รอยยิ้มของสตรีชุดขาวช่างเบาบางอย่างมาก ราวกับก้อนเมฆก็มิปาน และกระจ่างใสอย่างมากจนราวกับสายน้ำ
แต่กลับมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่นับหมื่น
มีทั้งการหวนรำลึกและอารมณ์หยอกเย้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ลึกที่สุด แต่ที่ไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้มิดกลับเป็นความผิดหวัง
มีสหายมาจากแดนไกล แต่เดิมก็ควรจะมีความสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นตอนที่อันตรายที่สุด มีเพื่อนเก่ามาช่วยแก้ปัญหาที่อันตรายที่สุด แต่สีหน้าของซูหลีกลับดูลำบากใจอยู่บ้าง
เป็นไปได้ว่าเพราะสตรีชุดขาวถามคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มและเสียงที่แผ่วเบา
ชั้นเมฆได้บดบังแสงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้าอีกครั้ง บนถนนเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอีกครั้ง และฝนก็ตกลงมาอีก
ท่ามกลางสายฝน เขากับสตรีชุดขาวไร้คำพูดกันทั้งคู่ เหลือเพียงความเงียบเท่านั้น
และในเวลานี้เอง ที่จริงแล้วการต่อสู้ยังคงกำลังดำเนินต่อไป
ชั้นเมฆไม่หยุดที่จะเคลื่อนไหว ราวกับว่าภายในมีสายฟ้าอยู่นับไม่ถ้วน กลิ่นอายของทวยเทพที่น่าเกรงขามสายนั้น ราวกับเมฆที่มีแสงเรืองรองกำลังไล่ตามดวงจันทร์ก็ไม่ปาน มันปกคลุม บดทับ และไล่ตามแสงของดวงจันทร์ไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็สยบดวงดาวบนท้องฟ้าที่ไกลออกไปนั้นลง
ในที่สุดสายฟ้าที่ไร้รูปร่างก็ทลายชั้นเมฆลงมา ผ่าลงมากลายเป็นสายฟ้าที่ส่องสว่างจำนวนนับไม่ถ้วน เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ! ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าของเมืองสวินหยางไม่ยอมหยุด สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน ไม่รู้ว่ามีคนธรรมดาจำนวนเท่าไหร่ที่หลบอยู่ใต้เตียงในบ้านของตน และถูกเสียงนี้ทำให้อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่ามีเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวจำนวนเท่าไหร่ที่หวาดกลัวจนต้องร้องห่มร้องไห้
ชั้นเมฆได้ฉีกขาดออกมาอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ราวกับว่าท้องฟ้าจะแยกออก เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรบนถนนที่ไกลออกไปนั้น ขอเพียงมีระดับในการบำเพ็ญเพียรค่อนข้างจะต่ำอยู่นั้น ก็จะถูกเสียงฟ้าผ่าเหล่านี้ทำให้หมดสติไปเลย
นี่ก็คือการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
นี่ก็คือการปะทะกันของพลังในระดับที่สูงที่สุดบนโลกใบนี้
สตรีชุดขาวหันหลังให้กับท้องฟ้า และไม่ได้ให้ความสนใจกับการต่อสู้ที่อยู่เหนือจินตนาการของคนธรรมดาที่ด้านหลังชั้นเมฆนั้นแม้แต่น้อย นางเพียงแค่มองซูหลีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
โลกหล้าเต็มไปด้วยเสียงฟ้าผ่า ดังกึกก้องกัมปนาทไม่ยอมหยุด
ทั้งสองคนยังคงไม่พูดจากัน และนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเสียงฟ้าผ่าก็หยุดลงแล้ว เมืองสวินหยางได้กลับมาเงียบสงบอย่างแท้จริง ชั้นเมฆค่อยๆ สงบลง เหลือทิ้งไว้เพียงรอยคล้ายเกล็ดปลาเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน นั่นเป็นร่องรอยที่เหลืออยู่ของพลังที่ปะทะกัน บนถนนด้านหลังสตรีชุดขาวปรากฏรอยแยกขึ้นนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเป็นทุ่งกว้างที่ถูกไถไปนับครั้งไม่ถ้วน และมีไอน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น
รอยแยกเหล่านั้นลึกมากขนาดไหนกัน หรือว่าจะลึกจนลงไปถึงชั้นหินหลอมเหลวที่อยู่ใต้พื้นดิน
แพ้ชนะรู้ผลแล้ว
อันที่จริง ตั้งแต่ชั่วพริบตาที่สตรีชุดขาวมาถึงเมืองสวินหยาง ผลแพ้ชนะของการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ผู้คนมองสตรีชุดขาวนางนี้และตกตะลึงจนถึงขีดสุด ในใจของเฉินฉางเซิงนอกจากจะตกตะลึงแล้ว ที่มีมากยิ่งกว่ากลับเป็นความงงงวย เขามักจะรู้สึกว่าชุดนักบวชสีขาวที่สตรีชุดขาวนางนี้ใส่อยู่ค่อนข้างจะดูคุ้นตา แม้แต่กลิ่นอายก็ยังดูคุ้นเคย ราวกับว่าเคยได้พบเจอที่ไหนมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น สตรีชุดขาวนางนี้เป็นใครกันแน่ ถึงกับสามารถเอาชนะจูลั่วกับกวนซิงเค่อแปดมรสุมทั้งสองคนที่ร่วมมือกันได้ ต่อให้จูลั่วจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนก็ตาม ระดับความแข็งแกร่งที่สตรีชุดขาวแสดงให้เห็นก็ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
