ที่ผมพาแพคฮันกยอลมาด้วยก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก เขาเข้ามาในเผ่าทีหลังสุดในกลุ่มพวกเรา และทันทีที่เข้ามาก็ต้องออกเดินทางไกลไปสำรวจอย่างยากลำบากอีก ภายนอกเขากำลังแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นไรอยู่ แต่กลิ่นอายของโลกใบเดิมน่าจะยังหลงเหลืออยู่เยอะเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่ภายในใจเขาจะไม่รู้สึกอะไร
ภายในใจที่ตั้งใจจะไม่เปิดเผยออกมาให้เห็น ถึงแม้ว่าจะน่าชื่นชม แต่ก็จำเป็นจะต้องถูกปลอบโยนสักครั้งสองครั้งเพื่อไม่ให้มันแตกสลายไป เพราะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาคือเกราะกำบังแห่งเทพเจ้า การตื่นของคลาสลับซึ่งมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาสูงมาก
“อืม จะว่าไป เข้ามาในเผ่าแล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ มีเรื่องอะไรยากลำบากหรือเปล่า”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ”
“รู้หรอกว่านายไม่โอเค เพราะฉะนั้นบอกมาเถอะ ต่อหน้าพี่คนนี้จะพูดออกมาทั้งหมดเลยก็ได้”
“งือ…”
พอตักเตือนอย่างอ่อนโยน แพคฮันกยอลจึงทำสีหน้าลังเลใจ ถึงอย่างนั้น การที่เขายังแอบสังเกตท่าทีของผม คงมีอะไรบางอย่างตะขิดตะขวงใจอยู่แน่ๆ
“เรื่องนั้น…มากกว่าที่จะบอกว่ายากลำบากน่ะครับ…”
“เสียใจนิดหน่อยแฮะ ไม่ยักรู้ว่าต่อหน้าพี่ฮันกยอลมีเรื่องที่ปิดบังด้วย”
“มะ ไม่ใช่นะครับ พี่! ก็แค่ผมรู้สึกเหมือนสร้างความเดือดร้อนให้น่ะครับ…”
“การแก้ปัญหาเรื่องนั้นก็ต้องเป็นงานของฉันสิ”
แพคฮันกยอลยังคงไม่ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่พอผมเร่งเร้าเขาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับพูดความในใจออกมา
“จริงๆ แล้ว…”
หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ผมส่งแพคฮันกยอลให้กลับไปก่อน ทำงานหมดแล้วก็จริงแต่ผมก็ยังไม่ได้กลับไปยังเลิฟเฮาส์ทันที อย่างไรก็เป็นเส้นทางที่จะไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดจะแวะไปดูแคลนเฮาส์สักครั้งเพื่อเช็คดูว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนแล้ว
พอมาถึงด้านหน้าแคลนเฮาส์ ผมก็ยืนยันได้เลยว่ามันเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตรงประตูใหญ่ที่เข้าไป มันไม่ใช่ประตูขึ้นสนิมเหมือนครั้งก่อนแล้ว แต่เป็นประตูไม้อันสวยงามและเรียบเป็นมันวาว
และพอเปิดประตูเข้าไปด้านใน ผมก็ได้เห็นสวนสวยๆ มีต้นไม้ขนาดใหญ่เกินหนึ่งแขนโอบกับดอกไม้และใบหญ้า มันเผยภาพทิวทัศน์อันโดดเด่นจนรู้สึกไปเองว่าอย่างกับยกเอาส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาไว้
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ทิวทัศน์ที่สวยงาม คงไตร่ตรองถึงการอยู่อาศัยและการเคลื่อนย้ายอย่างละเอียดแล้ววางโครงร่าง เส้นทางหลายๆ ทางจึงเปิดโล่งออกไว้อยู่
