ตอนที่ 264 ตรวจสอบพวกเธอทั้งสามคน
โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนที่คนส่วนหนึ่งในแวดวงสังคมชั้นสูงมีแหวนแบบนี้ เรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้น และถ้าเกิดหมอปีศาจไม่สวมออกมาอย่างเปิดเผย ก็จะยิ่งไม่มีเบาะแส
เรื่องตามหาแหวนหยกกลับไป เขารู้สึกว่าไม่ค่อยมีแววเป็นไปได้เลย
“เป็นฝีมือของหมอปีศาจแน่ๆ แต่จะทำยังไง” พวกเขาสืบหาแหวนหยกจากหลายทางมาตลอด ต่อมาก็มีแบบร่างของแหวนหยกวงนี้ปรากฏขึ้น แล้วก็มีคนซื้อแบบร่างไปทำ ขณะที่พวกเขาเตรียมจะไปเอามาให้ได้ กลับถูกหลิ่วเฟยอวิ๋นตัดหน้าแล้ว
การที่พวกเขามาตามหาหลิ่วเฟยอวิ๋นนั้น ข้อแรกเพื่อดูว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับหมอปีศาจหรือไม่ ข้อสองคือต้องการข้อมูลติดต่อกับคนออกแบบจากหลิ่วเฟยอวิ๋น เขามั่นใจว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นหมอปีศาจ
ถ้าหาตัวเจอก็เท่ากับเจอหมอปีศาจ
“แต่เราจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้นะครับ” บอดี้การ์ดร้อนใจ ดูแล้วเขาน่าจะเป็นบอดี้การ์ดฝีมือดีที่สุดที่ซีเหมินหลงเซี่ยวไว้วางใจ จึงพูดคุยกับเขาอย่างสนิมสนมเช่นนี้
ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้มอย่างเย็นชา แววอำมหิตวาบขึ้นในดวงตา “ไม่อยู่แล้ว หมอปีศาจเป็นผู้หญิง สามคนที่สวมแหวนนั่นน่าสงสัยทุกคน ส่งคนไปตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเฉพาะคนที่ผิวคล้ำนั่น”
ตอนที่เขายืนกรานขอซื้อแหวนของหลิ่วเฟยซวง แววตาเธอดูผิดปกติอย่างชัดเจน พูดอีกอย่างคือ ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะจำเขาได้ หรือไม่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของเขาคือแหวนหยก
ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าเธอจะเป็นหมอปีศาจ อีกอย่าง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเธอยังต่างจากผู้หญิงทั่วไป สงบนิ่งเกินไปจนยากที่จะมองข้ามได้
“ครับ นายน้อย ผมจะสั่งให้ลูกน้องตรวจสอบข้อมูลผู้หญิงสามคนนั้นอย่างละเอียด” ในเมื่อหลิ่วเฟยซวงเป็นรองประธานของร้านหยกนั้น ถ้าอย่างนั้นก็แค่ตรวจสอบเบาะแสจากทางเธอก่อน เดี๋ยวก็รู้ฐานะของอีกสองคน
ต้องหาวิธีตามหาแหวนหยกคืนมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหมอปีศาจหรือหมอเทวดา สมบัติของประเทศซีกั๋ว จะให้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด
“อ๊ะ!” ทันใดนั้นสายตาคมกริบของซีเหมินหลงเซี่ยวก็จ้องออกไปนอกหน้าต่างรถ
คนอื่นๆ ในรถเตรียมพร้อมทันที ป้องกันเขาอย่างเต็มที่
“นายน้อย เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ไม่มีอะไร ไปเถอะ ไหนๆ วันนี้ก็ออกมาแล้ว พรรคพวกในเมืองเอฟต้องรู้ข่าวแน่นอน งั้นคืนนี้ก็ไปเยี่ยมพวกเขาหน่อย บัตรเชิญที่ให้ส่ง ส่งไปหรือยัง”
อาเซิงพยักหน้า “ส่งไปหมดแล้วครับ ผมไปส่งเองถึงบริษัทเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว” ขณะที่ซีเหมินหลงเซี่ยวพูด สายตายังคงจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเฝ้ามองอยู่ แต่เดี๋ยวเดียวก็หายไป และตอนนี้ก็มาอีก