มีชายผู้หนึ่งที่สวมหมวกงอบได้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูเมืองสวินหยาง และพยุงจูลั่วขึ้นมาจากกองเศษซากปรักหักพัง บนร่างของชายผู้นี้มีเลือดไหลอยู่ ในเลือดราวกับมีเศษซากของดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ มันส่องประกายระยิบระยับ เลือดกับดวงดาวเหล่านั้นทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ราวกับขอเพียงแค่หยดเดียว ก็สามารถที่จะทำลายเมืองได้ทั้งเมือง
แต่หมวกงอบของเขาก็มีรอยขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาสามรอย มองดูแล้วก็เหมือนพัดไม้สานที่ถูกใช้มากว่าเจ็ดสิบปี เก่าเสียจนดูไม่ได้ หลังจากนั้นก็ถูกสาวใช้เอามาฉีกระบายอารมณ์ มองดูแล้วช่างอนาถอย่างมาก
ชายที่แข็งแกร่งผู้นี้ แน่นอนว่าก็คือกวนซิงเค่อ สตรีชุดขาวที่สามารถจัดการจนเขามีสภาพอเนจอนาถขนาดนี้จะเป็นใครกัน เขามองไปบนถนนที่ไกลออกไปนับสิบลี้นั่น ใบหน้าซีดขาว ทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น
ซูหลีมองผ่านสายฝนไปทางนอกประตูเมือง แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าเคยพูดไปแล้วว่า ข้านั้นมีเพื่อนอยู่ เพียงแต่นางมีงานค่อนข้างมาก ที่พักก็ค่อนข้างไกล การที่จะไล่ตามมาต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่ว่าจะเป็นนอกประตูเมืองหรือว่าจะเป็นบนถนนก็ล้วนเงียบสงัดจนน่าประหลาด ทุกคนล้วนนิ่งเงียบเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ หัวเจี้ยฟูได้นำนักบวชทั้งหมดในเมืองสวินหยางมาคุกเข่าอยู่กลางสายฝน ยกเว้นเฉินฉางเซิงที่นอกจากเรื่องการบำเพ็ญเพียรแล้วก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอื่น ทุกคนล้วนคาดเดาถึงสถานะของสตรีชุดขาวนางนั้นได้แล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหลี พวกเขาจะไม่เงียบได้อย่างไร ถึงขนาดแอบตำหนิอยู่ในใจ
เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกลถึงเทียนหนาน ระยะห่างกับเมืองเทียนเหลียงที่แดนเหนือ แน่นอนว่าต้องห่างไกลอย่างมาก
บุคคลสำคัญอย่างสตรีชุดขาวผู้นี้ แน่นอนว่าต้องมีงานให้รับผิดชอบมากมายนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางซากประตูเมือง จูลั่วโกรธจนยากจะระงับ เขาเช็ดเลือดที่ริมฝีปาก และพูดขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
ซูหลีพูดอย่างภูมิใจ “ข้าเองก็อยู่มาหลายร้อยปี คนที่ยอดเยี่ยมเช่นข้า อย่างไรเสียก็ต้องมีเพื่อนที่ยอดเยี่ยมหนึ่งถึงสองคน เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทียนไห่หรือ ถึงได้มีความสุขกับการเป็นคนที่โดดเดี่ยวเดียวดาย”
ท่าทีดีอกดีใจเช่นนี้ ในสายตาของคนจำนวนมากล้วนรู้สึกน่ารังเกียจ แต่ว่าเขาคือซูหลี ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงทำได้เพียงอดทนไว้ ทว่าเฉินฉางเซิงกลับรู้สึกว่าอารมณ์ของซูหลีในตอนนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก
ก็เป็นในเวลานี้เอง สตรีชุดขาวได้มองไปทางซูหลีแล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ ก็เป็นเพียงแค่เพื่อนจริงๆ”
รอยยิ้มของซูหลีถูกเก็บไป แสดงให้เห็นถึงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงเห็นท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบนใบหน้าของเขา ซูหลีเป็นบุคคลในระดับสุดยอดของโลก และเขาก็เลือดเย็นไร้อารมณ์ โอหังแข็งกร้าว เหมือนว่าเขาจะดูถูกทุกคนบนโลก จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้อย่างไร ก่อนอื่นเลยเขาไม่ได้ตอบคำถามของสตรีชุดขาว และที่พูดกับจูลั่วกับกวนซิงเค่อ นี่ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว นี่เป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่ใครจะคาดถึง สตรีชุดขาวถึงกับไม่แม้แต่จะให้โอกาสในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนากับเขา
ซูหลีค่อนข้างจะจนใจ แล้วพูดขึ้น “ศิษย์น้อง ไม่เอาอย่างนี้สิ”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงอย่างมาก และคาดเดาขึ้นมาอย่างปัญญาอ่อน หรือว่าสตรีชุดขาวนางนี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งของเขาหลีซานที่ปลีกตัวจากโลกกัน
“เจ้าถึงกับสมคบคิดกับเจ้าคนบ้าคลั่งที่สองมือเต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้ ยังจะมีคุณสมบัติอะไรมาเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อีก!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของจูลั่วดังสะท้อนไปทั่วเมืองสวินหยาง
ในเมืองสวินหยางเงียบสงัดเป็นอย่างมาก
ไม่มีใครตอบคำถามของจูลั่ว ไม่มีคนกล้าที่จะตอบคำถามนี้ ไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะตอบคำถามนี้
เฉินฉางเซิงตกตะลึงจนไม่มีอะไรจะพูด รู้สึกว่าไม่อาจจะจินตนาการได้อย่างถึงที่สุด สตรีชุดขาวก็คือ…หนึ่งในห้านักปราชญ์ที่สูงส่งที่สุดในโลกมนุษย์ และถูกเรียกขานว่าเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้คู่กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อย่างนั้นหรือ
ในตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจ ในแดนใต้ เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับพรรคฉางเซิงถูกมองว่ามีที่มาร่วมกัน โดยเฉพาะพรรคกระบี่เขาหลีซานกับสถานศึกษาหนานซี แต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีความสัมพันธ์อันดี มักจะถูกเรียกว่าเป็นสำนักเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อโก่วหานสือเรียกสวีโหย่วหรง ก็จะเรียกนางว่าศิษย์น้อง เช่นนั้นแน่นอนว่าซูหลีก็สามารถมองเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้คนปัจจุบันเป็นศิษย์น้องได้ เพียงแต่…ที่จูลั่วตะโกนคำพูดนั้นออกมาด้วยความโกรธ สรุปแล้วนี่มันเป็นเพราะอะไรกันแน่
“ทำไมพวกเขาถึงเป็นห้านักปราชญ์ และพวกเจ้าเป็นได้เพียงแค่แปดมรสุม” ซูหลีมองไปที่จูลั่วกับกวนซิงเค่อแล้วพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “เพราะว่าพวกเจ้าไม่มีวันเทียบได้กับความเป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ของพวกเขา ก่อนที่จะรู้ไพ่ตายของข้าอย่างชัดเจน นอกจากพวกปัญญาอ่อนเช่นพวกเจ้าแล้ว ใครยังจะกล้ามาลงมือกับข้าง่ายๆ”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้มองมาที่เขาแวบหนึ่ง
ซูหลีชะงักไปแล้วพูดขึ้น “ความหมายของข้าคือสติปัญญาของพวกเจ้านั้นยังไม่พอ”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจเขาอีกแล้ว นางมองไปที่จูลั่วกับกวนซิงเค่อแล้วพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ข้ามีคุณสมบัติจะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ทั้งสองคนมีสิทธิ์มาตัดสิน ส่วนที่พูดถึงศิษย์พี่ พวกเจ้ามักจะพูดว่าทั้งสองมือของเขาเต็มไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์ แต่ลองถามตัวเองดู คนที่เขาฆ่าไหนเลยจะมากเท่ากับคนที่พวกเจ้าฆ่า ไหนเลยจะมากเท่าคนที่เหล่านักปราชญ์ฆ่า”
กวนซิงเค่อก้มหน้าลง และซุกซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้หมวกงอบอันยับเยิน
เมื่อจูลั่วได้ยินก็โกรธเป็นอย่างมาก และตะโกนขึ้น “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดเช่นนี้ช่างเหลวไหลนัก!”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นอย่างสงบ “ในตระกูลของทุกท่านมีนาดีเป็นพันไร่ ข้ารับใช้นับไม่ถ้วน ในปีที่มีภัยแล้งไม่เคยลดค่าเช่า นั่นบีบบังคับให้ชาวนาต้องตายไปเท่าไหร่ นักปราชญ์เองก็เป็นเช่นนี้ แค่ออกคำสั่งมาอย่างหนึ่ง ก็จะมีคนมากน้อยเท่าไหร่ที่ต้องตายไปอย่างไร้ความผิดเพราะเรื่องนี้ ศิษย์พี่ข้าในชีวิตไม่เป็นแปดมรสุม ไม่เป็นนักปราชญ์ นี่ถึงจะเรียกว่ามีเมตตาอย่างแท้จริง ตรงไหนกันที่เลือดเย็น”
ทั่วทั้งเมืองล้วนนิ่งเงียบ ทุกคนราวกับกำลังครุ่นคิด
ซูหลีโบกมือขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “เกินไปแล้ว ออกจะเกินไปบ้างแล้ว”