ตัวตึกเองก็กำลังเผยความสง่างามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่สะอาดสะอ้านแตกต่างกับเมื่อก่อน มองอย่างไรก็เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แต่มองอีกมุมก็ดูเหมือนบ้านพักตากอากาศที่สร้างขึ้นมาบนสวนด้วยเหมือนกัน
ผมอยากจะเข้าไปดูด้านในด้วย แต่น่าเสียดายที่มีฉากกั้นประตูเอาไว้อยู่ ดูเหมือนภายในจะยังทำการปรับปรุงใหม่ไม่เสร็จ ผมมองดูบ่อน้ำที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำสะอาดซึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวนแล้วจึงเบนทิศทางไปยังด้านนอกประตู อาจจะพูดได้ว่าจะต้องหาคนรับจ้างแล้วเติมเฟอร์นิเจอร์เข้าไปถึงจะสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคำนึงถึงว่านี่คือการเริ่มต้นแรก มันก็เป็นแคลนเฮาส์ที่เลอค่ามากๆ แล้ว
ท้องฟ้าค่อยๆ ทอแสงยามโพล้เพล้ พอได้รายงานการเดินทางไกลไปสำรวจ ทานอาหาร และตรวจดูแคลนเฮาส์แล้ว เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ผมมุ่งหน้าไปยังเลิฟเฮาส์ที่พวกสมาชิกเผ่าน่าจะกำลังรออยู่ก่อนที่เวลากลางวันจะหมดไป น่าจะไปทำงานที่ควรจะทำได้มากกว่านี้ แต่ผมคิดจะทำงานของวันนี้ให้เสร็จแล้วพักผ่อนดีกว่า
พอดันประตูของเลิฟเฮาส์เข้าไป ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องหยุดเดินลงครู่หนึ่ง คงรู้สึกได้ว่าประตูถูกเปิดออก โกยอนจูซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งจึงวิ่งเข้ามาต้อนรับผมทันที
“ซูฮยอน! ยินดีต้อนรับค่ะ กำลังรออยู่เลยค่ะ”
“อ้า ครับ ว่าแต่เดี๋ยวนะครับ นี่มันอะไร…”
ตรงกลางชั้นหนึ่งมีเรื่องที่ทำให้เมื่อครู่นี้ผมต้องจ้องมองฮายอนเกิดขึ้นอยู่ ผลตอบแทนที่ได้รับมาจากการออกเดินทางไปสำรวจครั้งนี้รวมกระทั่งผลตอบแทนที่ได้มาจากมิวล์ถูกวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ใบรายละเอียดของถูกวางเอาไว้บนอุปกรณ์แต่ละอย่างกำลังส่องแสงสว่างราวกับส่วนใหญ่ได้ประเมินคุณค่าสิ่งของเรียบร้อยแล้ว
“นี่ ดูออฟชั่นของคทานี้สิ! ออร์โดแห่งข้อบังคับเหรอ ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ คิกๆ”
“เสื้อตัวนี้มันอะไรล่ะเนี่ย วาบหวิวเกินไปหรือเปล่า”
“อือ เธออย่าใส่เชียวนะ”
“ไอ้บ้า นายจะเอาแต่แหย่ฉันใช่ไหม ช่วงนี้ฉันอดทนอยู่ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรให้ได้เห็นหรอกนะ”
ชั้นหนึ่งคึกคักเป็นอย่างมาก โต๊ะทั้งหมดถูกดันไปไว้ทางฝั่งหนึ่ง ส่วนสมาชิกเผ่าก็นั่งล้อมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้และดูของพวกนั้น รวมถึงอิมฮันนากับพวกดอกไม้กลางคืนที่อาศัยอยู่ที่เลิฟเฮาส์ซึ่งกำลังจ้องมองราวกับอิจฉาของพวกนั้นอยู่ด้วย
“ทำไมถึงวางของพวกนี้เรียงไว้ที่ชั้นหนึ่งล่ะครับ”
“เรื่องนั้น ห้องของซูฮยอนใหญ่สุดนี่คะ แต่ว่าพื้นที่มันมีไม่พอเพราะจะวางอุปกรณ์ทีละอันๆ…”
