เขาเกาท้ายทอยด้วยความเขินอายเล็กน้อย “จะว่าไปก็ใช่ ท่านอ๋องของพวกเราไม่เคยใกล้ชิดสตรี ทว่าพระองค์… กลับทุ่มเททั้งกายและใจให้พระชายา! ”

ฉินเทียนกรอกตา “ยิ่งกว่าทุ่มเททั้งกายและใจอีกกระมัง? ”

เขาราวกับต้องเวทมนตร์

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ในความคิดของฉินเทียนก็ปรากฏภาพช่วงเวลาก่อนที่ซูจิ่นซียังไม่ปรากฏตัว มันเป็นวันที่เต็มไปการนองเลือด ความโหดร้าย ความมืดมิด การวางแผน และอันตราย

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น เยี่ยโยวเหยาผ่านมันมาได้อย่างไร

แม้เยี่ยโยวเหยาในตอนนี้จะแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง ทว่าเมื่อเทียบกับตอนนั้นแล้ว นับว่าดีกว่ามาก!

นอกจากนั้น ส่วนลึกภายในจิตใจของเขารู้ดีว่า เหตุผลที่ตอนนี้เยี่ยโยวเหยาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ต้องยกความดีความชอบให้การปรากฏตัวของซูจิ่นซี

การพบเจอกับบางอย่างในชีวิต ล้วนเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต

ไม่มีใครเข้าใจเยี่ยโยวเหยาได้ดีกว่าพี่น้องอย่างฉินเทียนอีกแล้ว ตั้งแต่เด็ก เขาเติบโตมากับเยี่ยโยวเหยา ผ่านเรื่องราวมากมายร่วมกัน ขณะเดียวกันก็เข้าใจคนในราชวงศ์ต้าฉิน

แท้จริงแล้ว ราชวงศ์ต้าฉินทุกรุ่นล้วนเหมือนกัน พวกเขามีบุคลิกเยือกเย็น ไม่สนใจอิสตรี ทว่าหากรักแล้วก็จะสัญญา รอคอย และรักเพียงคนเดียวไปทั้งชีวิต

ไม่รู้ว่าการที่เยี่ยโยวเหยาได้พบกับซูจิ่นซีนั้น ถือเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ทว่าเขารู้ดี เกรงว่าชาตินี้เยี่ยโยวเหยาคงไม่สามารถลบซูจิ่นซีออกไปจากใจได้ นับประสาอันใดกับการนำนางออกไปจากชีวิต

ทั้งคู่ถูกลิขิตให้พัวพันกันไปตลอดชีวิต

ครู่หนึ่ง ฉินเทียนทอดสายตามองออกไปยังราตรีอันแสนยาวไกล ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “แท้จริงแล้ว พระชายาของพวกเราก็เป็นสตรีที่ดีคนหนึ่ง! ”

ใช่แล้ว!

ความจริง ฉินเทียนก็รู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว

จิ้นหนานเฟิงยกมือเกาท้ายทอยอีกครั้ง มีบางอย่างที่เขาต้องการถาม ทว่าเขารู้สึกไม่ดีเกินกว่าจะถามออกไป ในที่สุด จิ้นหนานเฟิงก็รวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยถามฉินเทียน

“แหะ แหะ นายท่าน ท่านอ๋องไปแคว้นหนานหลีเพื่อรับตัวพระชายาไม่ใช่หรือ เหตุใดพระชายาถึงไม่มาด้วยเล่า”

หลายปีแล้วที่ไม่ได้เห็นใบหน้าพระชายา แท้จริงแล้วพวกเขาก็คิดถึงพระชายาเช่นกัน!

ฉินเทียนมองจิ้นหนานเฟิงพร้อมยกยิ้มมุมปาก เขาตบไหล่จิ้นหนานเฟิง ก่อนจะหมุนตัวไปมองแสงไฟสลัวของค่ายทหารโดยไม่พูดอันใด

จิ้นหนานเฟิงถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก

“นายท่านยิ้มอันใดหรือ ท่านหมายความว่าอย่างไร? ”

รอยยิ้มที่มุมปากของฉินเทียนยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น มันทำให้จิ้นหนานเฟิงรู้สึกขนลุกเล็กน้อย สุดท้ายฉินเทียนก็กล่าวว่า “จิ้นหนานเฟิง พวกที่กล้าคิดถึงคนของฝ่าบาทมักมีจุดจบไม่สวย ยิ่งกับคนที่เป็นยอดดวงใจด้วยแล้ว ระวังหัวของเจ้าให้ดีก็แล้วกัน”

ทันใดนั้น ใบหน้าของจิ้นหนานเฟิงก็ซีดเผือด “นายท่าน ข้าน้อย… ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น ข้าน้อย… ข้าน้อยมิได้… ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ฉินเทียนหัวเราะลั่น พลางพาดแขนลงบนหัวไหล่ของจิ้นหนานเฟิง

“จะเป็นไรไป? พวกเราพี่น้องล้วนเป็นบุรุษ เป็นเรื่องปกติที่บุรุษจะชื่นชอบสตรี”

ยิ่งเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมอย่างซูจิ่นซีด้วยแล้ว

“ทว่าความชอบนั้นแตกต่างจากเรื่องความรักระหว่างบุรุษและสตรี”

แตกต่างจากเรื่องความรักระหว่างบุรุษและสตรี

ทันใดนั้นจิ้นหนานเฟิงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอันใดบางอย่าง เขาเกาหลังคอตนเองพลางแย้มยิ้ม ทั้งแก้มของเขายังแดงระเรื่อ

เขาไม่เพียงชอบพระชายา ทว่ายังคิดถึงนางอีกด้วย!

ทั้งองครักษ์เงาและองครักษ์ทั่วไปในจวน ล้วนชื่นชอบและคิดถึงพระชายา!

ทว่าตามที่หัวหน้าฉินพูดมา คงไม่ใช่ความรักระหว่างชายหญิง

เหตุผลที่พวกเขาชื่นชอบพระชายา เพราะนางทำให้ทั้งท่านอ๋องและจวนอ๋องเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

เป็นความรักในรูปแบบ ‘ความภักดี’ ไม่ใช่ความรักระหว่างชายหญิง

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

หากทำให้ท่านอ๋องเข้าใจผิด พวกเขาต้องแย่เป็นแน่

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ความรักเช่นนี้ต้องเก็บไว้ในใจเงียบๆ ไม่แสดงออกมากเกินไป และอย่าให้ท่านอ๋องล่วงรู้เป็นอันขาด

หากท่านอ๋องทรงทราบต้องแย่เป็นแน่

จิ้นหนานเฟิงผู้ไร้เดียงสาเอ๋ย เจ้าช่างน่ารักเกินไปแล้ว…

พวกเขาต่างอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยามานาน เขาลืมไปได้อย่างไร?

ท่านอ๋องของพวกเขาเป็นคนเช่นไร พวกเขาจะตบตาท่านอ๋องได้หรือ?

ทว่าจิ้นหนานเฟิงในเวลานี้ ไม่ได้นึกถึงจุดนี้

เขามัวแต่พูดคุยกับฉินเทียนอย่างออกรส จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองมีเรื่องสำคัญต้องเดินทางมาหาฉินเทียน

พอคิดได้ก็ตื่นตระหนกเสียยกใหญ่