เสียงของจูลั่วมีความโกรธเกรี้ยวอย่างมากรุนแรงอย่างมาก คำว่ารุนแรงในที่นี้ยากที่จะเสริมเข้าไป ถ้าหากพูดว่าเหมาะสมที่สุด ก็จะอยู่ที่การเพิ่มคำว่าอำมหิตลงไป ก็เหมือนกับนกเต้าแขกที่ส่งเสียงออกมาเป็นหยาดโลหิต อำมหิตยิ่งนัก เพียงแต่เช่นนั้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานะของเขา แน่นอน ถ้าหากสามารถนึกเชื่อมโยงไปถึงศัตรูของเขาในตอนนี้ คู่กรณีของเขาคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ บางทีอาจจะสามารถเข้าใจได้อยู่บ้าง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าผิดต่อคำสาบานอันศักดิ์สิทธิ์ในยามนั้น!”
เสียงกล่าวโทษด้วยความโกรธของจูลั่วก้องสะท้อนอยู่บนท้องฟ้าอันเงียบสงบของเมืองสวินหยาง ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับกวนซิงเค่อที่นิ่งเงียบ ผู้คนจำนวนมากที่ได้ยินคำพูดนี้ล้วนไม่รู้ว่าคำสาบานศักดิ์สิทธิ์คืออะไร สามารถนึกออกเพียงแค่คำพูดบางอย่างที่อยู่ในกฎหมายที่สูงส่งที่สุด
ความหมายโดยประมาณของคำพูดนั้นก็คือ ฟ้าดินไม่แบ่งเหนือใต้ ไม่ว่าสิ่งใดที่อยู่บนพื้นดิน ขอเพียงแค่อยู่ในพื้นที่พันธมิตรของโลกมนุษย์หรือแม่น้ำแดง ผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่อาจโต้เถียงกันเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ นอกจากว่าผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกโจมตีจะทำเรื่องที่ผิดต่อผลประโยชน์ของฝ่ายตนอย่างสมบูรณ์…นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าคำสาบานศักดิ์สิทธิ์
เมื่อพิจารณาจากเรื่องที่เหล่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจร่วมมือกันต่อต้านเผ่ามาร คำสาบานเช่นนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด การที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทำการโจมตีใส่จูลั่วกับกวนซิงเค่อ ก็เป็นการผิดต่อคำสาบานนี้อย่างร้ายแรงที่สุด
“เช่นนั้นพวกเจ้าเล่า ทุกคนบนโลกล้วนรู้กัน ถึงแม้ศิษย์พี่ของข้าจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นนักปราชญ์ และก็ไม่ได้รับตำแหน่งแปดมรสุม แต่ระดับการบำเพ็ญเพียรได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เนิ่นนานแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าทำการโจมตีเขาได้อย่างไร”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองไปทางประตูเมืองแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “หวังผ้อเป็นหนึ่งในห้าของคนหนุ่มที่มีโอกาสเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด เจ้าถึงกับคิดจะฆ่าเขาเพราะความเห็นแก่ตัว หรือว่านี่ไม่ใช่การผิดต่อคำสาบานศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราในยามนั้น”
สีหน้ากับน้ำเสียงของนางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก แต่กลับแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์
จูลั่วคำรามขึ้นมาด้วยความโกรธ “หวังผ้อไม่เห็นแก่ภาพรวม ข้าในฐานะผู้อาวุโสทำการสั่งสอนเขา จะเป็นความเห็นแก่ตัวได้อย่างไร”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นอย่างสงบ “ตระกูลจูแห่งเมืองเทียนเหลียงต้องการจะอยู่ไปนับพันนับหมื่นปี จะสามารถปล่อยให้หวังผ้อเติบโตต่อไปได้อย่างไร เจ้าไม่ยอมรับว่าเจ้ามีความเห็นแก่ตัว ก็อธิบายได้เพียงว่าเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้าแม้แต่ความจริงที่อยู่ในใจ”
จูลั่วโมโหอย่างมาก ขณะที่เตรียมจะโต้แย้ง เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็พูดต่อ “คำสาบานทั้งหมด ล้วนเป็นคำพูดจากใจ เห็นแก่หน้าใต้เท้าสังฆราชกับศิษย์พี่เหมย วันนี้ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้า ไปเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เพลิงโทสะของจูลั่วพลันแล่นเข้าสู่หัวใจ อาการบาดเจ็บยิ่งทรุดหนัก เลือดที่ไหลรินก็ยิ่งเพิ่มความเร็วขึ้นมา กวนซิงเค่อที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอด มองเห็นเขามีสภาพย่ำแย่ถึงขั้นนี้ ทันใดนั้น เขาก็มองอย่างเหยียดหยามไปที่เมฆดำที่พลิกตัวอยู่บนท้องฟ้าของเมืองสวินหยาง
มองอย่างเหยียดหยามหาใช่ชื่นชม เป็นการดูถูกเหยียดหยามและยิ่งเป็นความโกรธแค้น เขามองไปยังท้องฟ้า เมฆดำที่ลอยต่ำเหล่านั้นราวกับมีสัญญาณส่งให้กระจายออก ทำให้พอจะมองเห็นแสงจากดวงดาวหลายดวงที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน!
