เล่มที่ 19 เล่มที่ 19 ตอนที่ 547 คุณชายอวิ๋น ไม่ได้พบกันนาน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีหัวใจเต้นแรง นางเหลือบมองอู๋จุนที่นอนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน โดยไร้ซึ่งคำพูด

ตั้งแต่อู๋จุนถูกซูอี้ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดจำนวนมากก็หมดสติไป แม้จะยังหายใจ ทว่าตอนนี้เขายังไม่รู้สึกตัว

แม้วิธีของอวิ๋นจิ่นจะได้ผล ทั้งยังช่วยทำให้ลมหายใจของอู๋จุนคงที่ ทว่าเขายังอยู่ในช่วงวิกฤติ

ซูจิ่นซีรู้สึกราวกับนางพาคนข้างกายมาทิ้งไว้ในพื้นที่เวิ้งว้างอันไกลโพ้นและปล่อยให้ตายไปตามยถากรรม ไม่สามารถทำอันใดได้ ทำได้เพียงมองดูพวกเขาเท่านั้น

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีถอนหายใจยาว นางเงยหน้าขึ้นพลางปิดเปลือกตาลง

ภายในถ้ำแห่งนี้เงียบสงัดจนได้ยินเสียงปริแตกของฟืนในกองไฟ ทั้งเสียงของหยดน้ำตรงรอยแยกเหนือศีรษะก็ทำให้หัวใจของผู้คนเต้นกระหน่ำ

อวิ๋นจิ่นในตอนนี้ปิดปากเงียบไม่พูดจา ทำเพียงเติมฟืนหนึ่งกำมือเข้ากองไฟ

เนื่องจากซูจิ่นซีกำลังหลับตา นางจึงมองไม่เห็นว่าห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนัก มีเงาดำปรากฏขึ้นด้านหลังหินก้อนใหญ่ ก่อนที่มันจะค่อยๆ เลือนหายไป

เงาดำนั่นคืออันใดกันแน่?

โดยหลักการแล้ว มันอยู่ไม่ไกลจากซูจิ่นซีเท่าไรนัก ต่อให้นางไม่ได้เปิดกำไลปี่อั้นจนถึงความถี่ระดับสูงสุด นางก็สามารถรับรู้ได้

ทว่าเหตุใดซูจิ่นซีจึงไม่พบอันใด กลับเป็นอวิ๋นจิ่นที่พบแทน?

อวิ๋นจิ่นชายตามองเงาสีดำ ทันใดนั้น เงาดำก็วิ่งผ่านสายตาของเขาไป

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “ข้าว่ายังพอมีหนทาง มันต้องมีวิธี! ”

การแพทย์ลึกล้ำกว้างไกลไม่สิ้นสุด

นางเชื่อมั่นว่า ขอเพียงพยายามให้ถึงที่สุด ไม่ย่อท้อ ไม่ถอดใจ จะต้องช่วยชีวิตอู๋จุนได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ส่วนลึกภายในใจกลับมีเสียงแผ่วเบาพร่ำบอกนางว่า ต่อให้มีวิธี แม้จะไม่ละความพยายามจนค้นพบหนทางรักษาได้ ทว่าอู๋จุนจะมีชีวิตรอดจนถึงตอนนั้นหรือ?

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็รู้สึกปวดหัวราวกับสมองกำลังจะระเบิด นางขมวดคิ้วแน่น พลางใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้นวดวนไปมาตรงขมับ

อวิ๋นจิ่นมองซูจิ่นซีด้วยแววตาเห็นใจ

ภายใต้แสงไฟเจิดจ้า เขาค่อยๆ ยกนิ้วเรียวยาวขึ้น พลังอันแผ่วเบาและอบอุ่นลอยออกมาจากนิ้วและตรงไปที่ร่างของซูจิ่นซี

ร่างของซูจิ่นซีโอนเอนเล็กน้อยก่อนจะล้มลง

อวิ๋นจิ่นในชุดสีขาวหิมะมีความเร็วดุจแสง เพียงพริบตาเดียวเขาก็มาถึงข้างกายของซูจิ่นซี และรับร่างของนางไว้ได้ทันพอดี