“โกยอนจู”
พอจ้องมองเธออย่างดุดัน โกยอนจูจึงแลบลิ้นออกมาด้วยใบหน้าที่ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบ จากนั้นเธอก็กลอกตาหนึ่งรอบพลางพูดขึ้น
“จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากจะขออยู่อย่างหนึ่งค่ะ”
“มาดามอิมน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ ในบรรรดาเด็กๆ ที่ทำงานอยู่ที่นี่ มีเด็กที่พอจะสามารถออกไปในฐานะผู้เล่นสายต่อสู้อยู่บ้างบางคนน่ะค่ะ การจะบอกเด็กพวกนั้นว่าอยากเป็นแรงขับเคลื่อน…”
“อืม”
‘ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่ดูใช้ได้เลยนะ นอกจากอิมฮันนา’
ในกลุ่มผู้เล่นจำพวกหาเลี้ยงชีพก็มีคนที่เสียดายชีวิตหรือยอมแพ้ไปก่อนเพราะค่าความสามารถต่ำ แต่คนภายในเลิฟเฮาส์นั้น ผมพิจารณาดูด้วยดวงตาที่สามก่อนแล้ว ตามที่โกยอนจูพูด มีคนที่ถ้าพยายามก็อาจเป็นไปได้อยู่คนสองคนเหมือนกัน แต่พูดตามตรงว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่จะเข้ามาอยู่กับเมอร์เซนต์นารี่ได้ เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจตั้งแต่แรกด้วย
“อู๊ย~ ซูฮยอน~ ไม่ได้โกรธอยู่ใช่ไหมคะ หืม”
“…ถ้าตั้งใจจะไต่ขึ้นมาก็จะต้องพยายามอย่างหนักมากๆ เลยครับ”
โกยอนจูคงเห็นสีหน้าของผมแข็งทื่อไป เธอจึงกอดแขนแล้วทำท่าทางออดอ้อน ผมถอนหายใจพลางพยักหน้า พอหันหน้าไปจึงรู้สึกได้ว่าพวกดอกไม้กลางคืนกำลังเหลือบมองผมอยู่ ดูจากที่บางคนกำลังทำสีหน้าแฝงความตกใจ ความจริงที่ว่าราชินีแห่งเงามืดกำลังทำท่าทางแอ๊บแบ๊วคงจะน่าตกใจไม่น้อย
จากนั้นผมก็สบตากับอิมฮันนาซึ่งยืนนิ่งๆ อยู่ข้างหลังพวกเธอ เธอก้มหัวลงอย่างนอบน้อมแล้วทำสีหน้าขอโทษ ผมพยักหน้าให้เพื่อบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นจึงเดินไปตรงที่ที่มีพวกอุปกรณ์จัดวางอยู่อย่างช้าๆ
ฮี้ๆ!
ลูกยูนิคอร์นเดินเล่นและกระโดดไปมาอยู่ท่ามกลางอุปกรณ์มากมาย แต่แล้วก็รับรู้ได้อย่างกับผีว่าผมมาจึงเริ่มวิ่งตรงมาทันที มันคงชอบบรรยากาศอึกทึกครึกโครม สีหน้าของมันจึงดูสนุกสนานเป็นอย่างมาก พอกอดลูกยูนิคอร์นเข้ามา ตอนนั้นสมาชิกเผ่าที่เคยสติหลุดไปกับอุปกรณ์ต่างๆ จึงเริ่มหันมามองผมทีละคนสองคน
“อ๊ะ พี่!”
“คิมซูฮยอน! คิมซูฮยอนนี่นา!”
“พี่ มาเมื่อไรล่ะ”
“หัวหน้า!”
ถึงแม้ว่าอันฮยอน วิเวียน แล้วก็อียูจองจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่เพราะอะไรกันแน่ แม้แต่ชินซังยงผู้เยือกเย็นในตอนปกติก็ยังตื่นเต้นขนาดนั้นด้วยเหรอ ผมลูบหัวของยูนิคอร์นซึ่งถูไถหัวของมันกับอ้อมแขนของผมด้วยความเร็วแสงแล้วเดินเข้าไปใกล้ สมาชิกเผ่าจึงเข้ามาห้อมล้อมผมในชั่วพริบตา
“พี่! พี่! ดูพวกอุปกรณ์หน่อยสิครับ! มันสุดยอดของสุดยอดเลยนะครับ! ออร์โดแห่งข้อบังคับ เจ้านี่น่ะ…”
“คิมซูฮยอน! ฉันขอไอ้นั่นนะ! ฉันอยากได้ไอ้นั่น!”