แต่ข้างนอกมีผู้คนและรถราพลุกพล่าน ถ้ามีคนจงใจมองมาทางนี้ ลูกน้องเขาจะต้องรู้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตาฝาด ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือ
‘ประสาทรับรู้ของหมอนี่ไวมาก เสียดายที่ฉันเป็นร้านค้าอัจฉริยะขั้นสูง อยากมองเห็นฉันเหรอ เว้นแต่นายจะเปลี่ยนไปมีดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรวจจับได้ แต่โลกนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีเครื่องมือที่สแกนฉันได้เลย ฮ่าๆๆ’
ลูกบอลเงินพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นมันก็พุ่งโฉบออกไปเป็นแนวโค้งสวยด้วยความเร็วสูงกว่ารถยนต์ที่แล่นอยู่ มุ่งตรงไปหาอีลั่วเสวี่ย
ตอนนี้ อีลั่วเสวี่ย หลิ่วเฟยซวง และเหอเย่ว์ซื้อของเต็มรถเข็นสามคันออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต มีทั้งขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มชนิดต่างๆ และของสด กำลังให้พนักงานเข็นมาส่งที่รถพอดี
อีลั่วเสวี่ยเห็นลูกบอลเงินจึงแกล้งทำเป็นยุ่งอยู่กับมือถือ เดินเลี่ยงไปข้างๆ
‘ว่าไง หมอนั่นเป็นใคร’
‘เป็นอย่างที่คุณคาดไว้จริงๆ พวกนั้นมาเพราะแหวนหยก ผมสงสัยว่าก่อนหน้านี้พวกที่ถูกคุณจัดการก็น่าจะเป็นคนของซีเหมินหลงเซี่ยว แม่คุณ จะทำยังไงดี เขาบอกว่าจะตรวจสอบพวกคุณสามคน ต้องให้ผมจัดการไหม’
ตอนที่ 265 เว้นแต่เขาจะไม่กลัว
การเจาะเข้าไปในระบบไม่ใช่เรื่องที่นับเวลาเป็นนาที วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของโลกนี้จะเอามาเทียบได้อย่างไร อย่างมากก็เป็นได้แค่เทคโนโลยีดึกดำบรรพ์สำหรับพวกมันเท่านั้น แสนจะอ่อนแอ โจมตีแค่เสี้ยวนาทีก็ไม่เหลือซากแล้ว
‘อย่าดีกว่า นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต้องใช้ความสามารถของตัวเองให้น้อยหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลต่อกฎหมายระหว่างดาว’ อีลั่วเสวี่ยรู้สึกอุ่นใจ เจ้าลูกบอลเงินนี่ ถึงจะชอบพูดจาอวดดีไม่เกรงใจ บางครั้งยังชอบพูดจาดับฝันคนอื่น แต่ความจริงพอเกิดเรื่องอะไรกับเธอ มันก็ยังเป็นคนแรกที่คิดหาทางช่วยเธอ
ลูกบอลเงินกะพริบตา ‘ผมหมายถึงว่าถ้าออกตัวมากไปอาจถูกตรวจพบได้หรอก ขอแค่ไม่ถูกตรวจพบเท่านั้น หรือคุณไม่เชื่อฝีมือผม’ จากปลาหลุดแห[1]เปลี่ยนไปเป็นร้านค้าตลาดมืดได้นานขนาดนี้ มันเชื่อมั่นในไพ่ตายในมือตัวเอง
‘ไม่ใช่ไม่เชื่อฝีมือนาย แต่ถ้านายสร้างความเปลี่ยนแปลงจนเป็นที่สะดุดตามากเกินไป จะทำให้พวกนั้นสงสัยได้ ปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบไปเถอะ’ หลิ่วเฟยซวงกับเหอเย่ว์ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ส่วนตัวเธอก็ไม่เคยวางตัวโดดเด่น จะมีอะไรให้ตรวจสอบกัน
ต่อให้ตรวจเจอ เขาก็ต้องพิสูจน์ความถูกต้อง เธอย่อมมีวีธีรับมืออยู่แล้ว ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับรถเธอ สำหรับคนอย่างพญายมแห่งเมืองเอฟแล้ว เธอก็นับเป็นชาวเมือง ย่อมได้รับการปกป้องจากเขา เขาไม่มีทางเผยข้อมูลออกไปง่ายๆ หรอก