เขามองดวงตาที่ปิดสนิทของนาง คิ้วของนางยังขมวดเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนี้ ความเห็นอกเห็นใจในดวงตาของอวิ๋นจิ่นจึงยิ่งทวีคูณมากขึ้น

อวิ๋นจิ่นยื่นนิ้วไปคลึงหัวคิ้วของนางให้คลายออก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เด็กโง่ ชีวิตนี้ ท้ายที่สุดอาจารย์ก็ช้าไปหนึ่งก้าว ทว่าระยะทางหนึ่งก้าวนี้ยาวไกลเพียงใด วันนี้อาจารย์ก็ยังไม่สามารถวัดได้”

เมื่อพูดจบ สายตาของอวิ๋นจิ่นก็หันไปมองทางเดินแคบๆ ที่นำไปสู่ปากทางเข้าถ้ำ ทางเดินแคบยาวที่เงียบเหงาและหนาวเหน็บมีแสงจันทร์สาดส่องให้เห็นพื้นที่ของถ้ำมากกว่าครึ่ง

เขาลูบแก้มของซูจิ่นซีแผ่วเบา “อาจารย์ให้สัญญา เมื่อเรื่องสำเร็จ อาจารย์จะพาเจ้ากลับ เมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกอย่างจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของอวิ๋นจิ่น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากทางเดินแคบที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์เจิดจ้า

เสียงย่ำฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ภายในถ้ำที่เงียบสงัดเช่นนี้ เสียงนั้นยิ่งดังชัดเจน ทันใดนั้น เจ้าของเสียงฝีเท้าก็ปรากฏตัวขึ้น

การแต่งกายของเขาไม่เหมือนคนจากแคว้นหนานหลีและแคว้นจงหนิง ทว่าเป็นแคว้นไหวเจียง ผมถูกถักเป็นเปียเล็กๆ หลายเส้น มีเครื่องประดับคล้ายเขาสองข้างอยู่บนศีรษะ มีห่วงที่จมูก ผิวดำคล้ำ ทั้งยังมีแขนเพียงข้างเดียว

ปรากฏว่าเป็น กูสือซาน ราชครูแห่งแคว้นไหวเจียง ผู้ที่ไม่ได้ปรากฏกายต่อหน้าซูจิ่นซีและผู้อื่นนานแล้ว

แม้มือของอวิ๋นจิ่นจะวางอยู่บนใบหน้าซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน ทว่าดวงตาของเขากลับเปล่งประกายความเย็นชา

เสียงไม้ปะทุในกองไฟราวกับเปลวเพลิงกำลังถูกรบกวนด้วยลมหายใจอันเย็นยะเยือก จากนั้นจึงเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น

กูสือซานยกยิ้มมุมปาก “คุณชายอวิ๋น ไม่พบกัน… เสียนาน”

……

เดิมที เยี่ยโยวเหยาควรไปถึงแคว้นซีอวิ๋นแล้ว ทว่าเขากลับรั้งอยู่ที่พรมแดนระหว่างแคว้นจงหนิงกับแคว้นซีอวิ๋น

ฮูหยินปิงจี นอกจากนางจะนั่งบัญชาการ ณ ตำหนักเสวียนปิง แท้จริงแล้ว ฮูหยินปิงจียังมีอีกสถานะหนึ่งคือ ไทเฮาแห่งแคว้นซีอวิ๋น

เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่บิดาและมารดาของเยี่ยโยวเหยายังมีชีวิตอยู่ นางได้แอบเข้าไปในแคว้นซีอวิ๋น ไม่กี่ปีผ่านมาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นไทเฮาและกุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ

นอกจากนั้น ตระกูลหนานกงซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นซีอวิ๋น ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักรบมากความสามารถของจักรวรรดิต้าฉินและภักดีต่อจักรวรรดิมาโดยตลอด

ทันทีที่จักรวรรดิต้าฉินแตกสลาย แคว้นซีอวิ๋นจึงเริ่มก่อตั้งแว่นแคว้น ตระกูลหนานกงยอมเข้าร่วมด้วย บิดาของเยี่ยโยวเหยาจึงได้เป็นผู้สืบทอดจักรวรรดิต้าฉินอย่างลับๆ

