มายมิ้นท์จ้องมองดวงตาที่ดำสนิท ราวกับจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่งได้ของลาเต้ และสุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะโกหกต่อไป จึงต้องยอมรับขึ้นมาว่า “เอาล่ะ ฉันยอมรับว่าฉันโกรธอยู่บ้าง เต้ พวกผู้ชายอย่างนายเวลาพูดแล้ว ชอบพูดมาแค่ครึ่งเดียวเหรอ?”
“หมายความว่าไง?” ลาเต้กะพริบตาเล็กน้อย
มายมิ้นท์เอามือออกจากที่เปิดปิดกระจกหน้าต่างรถ “ก็คือทั้ง ๆ ที่พวกนายมีเรื่องอยากจะพูด แต่พอพูดไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว พอดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้แล้ว จู่ ๆ ก็มาเลิกพูดไป”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ดังนั้นคุณก็เลยไม่สบายใจเพราะเรื่องเล็กแค่นี้เองเหรอ?” มุมปากของลาเต้กระตุกขึ้นเล็กน้อย
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ก็แค่รู้สึกว่า เหมือนกับกำลังโดนล้อเล่นอยู่”
ลาเต้จ้องมองเธอ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ยาหยี คุณไม่รู้สึกว่า ช่วงสองวันมานี้คุณไม่ค่อยปกติเท่าไหร่เลยนะ?”
“ห๋า?” มายมิ้นท์อึ้งไปเล็กน้อย “ผิดปกติตรงไหนเหรอ?”
“ก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเปปเปอร์” ลาเต้กำพวงมาลัยไว้แล้วก็พูดไป “ตั้งแต่คุณหย่ามา ท่าทีที่คุณมีต่อเปปเปอร์นั้น เฉยชามาตลอด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรคุณก็ไม่เคยสนใจ แต่ว่าสองวันมานี้ คุณไม่รู้สึกเหรอ? ว่าปฏิกิริยาที่คุณมีต่อเปปเปอร์นั้น ได้เกิดการแปรปรวนขึ้นมาเยอะมาก และก็เปลี่ยนไปสนใจขึ้นมาเยอะมากด้วย”
พอได้ยินคำพูดนี้ ใจของมายมิ้นท์ก็กระตุกเต้นขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นก็เบือนสายตาหนีไป “จะเป็นไปได้ยังไงกัน เต้ นายมองผิดแล้วมั้ง”
“ผมไม่ได้มองผิด ผมมองเห็นความจริงทุกอย่าง แล้วเมื่อกี้ก็คือหลักฐานที่ยืนยันได้” ลาเต้ชี้ไปที่โทรศัพท์ของเธอเล็กน้อย “ถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลาเปปเปอร์จะพูดมาครึ่งหนึ่ง ถึงจะดึงดูดความสนใจของคุณไป คุณก็จะไม่มีทางโกรธ คุณจะรู้สึกแค่ว่าเขาเป็นโรคจิต เพราะว่าคุณไม่ได้สนใจเขา คุณก็เลยไม่โกรธ แต่ตอนนี้คุณกลับมารู้สึกโกรธขึ้นมา ซึ่งนี่มันหมายความว่ายังไง ก็หมายความว่าคุณเริ่มสนใจเขาแล้ว” ลาเต้พูดไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ม่านตาของมายมิ้นท์หดตัวเล็กน้อย
เธอสนใจเปปเปอร์เหรอ?
ไม่ นี่มันไม่มีทางแน่นอน!
เธอไม่มีความรู้สึกต่อเขามานานแล้ว จะไปสนใจเขาได้ยังไงกัน
คิดแล้ว มายมิ้นท์ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง พยายามข่มความว้าวุ่นในใจลง แล้วก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เต้ ฉันไม่ได้สนใจเขา บางทีสองวันนี้มานี้ฉันอาจจะสนใจเขามากขึ้นมาหน่อย แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าเขาช่วยชีวิตฉันไว้ เพราะฉะนั้นท่าทีที่ฉันมีต่อเขา ก็เลยมีการเปลี่ยนไปบ้าง ถ้าเกิดฉันยังเย็นชากับเขาอย่างเมื่อก่อน งั้นก็เป็นคนลืมบุญคุณคนนะซิ?”