“พี่~ ตอนนี้คืนสคูเรพฟ์มาให้ฉันไม่ได้เหรอ แล้วก็~”
“รู้แล้ว รู้แล้ว เดี๋ยวก่อน ขอดูสักหน่อยแล้วมาคุยกัน”
ผมจัดการกับเด็กๆ ที่โวยวายเสียงดังราวกับเด็กเพิ่งคลอดแล้วจึงไปถึงที่ที่มีอุกกรณ์ต่างๆ อยู่อย่างยากลำบาก ตรงนั้นมีจองฮายอนกับคิมฮันบยอลกำลังร่ายเวทกู๊ดส์แอพเพรซอลไปทางอุปกรณ์ที่เหลืออย่างขันแข็ง ทั้งสองคนมองผมแล้วตั้งใจจะลุกขึ้นยืน แต่ผทยกมือขึ้นห้ามไว้
“ขอโทษทีค่ะ มีพวกที่ประเมินค่ายากอยู่เยอะก็เลย…”
“ไม่เป็นไรครับ คงจะเหนื่อยมาก และคงต้องลำบากอีกนิดนะครับ”
“ค่ะ ถ้างั้นฉันจะประเมินค่าให้เสร็จก่อนนะคะ ใกล้เสร็จแล้วล่ะค่ะ คุณฮันบยอล เริ่มอีกครั้งเลยค่ะ”
“ค่ะ”
ทั้งสองคนคงร่ายเวทจนปากแห้ง เส้นผมเปียกชื้นเหงื่อจึงติดอยู่ตรงแก้ม ผมมองพวกเธอที่เริ่มร่ายเวทอีกครั้งแล้วเริ่มพิจารณาดูพวกอุปกรณ์ที่ประเมินค่าเสร็จแล้ว ไม่สิ แค่ทำเป็นดูเฉยๆ
ต่อให้บอกว่าเป็นเวทกู๊ดส์แอพเพรซอล แต่ดวงตาที่สามก็แม่นยำกว่า เพราะอย่างนั้นผมจึงเรียกใช้ดวงตาที่สามทันที
[คาลิโก อาบราซัส(Caligo Abraxas)]
‘นกกะเทาะเปลือกไข่ที่ร้าวแล้วฟักออกมา ไข่ก็คือโลก คนที่ตั้งใจจะเกิดออกมาจะต้องทำลายโลกใบเดียวเท่านั้น’
อาบราซัส ดาบที่รอยด์ ผู้กล้าในอดีตเคยใช้ มองดูภายนอกแล้วเป็นดาบธรรมดาๆ แต่ถ้าเพิ่มพลังเวทมากกว่ากำหนดเข้าไปก็จะเผยให้เห็นความสง่างามอย่างแท้จริงที่มีแต่เดิม ถ้าดูตามเรื่องเล่าแต่โบราณ กรณีที่ผนึกคลายออกจะมีพละกำลังมหาศาลจนมีคำพูดที่ว่า ‘โลกจะถูกผ่าให้แยกออกจากกัน’ มันเป็นเพียงแค่ตำนานก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น พละกำลังที่หลับใหลอยู่ก็รุนแรงเสียจนโค่นล้มหัวหน้าปีศาจได้
แต่ตอนนี้ มันอยู่ในสภาพที่ถูกบังคับให้เสื่อมโทรมเนื่องจากจอมเวทผู้ชั่วร้าย เดิมทีชื่อของมันคือดาบเทพอาบราซัส แต่ตอนนี้มีคำว่าคาลิโก(Caligo, ความมืดมิด)ติดอยู่ด้วย จึงแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของดาบเวท
[พาราดิซุส เพลท เมล(Paradisus Plate Mail)]
เป็นเสื้อเกราะแบบป้องกันส่วนหน้าอกซึ่งสวมไว้กับร่างกายท่อนบนและได้รับพรของทูตสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความเสียหาย ‘ตามกฎธรรมชาติ’ ทั้งหมดที่ส่งผลต่อผู้สวมใส่ ให้เป็นความเสียหาย ‘ทางเวทมนตร์’ แล้วสะท้อนกลับ ความเสียหายที่ย้อนกลับไปแตกต่างกันตามกรณี แต่อย่างมากที่สุดคือ 20% ในกรณีที่ได้รับความเสียหายเกินกว่าผลกระทบที่สามารถดูดกลืนได้ก็จะไม่เกิดผลในการสะท้อนเกิดขึ้น
[ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์ (Orthros Long Boots)]
อาณาจักรโบราณของฮอลล์เพลนในอดีตอันแสนเนิ่นนานเคยมี ‘ดวงดาว’ ร่วงหล่นลงมา ในขณะเดียวกัน พระราชาที่มีความแคลงใจในสิ่งนั้นก็เคลื่อนย้ายดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมาเข้าไปในวัง พร้อมทั้งเชิญช่างหลอมโลหะกับพวกจอมเวทที่ดีที่สุดในสมัยนั้นมาวิเคราะห์ดวงดาว จากนั้นจึงดึงเอาส่วนหนึ่งมาทำเป็นอุปกรณ์
