บทที่ 465 การโทรหากันในยามค่ำคืน

รักหวานอมเปรี้ยว

สำหรับคำตอบแบบนี้ของผู้ช่วยเหมันตร์ เปปเปอร์กลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก

เพราะว่าในตอนที่ถามนั้น ในใจของเขาก็ได้มีคำตอบอยู่แล้ว

นิ้วมือเคาะลงไปบนเอกสารเบา ๆ พอผ่านไปไม่กี่วินาทีแล้ว เปปเปอร์ก็หรี่ตาแล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นก็ให้คนคอยเฝ้าเกรียงไกรต่อไป ถ้าคนคนนี้มีความเคลื่อนไหวอะไรขึ้นมา ก็รีบมารายงานฉันทันที”

ไม่ว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่ฆ่าพ่อของเขาหรือเปล่า เขาก็จะต้องให้คนคอยเฝ้าดูเอาไว้

ยอมฆ่าผิดตัวเป็นพันคน แต่จะไม่ยอมปล่อยให้หยุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

“ได้ครับประธานเปปเปอร์” ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้อีก และพูดขึ้นอีกว่า “นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ”

“เรื่องอะไร?”

“คือตระกูลเสนาประกรแห่งเมืองน้ำรุ้งกับตระกูลลิลิตประกายสิทธิ์แห่งเมืองเดอะซี ช่วงนี้เหมือนกับว่าจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้วครับ”

“สาเหตุล่ะ?” เปปเปอร์ถามขึ้นมา

ผู้ช่วยเหมันตร์แตะแว่นเล็กน้อยแล้วก็ถามขึ้น “เลอแปงมีชู้แล้วโดนเกศวดีจับได้ครับ พอเกศวดีโกรธเคืองขึ้นมา ก็เลยผลักเลอแปงตกจากตึกไป จนทำให้เลอแปงขาหักไปข้างหนึ่งครับ ตอนนี้เพราะว่าเรื่องนี้ ตระกูลลิลิตประกายสิทธิ์ก็จะต่อสู้กับตระกูลเสนาประกรขึ้นมาแล้วครับ และที่สำคัญเลอแปงก็จะขอหย่าด้วยครับ”

“แล้วหย่าหรือยัง?” เปปเปอร์ยักคิ้วขึ้นมา

ผู้ช่วยเหมันตร์ส่ายหน้าเล็กน้อย “ยังครับ เกศวดีไม่ยอมหย่า ก่อนหน้านี้เลอแปงก็เคยขอหย่ามาแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้หย่าสำเร็จเลย ครั้งนี้คาดว่าก็คงจะยากเหมือนกันครับ”

เปปเปอร์หึเสียงเย็นทีหนึ่ง “ก่อนหน้านี้เกศวดีเป็นเพื่อนกับส้มเปรี้ยวใช่ไหม?”

“ใช่ครับ ความสัมพันธ์ไม่เลวด้วย แถมเกศวดียังเคยต่อต้านคุณมายมิ้นท์เพราะส้มเปรี้ยวด้วยครับ คราวก่อนเรื่องที่ธนาคารต่าง ๆ รวมกันมาทวงหนี้คุณมายมิ้นท์ ก็เพราะว่าเกศวดีเป็นคนควบคุมอยู่ด้านหลัง แต่ยังดีที่สุดท้ายแล้วประธานเปปเปอร์ช่วยเสนอความคิดเห็นให้คุณมายมิ้นท์ ไม่งั้นครั้งนั้นคุณมายมิ้นท์กับเทนเดอร์กรุ๊ปคงจะจบแล้วจริง ๆ ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์พูดเสียงขรึมไป

ในดวงตาของเปปเปอร์มีประกายเยือกเย็นกะพริบขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ช่วยเลอแปงสักหน่อยละกัน”

เกศวดีรักเลอแปงมากแค่ไหน คนในแวดวงการต่างก็รู้กันดี

เพื่อที่จะได้แต่งงานกับเลอแปงแล้ว แม้แต่เรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีบางอย่างเกศวดีก็เคยทำมาแล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับเกศวดีแล้ว เลอแปงก็คือชีวิตของเธอ

แล้วถ้าเลอแปงหย่ากับเธอสำเร็จ คิดว่าเธอคงจะเป็นบ้าไปเลยมั้ง?