แสงดาวส่องประกาย ปกคลุมเมืองสวินหยาง ส่งลงมายังพื้นถนนที่เปียกชื้น ราวกับเกล็ดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ไอสังหารช่างเต็มเปี่ยม!
ห่างออกไปนับสิบลี้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองกวนซิงเค่อที่ตรงประตูเมือง แล้วยกมือขวาขึ้นมาโบกและชี้ออกไป
เสียงแตกกระจายดังขึ้นแผ่วเบา หลังจากนั้นเสียงแตกกระจายก็ดังขึ้นนับไม่ถ้วน
ราวกับเครื่องปั้นดินเผานับหมื่นชุดถูกการโจมตีของผู้แข็งแกร่งใช้แท่งเหล็กฟาดใส่พร้อมกันทั้งหมด
และก็เป็นราวกับห้วงแห่งจิตของผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนแตกออกพร้อมๆ กัน
ชัดเจนอย่างหาใดเปรียบ ชัดเจนไปถึงจิตวิญญาณ
เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง!
เกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาบนถนนพลันแตกกระจาย น้ำฝนที่เพิ่งจะแข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งก็แตกเสียแล้ว
ทุกสิ่งที่อยู่ในระยะห่างนับสิบเมตรจากที่นี่ไปถึงประตูเมือง ล้วนถูกทำลายไปแล้ว
หมวกงอบของกวนซิงเค่อก็ถูกทำลายเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว ริมฝีปากก็แตกเป็นแผล และเริ่มมีเลือดสดๆ ไหลออกมา
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความดุร้ายและหยิ่งยโส ในที่สุดในพริบตานี้ก็แตกร้าวไปอย่างสมบูรณ์ เขาไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว เขาพยุงจูลั่ว หันกายและเดินไปทางด้านนอกเมืองสวินหยางที่ราวกับถูกม่านราตรีปกคลุม แท้จริงแล้วกลับไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาวิ่งไปทางทุ่งกว้างที่ถูกบดบังตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงพริบตาก็หายไปอย่างไรร่องรอยแล้ว
……
……
ในเมืองสวินหยางพลันเงียบเชียบอย่างหาใดเปรียบ ราวกับว่าไม่มีคนอยู่เลยสักคน
คนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถจะเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ พากันหลบซ่อนอยู่ใต้เตียงหลังหน้าต่างในบ้านของตน ซึ่งยังคงไม่สงบใจ แม้แต่จะหายใจยังอึดอัดถึงขนาดนั้น
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถจะเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยากจะฆ่าซูหลีนั้น ก็ทำได้เพียงจากไปตามรอยเท้าของจูลั่วกับกวนซิงเค่อ รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งอย่างเหลียงหวังซุนกับเซวียเหอ
หัวเจี้ยฟูพาเหล่านักบวชที่อยู่ในเมืองสวินหยางออกจากถนนที่ถูกฝนสาดจนเปียกนี้ และทิ้งความเงียบที่ไร้คนรบกวนการพูดคุยไว้ให้กับพวกเขา…ในตอนนี้คนที่มีคุณสมบัติจะอยู่ที่ตรงนี้ นอกจากซูหลีกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้แล้ว แน่นอนว่าก็มีเพียงสามคนนั้นที่ใช้ชีวิตและพลังใจอันยากจะจินตนาการปกป้องซูหลีให้มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้
เหตุการณ์นี้เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของสวนโจว การตกอยู่ในวงล้อมของเผ่ามารที่พื้นที่ราบหิมะ หลังจากนั้นก็เป็นการล่าสังหารอย่างเลือดเย็นจากค่ายทหารมาจนถึงเมืองสวินหยาง ในที่สุดก็มาถึงจุดจบแล้ว การลอบสังหารซูหลีในครั้งนี้ในที่สุดก็มีผลลัพธ์ออกมา…ซูหลีไม่ได้ตายไป คนเหล่านั้นที่อยากให้เขาตายล้วนพ่ายแพ้แล้ว