เนื่องด้วยบู๊ทส์นี้เป็นบู๊ทส์ที่ทำขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของดวงดาว มันจะสมบูรณ์ขึ้นในตอนพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าของวันที่หนึ่งพัน แล้วจะมีชื่อโอโรส์โรส์เพิ่มขึ้นมาติดกันด้วย มองผ่านๆ ดูแข็งกระด้างและหนักมาก เพราะสร้างขึ้นมาจากหินที่ยังไม่ได้ถลุง แต่มันติดตั้งเวทในการปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็คือเวทมนตร์ที่ทำให้น้ำหนักเบาและการทำความยืดหยุ่นให้เข้ากับฝีเท้าของผู้เล่น อีกทั้งยังมีเวทแรพิด(Rapid) เวทขั้นสูงสุดในสมัยโบราณถูกติดตั้งอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น เพียงแค่ผู้สวมใส่สามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ ก็จะสามารถแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวอันว่องไวราวกับผีสางจนไม่สามารถตามจับได้
มันยังถูกเรียกว่าแรพิดสตาร์(Rapid Star) ซึ่งนำเอาคำว่าแรพิดกับดวงดาวมารวมกันเป็นชื่อเล่นด้วย
[แสงแปลบปลาบส่องประกาย(Brilliant Flash) : ลอร่า ฟีลิส(Laura Phylis)]
ธนูที่หักเอากิ่งไม้ของต้นไม้แห่งโลก อิกดราซิลมาทำขึ้น เป็นอุปกรณ์ในตำนานที่ผ่านระยะเวลาอันยาวนานแล้วตกทอดมาถึงปัจจุบันพร้อมทั้งแฝง ‘ความอัศจรรย์’ อย่างหนึ่งเอาไว้ โดยถูกห่อหุ้มด้วยใบไม้ที่ได้รับพรอย่างแน่นหนาแล้วจุ่มลงไปในทะเลสาบแห่งเอลฟ์มากกว่าร้อยปี จากนั้นจึงเอาออกมา ไม่จำเป็นจะต้องมีสายธนูหรือลูกธนู ด้วยพลังเวทเพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างลูกธนูขึ้นมาจากแสงสว่างเป็นประกายได้ อีกทั้งว่ากันว่าลูกธนูที่ปล่อยไปเป็นเหมือนกับ ‘แสงแปลบปลาบ’ อย่างหนึ่งจึงมีชื่อว่า ‘แสงแปลบปลาบส่องประกาย’
[เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล(Yggdrasil’s Leaves Clothes)]
เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล ต้นไม้แห่งโลก ไม่ใช่ใบไม้ธรรมดาแต่สร้างขึ้นจากใบไม้ที่ผลิใบบนยอดสูงสุดของต้นอิกดราซิลที่ออกใบเพียงสิบปีครั้งเท่านั้น กลิ่นหอมกรุ่นของใบไม้พวกนั้นมีประสิทธิภาพมากมาย สามารถรักษาสมาธิที่นิ่งที่สุดเอาไว้ได้แม้แต่ในสถานการณ์เร่งด่วน และมีแรงต้านทานพลังเวทที่ทำให้จิตวิญญาณแปดเปื้อนด้วย อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการดูดซึมเวทสาย ‘น้ำ’ ด้วย แต่ถ้าจะพูดถึงข้อเสียหนึ่งอย่างก็คือ ไม่สามารถป้องกันส่วนที่ไม่สามารถอำพรางเอาไว้ได้
[รีซา บู๊ทส์(Rhiza Boots)]
บู๊ทส์ที่ทำขึ้นโดยตัดรากของอิกดราซิล ต้นไม้แห่งโลก มีประสิทธิภาพในการทำให้ร่างกายของผู้สวมใส่เบาหวิว และประสิทธิภาพนั้นจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่ออยู่ภายในป่า ในกรณีที่ ‘มนุษย์’ ไม่ใช่ ‘เอลฟ์’ สวมใส่บู๊ทส์นี้ก็จะครอบครองความสามารถในการกระโดดและเคลื่อนไหวร่างกายเท่าๆ กันกับเอลฟ์