หากซูจิ่นซีไม่ถามขึ้นมาอีกครั้ง อวิ๋นจิ่นจะทำเป็นไม่รับรู้และหลบเลี่ยงคำถามของนางก็ย่อมได้ ทว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ทว่าตอบนางไปตามตรง
“พระชายา วรยุทธ์ของกระหม่อมนั้น ได้บุคคลลึกลับท่านหนึ่งเป็นผู้สอน”
“บุคคลลึกลับ? ”
โดยปกติแล้ว เมื่อไม่ต้องการบอก หรือไม่สามารถอธิบายความจริงให้อีกฝ่ายได้ มักจะใช้วิธีพูดหลอกเด็กเช่นนี้ มีหรือที่ซูจิ่นซีจะเชื่อ
ทว่าอวิ๋นจิ่นกลับอธิบายอย่างจริงจัง “ตอนกระหม่อมยังเด็ก กระหม่อมเติบโตมาในสำนักแพทย์สกุลจง พออายุสิบปีก็ได้ไปเยือนแคว้นจงหนิง ยามอยู่ที่สำนักแพทย์สกุลจง กระหม่อมร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่ดีนัก อยู่มาวันหนึ่ง มีบุคคลลึกลับผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นและบอกกระหม่อมว่าการฝึกวรยุทธ์ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ทั้งเขายังสอนวรยุทธ์ให้กระหม่อม ทว่าคนผู้นั้นขอให้กระหม่อมสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่บอกกล่าวผู้ใด”
ซูจิ่นซีฟังอย่างเงียบงัน ไม่พูดอันใด
“ตั้งแต่กระหม่อมอายุได้ห้าปี บุคคลลึกลับผู้นั้นจะปรากฏตัวเพียงเดือนละสองครั้ง เขาสอนวรยุทธ์ให้กระหม่อมเป็นระยะเวลาสามปีจนกระหม่อมอายุได้แปดปี หลังจากนั้น เขาก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย”
เมื่อลงรายละเอียดและระบุเวลาที่ชัดเจน ซูจิ่นซีก็คลายความสงสัยได้บ้าง
ทว่าซูจิ่นซียังคงมีคำถาม “เดิมที ร่างกายของท่านไม่แข็งแรงหรือ? ”
“กระหม่อมไม่ทราบเช่นกัน บางทีการที่ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะปัญหาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา”
ซูจิ่นซีรู้มาว่าอวิ๋นจิ่นเป็นเด็กกำพร้า ที่เข้ามาอยู่ในสกุลจงได้เพราะคำนับท่านปู่เป็นอาจารย์ คงเป็นท่านปู่ที่รับเขามาดูแล ซูจิ่นซีไม่สงสัยในเรื่องนี้แม้แต่น้อย
“จากทักษะด้านการแพทย์ของท่านปู่ หากเขารักษาท่านไม่หาย แสดงว่าสุขภาพในวัยเด็กของท่านต้องย่ำแย่อย่างมาก ทว่าความสามารถของท่านปู่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่นึกถึงการฝึกวรยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย เหตุใดเขาไม่ส่งท่านไปฝึกวรยุทธ์กับตระกูลหรือสำนักที่มีชื่อเสียงเล่า? บุคคลลึกลับผู้นั้นสอนวรยุทธ์ให้ท่านเป็นเวลาสามปี โดยที่ท่านปู่และท่านย่าไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยหรือ? ”
กล่าวได้ว่าซูจิ่นซีถามตรงประเด็นยิ่งนัก นางนำสถานการณ์ที่อวิ๋นจิ่นพบในตอนนั้นมาวิเคราะห์อย่างละเอียด
แท้จริงแล้ว ส่วนลึกภายในใจของนางก็ยังไม่หายคลางแคลงใจกับสิ่งที่อวิ๋นจิ่นพูด
ทั้งนี้ทั้งนั้น… ระยะนี้อวิ๋นจิ่นทำให้นางรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก นางจึงอดสงสัยในตัวเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูจิ่นซีจะถามเช่นไร ท่าทางของอวิ๋นจิ่นก็ยังคงสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย เพียงนิ่งเงียบไปชั่วครู่เท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง อวิ๋นจิ่นมองซูจิ่นซีด้วยความสงสัย ทันใดนั้น เขาก็เอ่ยปากถามนาง “พระชายา แท้จริงแล้ว หลายปีมานี้กระหม่อมมีเรื่องสงสัยต้องการถามพระองค์”