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าโดนสะกดจิตอยู่ นอกจากช่วยวางแผนแก้ปัญหาเรื่องเกศวดีให้มายมิ้นท์ไปแผนหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรเกศวดีเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเหมันตร์เอ่ยเกศวดีในตอนนี้ เขาก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังมีคนแบบนี้อยู่อีกคนหนึ่ง

ในเมื่อตอนนี้นึกขึ้นมาได้แล้ว งั้นก็ให้เกศวดีมาชดใช้ในสิ่งที่จำเป็นต้องชดใช้ต่อสิ่งที่เธอเคยทำไว้กับมายมิ้นท์เถอะ

และการทำให้เลอแปงหย่ากับเธอ ก็คือการชดใช้ที่ทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดแล้ว

“ได้ครับประธานเปปเปอร์ ผมจะไปทำตามคำสั่งครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์พูดขึ้น

เปปเปอร์สะบัดมือขึ้นมาทีหนึ่ง เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าให้เขาออกไปก่อน

ผู้ช่วยเหมันตร์เองก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็หมุนตัวออกไปเลย

หลังจากที่เขาไปแล้ว ในห้องก็กลับคืนสู่ความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง

เปปเปอร์ล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วค้นหาเบอร์โทรของมายมิ้นท์ออกมา และเตรียมจะโทรออกไป

แต่ตอนที่นิ้วมืออยู่ในกลางอากาศตอนที่กำลังจะกดลงตรงโทรออกนั้น อยู่ ๆ ก็หยุดนิ่งไป

เพราะว่าตอนนี้มันดึกมากแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเธอนอนหลับไปหรือยัง

ถ้าเกิดนอนหลับไปแล้ว งั้นเขาก็จะไปกวนให้เธอตื่นขึ้นมาไม่ใช่เหรอ?

ในตอนที่เปปเปอร์กำลังลังเลอยู่นั้น จู่ ๆ ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยก็มีเสียงดังลอยมาทีหนึ่ง เหมือนกับว่ามีของอะไรตกลงไปบนพื้น

เปปเปอร์โดนทำให้ตกใจไป แล้วนิ้วหัวแม่โป้งก็กดลงไปตรงตำแหน่งโทรออก

“……” เปปเปอร์จ้องมองหน้าจอที่แสดงว่ากำลังโทรออกไปอย่างหมดคำพูด

ดูท่าสวรรค์ก็คงอยากจะให้เขาติดต่อกับเธอแล้ว

ไม่นาน โทรศัพท์ก็มีคนรับสายแล้ว ทางปลายสายมีเสียงอู้อี้ของมายมิ้นท์ดังลอยมา “ใครคะ?”

เปปเปอร์ฟังออกว่าเสียงของเธอมีความง่วงงุนอยู่ ก็รู้ว่านอนหลับไปแล้วจริง ๆ แล้วก็ขยับเรียวปากบางตอบกลับไปว่า “ผมเอง ขอโทษนะ กวนคุณแล้ว”

“หือ?” ทางปลายสาย มายมิ้นท์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง หลับตาอยู่ มือข้างหนึ่งโทรศัพท์มาวางไว้ที่ข้างหู ไม่ได้จะรู้สึกตื่นขึ้นมาเลย

ดังนั้นเธอจึงฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าอีกฝั่งของโทรศัพท์คือใคร แล้วก็พูดอะไรมาบ้าง

เปปเปอร์ก็นึกว่าเสียงของตัวเองเบาเกินไป แล้วก็พูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ผมเอง ขอโทษด้วยที่ดึกขนาดนี้แล้วยังโทรมารบกวนคุณอีก ผม……”