ตั้งแต่ค่ายทหารจนถึงเมืองสวินหยาง เขาพาเฉินฉางเซิงมาด้วยตลอด แต่ว่าเขารู้อยากชัดเจนดี สุดท้ายแล้วผู้ที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ก็คือเพื่อนของเขาที่ทั่วทั้งต้าลู่ไม่มีใครรู้เลย
แน่นอน คำว่าเพื่อนนี้ต้องเก็บไว้ชั่วคราว
บางทีก็เป็นเพราะว่าต้องเก็บเอาไว้ชั่วคราว ดังนั้นถึงได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ซูหลีมองเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ เรียบง่ายก็กลับให้คนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลในการพูดขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงมาช้าขนาดนี้”
ไม่ว่าจะเป็นใครหลังจากที่ช่วยอีกฝ่ายแล้วถูกคำพูดเช่นนี้พูดใส่ล้วนต้องโมโหขึ้นมา แต่ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้โมโห แต่กลับตอบคำถามอย่างสงบ “ข้าถูกคนถ่วงเวลาเอาไว้พักหนึ่ง”
ความสงบเป็นพลังชนิดหนึ่งจริงๆ มันแสดงถึงความจริงจัง
ตั้งแต่หลายปีก่อนซูหลีก็รับรู้ถึงพลังชนิดนี้แล้ว เขาไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับพลังชนิดนี้อย่างไรมาโดยตลอด ที่เรียกว่าท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ไม่ไต่ถามเรื่องราวทางโลก เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะว่าเขาอยากจะหลบหนีพลังชนิดนี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาเองก็ไม่ได้เรียนรู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพลังชนิดนี้อย่างไร แต่อย่างน้อยเขาก็เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ถูกใครถ่วงเอาไว้”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ตอบคำถามของเขาโดยตรง เพียงแค่พูดว่า “ลูกศิษย์ของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส”
ก็เป็นในตอนนี้เอง เสียงเสียงหนึ่งที่ไม่ค่อยมั่นใจแต่สามารถมั่นใจได้ว่ามีความเป็นห่วงและตกตะลึงแฝงอยู่พลันดังขึ้น
“สวีโหย่วหรงได้รับบาดเจ็บหรือ นาง…ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
คนที่ถามคำถามนี้ออกมา แน่นอนว่าคือเฉินฉางเซิง
สายตาของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เบนมาหยุดอยู่ที่ร่างของชายหนุ่ม
นางไม่ได้ยิ้ม ต่อให้เป็นรอยยิ้มจางๆ ก็ไม่มี
นางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงน่าเกรงขาม น่าเคารพ และน่ากลัวยิ่งนัก
นางถามขึ้น “เจ้าก็คือเฉินฉางเซิงหรือ”
เฉินฉางเซิงเข้าใจในทันทีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
เขากับสวีโหย่วหรงเป็นปรปักษ์กันอย่างมาก เป็นปรปักษ์กันในหลายๆ ด้าน เขาเคยคิดมาก่อน ถ้าหากตนเป็นญาติกับสวีโหย่วหรง คิดว่าจะต้องไม่มีความรู้สึกดีใดๆ กับชายหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงอย่างแน่นอน
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นอาจารย์ของสวีโหย่วหรง เป็นคนที่รักและเอ็นดูสวีโหย่วหรงมากที่สุด
แต่ว่าเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ความเป็นตายล้วนต้องถามตัวเขาเอง เขาไม่อาจเลือกที่จะถอยได้ในตอนนี้
เขามองไปยังเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ขอรับ ข้าคือเฉินฉางเซิง”