“สงสัยอันใด? ”
“ผู้ที่สอนวรยุทธ์ให้กระหม่อมในตอนนั้น เป็นไปได้ว่าคือท่านอาจารย์”
ประโยคนั้นของอวิ๋นจิ่น ทำให้ซูจิ่นซีตกตะลึง
นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “หากผู้ที่สอนวรยุทธ์ให้ท่านคือท่านปู่ เหตุใดเขาถึงได้ปรากฏตัวเป็นบุคคลลึกลับ? ทำไมไม่สอนวรยุทธ์ให้ท่านโดยตรง? เขาเป็นอาจารย์ของท่านอยู่แล้ว การสอนวรยุทธ์ให้ท่านจะไม่สะดวกกว่าหรือ? ”
ทว่าเมื่อถามเสร็จ ภายในใจของซูจิ่นซีก็เข้าใจเรื่องบางอย่างชัดเจนขึ้น
สถานการณ์ที่อวิ๋นจิ่นพูดนั้นมีความเป็นไปได้
หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริง คงมีอยู่เหตุผลเดียว นั่นคือท่านปู่ของนางซึ่งเป็นผู้นำของสำนักแพทย์สกุลจง แท้จริงแล้วมีวรยุทธ์สูงส่ง ทว่าเขาไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้
นอกจากนั้น หลังจากรู้แน่ชัดแล้วว่ามารดาของนาง จงซีจือ เป็นคนของสำนักแพทย์สกุลจง ซูจิ่นซีจึงได้ศึกษาสถานการณ์ของสำนักแพทย์มาบ้าง
ตามข้อมูลที่นางทราบมา ในตอนนั้น ผู้นำของสำนักแพทย์ไม่มีวรยุทธ์ แท้จริงแล้ว นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ต่อมาสำนักโอสถสกุลจงรุ่งเรืองไม่หยุด ในขณะที่สำนักแพทย์ค่อยๆ เสื่อมถอยลง
ทว่าเหตุใดท่านปู่ของนางต้องซ่อนวรยุทธ์ที่แกร่งกล้าเอาไว้ ไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย?
เมื่อซูจิ่นซีเริ่มสงสัยในเรื่องนี้ ภายในใจของนางจึงเชื่อคำพูดของอวิ๋นจิ่น
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องในอนาคต เมื่อพบดินแดนต้องห้ามของสกุลจงแล้ว นางค่อยตรวจสอบดูอีกครั้ง เรื่องนี้ไม่ควรนำมาคิดให้มาก ดังนั้นหัวข้อสนทนาจึงวกกลับมาที่คำถามเดิม
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านพอจะดูออกหรือไม่ว่าวรยุทธ์ของจงซูอี้คือวรยุทธ์แบบใด”
“แท้จริงแล้ว บรรพบุรุษสกุลจงไม่เพียงสืบทอดวิชาแพทย์เท่านั้น เพื่อให้ลูกหลานมีร่างกายแข็งแรงและสามารถสานต่อวิชาแพทย์ได้อย่างราบรื่น ผู้นำสกุลแต่ละรุ่นจะส่งเสริมให้คนรุ่นหลังร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ สกุลจงจึงมีวรยุทธ์ของตนเองที่สืบต่อกันมา หากว่าตามนี้ วรยุทธ์ที่จงซูอี้ฝึกฝนมาต้องเป็นวิชาขั้นสุดยอดที่สืบทอดมาจากสกุลจงเป็นแน่”
อวิ๋นจิ่นพูดจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มีอันใดผิดปกติหรือ? ” ซูจิ่นซีถาม
“ที่จริงแล้ว วิชาขั้นสุดยอดเป็นเพลงกระบี่ แม้กระหม่อมจะไม่เคยฝึกวิชาขั้นสุดยอดและไม่เคยเห็นลูกศิษย์ในสำนักโอสถฝึกฝน ทว่าตอนยังเด็ก กระหม่อมเคยเห็นศิษย์สำนักโอสถใช้วรยุทธ์นี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงสิ่งที่ศิษย์ใช้เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้ทรงพลังอย่างของจงซูอี้”
ซูจิ่นซีเข้าใจในทันที “ท่านสงสัยว่าจงซูอี้จะฝึกวรยุทธ์อื่นด้วยใช่หรือไม่? ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ” อวิ๋นจิ่นพยักหน้ายืนยัน “ทั้งยังฝึกพลังลมปราณอีกด้วย”
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใด นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “หมอหลวงอวิ๋น พลังลมปราณที่จงซูอี้ฝึกเป็นของตระกูลใด แท้จริงแล้ว ท่านมีคำตอบอยู่ในใจใช่หรือไม่?”