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าตอนที่ขับเข้าออกโรงประมูลใต้ดิน ป้ายทะเบียนรถอาจถูกถ่ายเอาไว้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนออกจากที่นั่น เธอก็ให้ลูกบอลเงินไปจัดการแล้ว ย่อมไม่มีทางตรวจสอบทะเบียนรถได้
ส่วนคนที่เคยเห็นทะเบียนรถเธอหลังจากนั้น ก็ตายในอุบัติเหตุรถยนต์กันหมด ไม่จำเป็นต้องกังวล คนพวกนั้นมัวแต่ไล่ตามเธอ ไม่มีเวลามาถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแน่
ต้องยอมรับสิ่งที่อีลั่วเสวี่ยวิเคราะห์นี้มีเหตุผลมาก เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ตรวจพบได้เลย ผ่านมานานขนาดนี้ พวกซีเหมินหลงเซี่ยวก็ยังตรวจไม่พบเบาะแสที่สำคัญ
‘คุณพูดมีเหตุผล แต่ว่าหมอนั่นไม่ได้สงสัยคุณ กลับสงสัยเหอเย่ว์ เขาเห็นว่าเธอสงบนิ่งเกินไป คุณว่าเราควรเตือนเธอให้ระวังหน่อยไหม’
เธอให้ความสำคัญกับเพื่อนคนนี้ ในฐานะเพื่อน นี่เป็นความรับผิดชอบที่ต้องเตือนและปกป้องอีกฝ่าย
อีลั่วเสวี่ยยกมุมปาก ‘ไม่ต้อง เหอเย่ว์ไม่ใช่คนโง่’ ตั้งแต่เหอเย่ว์เตือนเธอให้ระวังซีเหมินหลงเซี่ยว ก็รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเขาแล้ว ไม่มีทางที่เหอเย่ว์จะคิดไม่ได้
อีกอย่างต่อให้เขาตรวจสอบเหอเย่ว์แล้วจะทำอะไรได้ เธอมีสถานะเป็นคนของกองทัพภาคสิบสอง ถึงซีเหมินหลงเซี่ยวจะฝีมือเก่งกาจ ก็ต้องเกรงคนของที่นั่น อีลั่วเสวี่ยไม่เชื่อว่าเขาจะไม่กลัว เพราะถึงอย่างไรเขายังมีประเทศของเขาทั้งประเทศพ่วงอยู่ข้างหลัง
แม้การนิ่งเฉยแบบนี้จะดูเหมือนปล่อยให้เหอเย่ว์เป็นแพะรับบาปที่ถูกสงสัย แต่วันนั้นเหอเย่ว์ไม่ได้ไปโรงประมูลใต้ดิน คาดว่าซีเหมินหลงเซี่ยวก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้อยู่ดี และถ้าเขาตรวจสอบเหอเย่ว์มากเกินไป ก็เกรงว่าจะไปเป็นศัตรูกับอิทธิพลที่เขาไม่อยากล่วงเกินด้วย
ไม่ว่าอย่างไรกองทัพภาคสิบสองก็อยู่ในสถานะพิเศษ คนที่สามารถเข้าไปที่นั่นย่อมได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่จะข่มเหงรังแกได้ง่ายๆ
อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเหอเย่ว์ พลางเอ่ยขอโทษในใจ ถึงมันจะไม่ดีที่ปล่อยให้เหอเย่ว์ตกเป็นเป้าสนใจของซีเหมินหลงเซี่ยวในตอนนี้ และทำให้เพื่อนต้องถูกสงสัย แต่เธอจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเหอเย่ว์แน่นอน
“ลั่วเสวี่ย เสร็จหรือยัง ขนของใส่รถเรียบร้อยแล้วนะ เราไปกันเถอะ” เหอเย่ว์ปิดกระโปรงท้ายรถ แล้วร้องเรียกอีลั่วเสวี่ย
“มาแล้ว” อีลั่วเสวี่ยยิ้มร่า ทั้งสามคนนั่งรถออกไป ขับไปที่บ้านของหลิ่วเฟยซวง
เพิ่งนั่งรถไม่นานมือถืออีลั่วเสวี่ยก็ดังขึ้น เฉวียนหมิงโทร.มา
“อาเสวี่ย” เธอเพิ่งพูดฮัลโหล เสียงเปี่ยมเสน่ห์ของเฉวียนหมิงก็ดังมาจากปลายสาย ราวกับกระซิบอยู่ข้างหู
เหอเย่ว์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หูผึ่งทันที แต่ไม่กล้าชะโงกหน้ามา
“มีอะไรคะ ตอนนี้ฉันกำลังไปบ้านเฟยเฟยค่ะ” อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
[1] ปลาหลุดแห เป็นสำนวน หมายถึง นักโทษหรือผู้กระทำผิดที่หลบหนีไปได้