แม้เยี่ยโยวเหยาจะเป็นกำลังหลักในการฟื้นฟูจักรวรรดิต้าฉิน ทว่าคำสัญญาที่ตระกูลหนานกงได้ให้ไว้กับลูกหลานของต้าฉินนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง

สาเหตุที่ตอนนี้เยี่ยโยวเหยารีบไปเยือนแคว้นซีอวิ๋น เป็นเพราะสถานะที่แท้จริงของตระกูลหนานกงถูกเปิดเผย กรมกลาโหมและขุนนางทุกฝ่ายในราชสำนักต่างรวมตัวกันเพื่อยื่นฎีกาต่อตระกูลหนานกง

จักรพรรดิองค์น้อยที่ถูกหนานหลีไทเฮาหรือฮูหยินปิงจีขังไว้ในกรงทอง เกิดปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา เขาไม่เพียงร่วมมือกับพวกเสนาบดีเพื่อยื่นฎีกาต่อตระกูลหนานกงเท่านั้น ทว่าเขาต้องการจัดการกับฮูหยินปิงจีและปลดนางลงจากตำแหน่ง

เดิมที ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฮูหยินปิงจีที่สามารถแทรกแซงศาลปกครองมานานหลายปี

ทว่ายามนี้ เยี่ยโยวเหยาที่ควรกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันกับแคว้นซีอวิ๋น โดยการอภิเษกสมรสกับธิดาองค์โตแห่งตระกูลหนานกงอย่างหนานกงลั่วอวิ๋น กลับไปเยือนแคว้นหนานหลี และไม่ปรากฏตัวในงานอภิเษกสมรส

เหล่าทหารหนานกงคิดว่า นี่คือความอัปยศที่ราชวงศ์กระทำต่อพวกเขารวมถึงตระกูลหนานกง และแสดงให้เห็นถึงทัศนคติแง่ลบต่อความขัดแย้งภายในของแคว้นซีอวิ๋น

ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายราชวงศ์ ฝ่ายเสนาบดี และฝ่ายทหาร จึงรวมตัวกันยื่นฎีกาแด่ไทเฮาแคว้นซีอวิ๋น กลายเป็นว่าฮูหยินปิงจีรับศึกอยู่ด้านเดียว

หากฮ่องเต้องค์น้อยมีกำลังและอำนาจมากพอ ในอนาคต เมื่อตระกูลหนานกงหันหลังให้กับตระกูลหยางของราชวงศ์ ความเพียรพยายามเพื่อกอบกู้จักรวรรดิต้าฉินในแคว้นซีอวิ๋นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา คงล่มสลายเป็นแน่

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินปิงจีได้เขียนหนังสือตราประทับฉบับเร่งด่วนและส่งไปให้เยี่ยโยวเหยา หวังว่าอีกฝ่ายจะรีบมาแคว้นซีอวิ๋นเพื่อเสนอความคิดเห็นและหาทางออกให้กับเรื่องนี้

แคว้นซีอวิ๋นเป็นผลลัพธ์ของความพยายามตลอดหลายปีของลูกหลานแห่งจักรวรรดิต้าฉิน รวมทั้งอาณาจักรเทียนเหออีกด้วย จักรวรรดิต้าฉินสามารถเอาชนะได้โดยไม่เสียทหารแม้แต่คนเดียว

หากตระกูลหนานกงแปรพักตร์จริงๆ สถานการณ์จะพลิกผันทันที การเปลี่ยนแปลงที่ง่ายที่สุดในการเอาชนะจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับการรวมอาณาจักรและการฟื้นฟูจักรวรรดิในอนาคต

เนื่องจากตระกูลหนานกงมีอำนาจที่แตกต่างจากคนทั่วไป

ดังนั้น เมื่อได้รับจดหมายจากฮูหยินปิงจีและข่าวที่ฉินเทียนนำมาแจ้ง เยี่ยโยวเหยาจึงให้ความสนใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์ภายในของแคว้นซีอวิ๋น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ติดตามซูจิ่นซี เพื่อให้นางรีบมาที่แคว้นซีอวิ๋นโดยเร็ว

ทว่าเมื่อมาถึงแคว้นจงหนิง และกำลังจะเดินทางไปแคว้นซีอวิ๋น ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็เปลี่ยนเป้าหมาย