ใบหน้าตึงเครียดของอวิ๋นจิ่นปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง “ไม่มีสิ่งใดสามารถรอดพ้นสายพระเนตรของพระชายาได้จริงๆ ในใจของกระหม่อมมีคำตอบอยู่แล้ว ทว่าไม่กล้ายืนยัน เพราะเรื่องนี้สำคัญอย่างมาก”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเช่นกัน “ไม่เพียงสงสัย ทว่าท่านมั่นใจ และมั่นใจมากต่างหาก ไม่เป็นไร หมอหลวงอวิ๋น ที่นี่มีเพียงพวกเราสองคน ท่านพูดได้! กระบวนท่าที่จงซูอี้ฝึกฝนนั้นเป็นของตระกูลใด? ”
แววตาอบอุ่นของอวิ๋นจิ่นเป็นประกายราวกับลูกแก้ว เขามองไปยังซูจิ่นซี “สำนักกระบี่คุณหลุน! ”
สำนักกระบี่คุนหลุน?
ชื่อนี้ สำหรับซูจิ่นซีนับว่าคุ้นเคย นางเคยได้ยินชื่อนี้จากปากของแม่นมฮวามาก่อน เยี่ยโยวเหยาก็ร่ำเรียนวรยุทธ์มาจากสำนักกระบี่คุนหลุนเช่นกัน
ทว่า “สำนักกระบี่คุนหลุนเป็นสำนักที่ฝึกฝนวิชากระบี่มิใช่หรือ? เหตุใดจึงมีการฝึกพลังลมปราณเล่า? ”
แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจการฝึกวรยุทธ์นัก ทว่าความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นางก็พอรู้อยู่บ้าง
อวิ๋นจิ่นยังคงแย้มยิ้มอบอุ่นและอธิบายอย่างใจเย็น “สำนักกระบี่คุนหลุนเป็นที่สำหรับพัฒนาวิชากระบี่อย่างแท้จริง ทว่าในช่วงแรก ภายในสำนักได้แบ่งออกเป็นพรรคเพลงกระบี่จงและพรรคพลังลมปราณจง แม้ภายหลังชื่อของพรรคเพลงกระบี่จงจะแข็งแกร่งขึ้น จนคนทั่วไปคิดว่าสำนักกระบี่คุนหลุนเป็นเพียงสำนักฝึกวิชากระบี่เท่านั้น ทว่าพรรคพลังลมปราณจงก็ยังไม่ตกต่ำและสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้”
อวิ๋นจิ่นเห็นคิ้วของซูจิ่นซีขมวดเป็นปม ทั้งนางยังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จึงแย้มยิ้มออกมา “พระชายา เรื่องสำนักกระบี่คุนหลุน พรรคเพลงกระบี่จง และพรรคพลังลมปราณจง ซับซ้อนยิ่งนัก ที่จริงแล้ว กระหม่อมก็เข้าใจเพียงครึ่งเดียว ทว่ากระหม่อมค่อยๆ เก็บรวบรวมเรื่องราวต่างๆ จึงพอเข้าใจอยู่บ้าง”
ซูจิ่นซีพยักหน้าเล็กน้อย และเข้าใจว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาฟังนิทาน
“หมอหลวงอวิ๋น จากการฝึกฝนพลังลมปราณจงแห่งสำนักกระบี่คุนหลุนของจงซูอี้ ด้วยฝ่ามือนั้น ยามนี้อาการบาดเจ็บของอู๋จุนอยู่ในระดับใด? ”
แม้การวัดอัตราการเต้นของชีพจรจะทำให้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บภายในของอู๋จุน ทว่าความรุนแรงของอาการบาดเจ็บยังต้องวิเคราะห์ตามแบบแผนการฝึกหัด
เมื่อซูจิ่นซีถามเช่นนี้ ดวงตาอันแสนอบอุ่นของอวิ๋นจิ่นจึงปรากฏความสงบนิ่ง
“พระชายา เวลานี้ กระหม่อมคงไม่อาจปิดบังพระชายาได้ แท้จริงแล้ว… เจ้าหุบเขาอู๋บาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก คงอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่มีวิธีรักษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ช่วยไม่ได้แล้ว?
เป็นไปได้อย่างไร?