“ใช่ เปปเปอร์ช่วยชีวิตคุณไว้ ในฐานะที่เป็นผู้มีพระคุณของคุณ คุณไม่ควรเย็นชากับเขาจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมาสนใจเขาแบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นมายมิ้นท์ หรือคุณไม่ได้กำลังเอาบุญคุณ มาเป็นเหตุผลในการบดบังความสนใจที่คุณมีต่อเปปเปอร์ไปแล้วเหรอ?” ลาเต้จดจ้องเธออยู่ เหมือนกับว่าอยากจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่ง
ในใจของมายมิ้นท์กระตุกวูบไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กำมือเข้าด้วยกัน แล้วถามเสียงขรึมขึ้นว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว”
“จริง ๆ เหรอ?” ลาเต้หรี่ตาลง
มายมิ้นท์จ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง “นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แล้วอีกอย่างเต้ อย่างมาซักถามฉันเหมือนกับสอบปากคำผู้ร้าย นายไม่ใช่พ่อฉันนะ!”
พอฟังความโกรธเคืองในน้ำเสียงของเธอออก ลาเต้ก็รู้ตัวขึ้นมาว่าตัวเองทำเกินไปแล้ว จึงรีบพูดขอโทษขึ้น “ขอโทษนะยาหยี ผมไม่ได้ประสงค์ร้าย ผมก็แค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น เป็นห่วงว่าคุณจะกลับไปตกหลุมรักเปปเปอร์อีก เพราะฉะนั้นก็เลย……”
“ทำไมนายถึงได้รู้สึกว่าฉันจะกลับไปตกหลุมรักเขาอีก?” มายมิ้นท์ขมวดคิ้วขึ้น แล้วก็ถามขึ้นอย่างชัดเจน
ลาเต้ทอดถอนหายใจ “เพราะว่าท่าทีที่คุณมีต่อเปปเปอร์มันเปลี่ยนแปลงไปในช่วงสองวันมานี้ และเพราะว่าหนี้บุญคุณที่เปปเปอร์ช่วยชีวิตคุณไว้ เขาไปช่วยชีวิตคุณโดยที่ไม่สนใจอะไรเลย นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจคนคนหนึ่งหวั่นไหวได้ง่ายที่สุด ผมไม่เชื่อหรอกว่าตอนที่ยาหยีเห็นเปปเปอร์กระโดดลงหน้าผาไป ใจของคุณมันจะไม่สั่นไหวเลย”
“……” ริมฝีปากของมายมิ้นท์ขยับเล็กน้อย และไม่ได้โต้เถียงอะไร
เพราะว่าในตอนนั้น ในใจของเธอได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจริง ๆ
กระโดดลงหน้าผาโดยที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลย เพียงเพื่อแค่ต้องการช่วยเธอเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็จะทำได้ แม้แต่ราเม็งที่บอกว่ารักเธออยู่เต็มปากก็ทำไม่ได้ แต่เปปเปอร์ที่บอกว่ารักเธออยู่เต็มปากเหมือนกัน กลับทำได้
เพราะฉะนั้น ใจของเธอจะไม่มีความรู้สึกได้ยังไง