เขายังพูดไม่ทันจบ อยู่ ๆ ก็ได้ยินทางปลายสายมีเสียงลมหายใจยาว ๆ ลอยมา แล้วเขาก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ว่าผู้หญิงที่อยู่ปลายสายจะต้องนอนหลับไปแล้ว ทั้งตัวของเขาก็นิ่งอึ้งไปเลย จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง

ไม่มีความหวาดระแวงสักนิดเลยจริง ๆ

ถึงได้นอนหลับไปเร็วขนาดนี้

แน่นอนว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเหนื่อยเกินไปด้วย เธอถึงได้ฟังไม่ออกว่าเป็นเขา

ไม่งั้นละก็ ปกติถ้าเธอฟังออกว่าเป็นเสียงของเขา ก็จะต้องตื่นขึ้นมาทันทีแน่นอน จากนั้นก็จะถามเขาว่า ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว โทรหาเธอมีธุระอะไร

เปปเปอร์ไม่ได้จะปลุกมายมิ้นท์ให้ตื่นขึ้นมา เขาเอาโทรศัพท์วางไว้ข้างหู จากนั้นก็กดเปิดลำโพงขึ้นมา แล้วก็เอาโทรศัพท์มาวางไว้ข้างหมอน ปล่อยให้เสียงลมหายใจของมายมิ้นท์ดังออกมาจากโทรศัพท์ไป เสียงดังลอยมาเสียงแล้วเสียงเล่า

อย่างกับว่าได้ยินเสียงลมหายใจของเธอ ก็เหมือนกับว่าได้เห็นตัวเธอยังไงอย่างงั้น

แล้วเปปเปอร์ฟังไปแบบนี้ ก็ฟังไปทั้งคืน จนถึงเช้าวันที่สอง ในช่วงที่ฟ้าใกล้สาง โทรศัพท์ก็แบตหมดและก็ปิดเครื่องไปอัตโนมัติเสียงลมหายใจของมายมิ้นท์ถึงได้หายไป

ส่วนตัวเปปเปอร์เอง ก็ถึงจะยอมนอนลง และหลับตานอนหลับไป

ตอนแปดโมงเช้า มายมิ้นท์โดนเสียงเคาะประตูชุดหนึ่งปลุกให้ตื่นขึ้นมา

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา แล้วเอียงหน้ามองไปทางเสียงเคาะประตูห้อง

ด้านนอกประตู ลาเต้เคาะประตูไปด้วย แล้วร้องเรียกไปด้วย “ยาหยี คุณตื่นหรือยัง?”

มายมิ้นท์นวดหัวคิ้วเล็กน้อย หลังจากที่หาวไปทีหนึ่งแล้ว พอมีสติขึ้นมานิดหน่อย ก็ตอบกลับไปคำหนึ่งว่า “ยัง แต่จะตื่นเดี๋ยวนี้แหละ”

“งั้นคุณเร็ว ๆ หน่อยนะ เมื่อกี้ผมไปซื้ออาหารเช้าที่บ้านผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว คุณรีบล้างหน้าล้างตาแล้วออกมากินนะ” ลาเต้ลดมือลงจากบานประตู

มายมิ้นท์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “ได้ เดี๋ยวฉันออกไป”

“งั้นผมไปรอคุณที่ห้องอาหารนะ”

พูดจบ ลาเต้ก็หมุนตัวเดินจากไป

พอเสียงฝีเท้าของเขาห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไปแล้ว มายมิ้นท์ถึงได้บิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วก็ลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง

พอลุกขึ้นมานั่งแล้ว เธอก็รู้สึกว่าที่ขาตัวเองนั้นรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกับว่าโดนของอะไรทับอยู่

มายมิ้นท์เปิดผ้าห่มออกดูอย่างรู้สึกสงสัย ก็เห็นว่าโทรศัพท์ของตัวเองตกอยู่บนขาตัวเองพอดี แล้วทั้งตัวก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปเล็กน้อย

น่าแปลกจริง ๆ ทำไมโทรศัพท์ของเธอถึงมาตกอยู่ในผ้าห่มได้นะ?