พอเห็นมายมิ้นท์ไม่พูดอะไร ลาเต้ก็แอบทอดถอนหายใจไปทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “คุณดูซิ ตัวคุณเองยังปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตอนที่เห็นเปปเปอร์กระโดดลงหน้าผาไปนั้น ใจของคุณหวั่นไหวหรือเปล่า เพราะฉะนั้นยาหยี ผมถึงเป็นกังวลมากว่าคุณจะกลับไปตกหลุมรักเขาอีก กว่าคุณจะหลุดพ้นความทุกข์ยากจากตระกูลนวบดินทร์ออกมาได้ ผมไม่อยากให้คุณกลับเข้าไปใหม่ จนบาดเจ็บไปหมดทั้งตัว”
เขาคิดแบบนี้นั้นจริง ๆ ไม่อยากให้เธอกลับไปบ้านตระกูลนวบดินทร์อีกครั้ง แล้วไปมีชีวิตอย่างเมื่อหกปีก่อนอีก ไปมีชีวิตที่ยากเย็นแสนเข็ญแบบนั้น
เธอในตอนนี้มีหน้าที่การงาน กำลังไฟแรง ทั้งตัวกำลังแผ่ซ่านประกายที่ทำให้แสบตาอยู่อย่างนี้มันดีมากแค่ไหนแล้ว
และแน่นอนว่า ตัวเขาเองก็แอบมีความเห็นแก่ตัวอยู่เล็กน้อยด้วย เขาไม่อยากให้เธอกลับไปรักเปปเปอร์อีก เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เธอกับเปปเปอร์ก็จะกลับไปคบหากันใหม่อีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเขา ก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้ตัวเธอมาครอบครองอีกครั้ง
มายมิ้นท์ไม่รู้ว่าในใจของลาเต้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอหรี่ตาลง ทำให้คนมองความรู้สึกในดวงตาไม่ออก และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังความรู้สึกอะไรไม่ออก “ฉันไม่มีทางกลับไปรักเปปเปอร์อีกแน่นอน ฉันเคยเจ็บปวดมาครั้งหนึ่งแล้ว จะโง่กลับไปเจ็บปวดอีกครั้งได้ยังไง เพราะฉะนั้นนายไม่จำเป็นต้องมีความกังวลกับเรื่องนี้เลยสักนิด”
“ยาหยี ที่คุณพูดมาเป็นความจริงเหรอ?” ลาเต้ถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
คอของมายมิ้นท์ขยับขึ้นเล็กน้อย “อืม”
ลาเต้ยิ้มขึ้นมา “งั้นก็ดี ยาหยี คุณต้องจำคำพูดของคุณไว้นะ ว่าจะไม่ไปรักเปปเปอร์อีก เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงคุณก็อย่าไปตกหลุมรักเขาอีกนะ”
มายมิ้นท์ลืมตาขึ้นมามองเขาทีหนึ่ง “แน่นอนอยู่แล้ว!”
“มีคำพูดประโยคนี้ของคุณ ผมก็วางใจได้แล้ว เอาล่ะ นั่งให้ดี ๆ นะ ผมจะขับรถแล้วนะ” ในที่สุดสัญญาณไฟจราจรก็หยุดลง ไฟเขียวสว่างขึ้นมา ลาเต้ก็เข้าเกียร์ แล้วก็ขับเคลื่อนรถยนต์ออกไปอีกครั้ง
มายมิ้นท์ก้มหน้าลง บดบังปฏิกิริยาบนใบหน้าไป และฝ่ามือก็กำเข้าหากันแน่นขึ้น
ถึงแม้ว่าเต้จะไม่เอ่ยเตือนขึ้นมา เธอก็ไม่มีทางที่จะไปรักเปปเปอร์หรอก
ไม่มีทางแน่นอน!