ทั้ง ๆ ที่ก่อนนอน เธอเอาวางไว้บนหัวเตียงแล้วชัด ๆ!

มายมิ้นท์เอาโทรศัพท์ออกมากดด้วยความสงสัย แต่โทรศัพท์กลับไม่มีการตอบสนองอะไรเลย

พังแล้วเหรอ?

หัวคิ้วของมายมิ้นท์ขมวดกันขึ้นมา และไม่นานก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ไป

เป็นไปไม่ได้ โทรศัพท์ของเธอเพิ่งจะซื้อแค่ไม่กี่วันเอง จะพังไปได้ยังไงกัน

คาดว่าตอนที่เธอนอนหลับนั้น ร่างกายอาจจะไปแตะโดนระบบเปิดปิดเข้า ก็เลยปิดเครื่องไปแน่เลย

คิดแล้ว มายมิ้นท์ก็กดปุ่มเครื่องมือขึ้นมา กะว่าจะเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แต่พอกดไปสักพัก โทรศัพท์ก็ยังไม่มีการตอบสนองอะไรเหมือนเดิม

มายมิ้นท์ลืมตาโต “ไม่ใช่มั้ง?”

พังจริง ๆ เหรอ?

แต่ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงกัน นี่มันโทรศัพท์ใหม่นะ!

มายมิ้นท์รู้สึกยอมรับความจริงไม่ค่อยได้ แล้วก็รีบเปิดผ้าห่มออกเดินลงจากเตียงไป แล้วหาสายชาร์จแบตมาลองชาร์จแบตดูสักหน่อย

ถ้าหากว่าเชื่อมต่อกับสายชาร์จแบตแล้ว โทรศัพท์ยังไม่มีการตอบสนองอีก งั้นโทรศัพท์ก็พังไปจริง ๆ แล้ว

มายมิ้นท์หาสายชาร์จแบตของตัวเองมา แล้วก็มาถึงที่ปลั๊กไฟ แล้วก็เอาโทรศัพท์มาชาร์จแบตเข้าไป

พอเสียบแบตเข้าไปไม่ถึงสองวินาที หน้าจอโทรศัพท์ก็สว่างขึ้นมา จากนั้นบนหน้าจอก็แสดงภาพแบตเตอรี่สีแดงอันหนึ่งขึ้นมา

แบตเตอรี่สีแดง แสดงว่าโทรศัพท์อยู่ในภาวะแบตเตอรี่ต่ำที่สุด

ดังนั้นที่เมื่อกี้ทำไมโทรศัพท์ถึงเปิดเครื่องไม่ออก ความจริงก็ได้ปรากฏออกมาชัดเจนแล้ว ก็เพราะว่าแบตหมดนั่นเอง

เพียงแต่ว่ามายมิ้นท์รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมโทรศัพท์ของเธอได้แบตหมดไปได้?

ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก่อนนอน เธอได้ชาร์จแบตโทรศัพท์เต็มแล้วนี่ เพราะฉะนั้นแบตพวกนี้มันหายไปไหนกัน?

คงไม่ใช่ว่าเธอนอนละเมอขึ้นมาเล่นโทรศัพท์ เล่นจนแบตหมดไปหรอกนะ!

เดี๋ยวก่อน นอนละเมอเหรอ?

ตัวของมายมิ้นท์แข็งทื่อไปเล็กน้อย และรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

เมื่อคืนเหมือนกับว่าเธอจะฝันขึ้นมาเรื่องหนึ่งจริง ๆ ฝันว่าตัวเองรับโทรศัพท์ขึ้นมาสายหนึ่ง

คงจะไม่ใช่ว่า นั่นไม่ได้เป็นความฝัน แต่เป็นความจริงหรอกนะ?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ มายมิ้นท์ก็รีบกดหน้าประวัติการโทรออกมา พอเห็นด้านบนสุดของประวัติการโทร ก็ตกใจจนแทบจะตาถลนออกมาเลย