ถึงแม้จะคิดแบบนี้ แต่มายมิ้นท์กลับรู้สึกว่าในใจนั้นอัดอั้นและลนลานอยู่เล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูกว่า
ทำไมถึงได้อัดอั้นแบบนี้นั้น เธอไม่เข้าใจ และไม่อยากจะไปเข้าใจด้วย
สัญชาตญาณบอกกับเธอว่า การไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าเข้าใจแล้ว บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่าง ที่ต้องสูญเสียการควบคุมไปก็ได้
……
ตอนเวลาบ่ายสองโมง ในที่สุดก็มาถึงบ้านเก่าของคุณตาแล้ว
บ้านเก่าของคุณตา เป็นบ้านที่มีกลิ่นอายแบบโบราณ มีทางเข้าออกสองช่องทาง
ฟังจากที่คุณตาพูดมา ปู่ของคุณตาเป็นขุนนางระดับสี่ตามระบบศักดินาของราชวงศ์คนสุดท้าย บ้านนี้เป็นบ้านพระราชทานมาจากจักรพรรดิ จากนั้นก็เก็บรักษามาเรื่อย ๆ จนมาถึงตอนนี้ และกลายเป็นบ้านที่สืบทอดกันมาของตระกูลคุณตา
ลาเต้เงยหน้าขึ้นมามองบ้านโบราณหลังนี้ แล้วพูดอย่างตกตะลึงขึ้นว่า “ยาหยี บ้านเก่าของคุณตาคุณเป็นโบราณสถานเลยนี่ แต่ว่ามันเก่าไปหน่อยนะ มีหลายจุดที่ผุพังไปแล้ว ต้องซ่อมแซมสักหน่อยแล้ว ไม่งั้นถ้าผ่านไปอีกสักสองปี ก็คงจะอาศัยอยู่ไม่ได้แล้ว”
มายมิ้นท์เอากุญแจที่คุณตาให้ตัวเองมาเมื่อหลายปีก่อน แล้วไขกุญแจไปด้วย และพูดไปด้วยว่า “เพราะว่าคุณตามัวแต่ไป ๆ มา ๆ ตามสุสานโบราณต่าง ๆ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่ที่บ้าน เพราะฉะนั้นบ้านเก่าถึงได้ผุพังไปเร็วขนาดนี้ รอสักพัก เดี๋ยวฉันจะส่งคนมาซ่อมแซมสักหน่อย พอคุณตาเกษียณแล้ว จะได้มาใช้ชีวิตปั้นปลายอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ”
พูดแล้วก็แปลก อย่างบ้านเก่าแบบนี้ ถ้ามีคนอาศัยอยู่ตลอด บ้านก็จะไม่ผุพังไปง่าย ๆ
แต่ถ้าไม่มีคนอยู่เลย บ้านก็จะผุพังไปอย่างรวดเร็ว พอผ่านไปไม่นาน ก็มีโอกาสถล่มลงมาได้เลย
“ที่แห่งนี้ไม่เลว สิ่งแวดล้อมก็ดี อากาศก็บริสุทธิ์ ผมยังอยากมาใช้ชีวิตปั้นปลายที่นี่เลย” ลาเต้ลูบคางเล็กน้อย วิเคราะห์สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ไปแล้วพูดขึ้นมา
มายมิ้นท์ไม่รู้จะพูดยังไงดี “งั้นนายก็คงจะต้องรออีกหลายสิบปี เอาล่ะ กุญแจไขได้แล้ว เข้าไปกันเถอะ”
เธอเอากุญแจออก แล้วก็ผลักประตูออกเล็กน้อย
เพราะว่าประตูไม่ได้เปิดมานานแล้ว ตอนที่โดนมายมิ้นท์ผลักออกนั้น จึงเกิดเสียงดังที่ฟังดูน่ากลัวแบบนั้นขึ้นมา เหมือนอย่างกับในหนังสยองขวัญ พอคนได้ยินแล้วก็เกิดขนลุกขึ้นมาทันที
ลาเต้หดคอลงเล็กน้อย แล้วก็ถูหลังมือไป “ยาหยี ทำไมถึงได้เยือกเย็นแบบนี้ล่ะ มันจะมีผีหรือเปล่า?”
มายมิ้นท์เหล่ตามองเขาอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง “บ้านนายซิมีผี ถ้ากลัวมากก็ออกไป ไม่ต้องเข้ามาเลย”
พูดจบ เธอก็ก้าวเท้าเข้าประตูบ้านไปเลย