ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 139 มีสหายมาจากแดนใต้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อได้ยินคำพูดของจูลั่ว จิตใต้สำนึกพลันสั่งให้เฉินฉางเซิงหันหน้ากลับไป มองดูซูหลีกับมือสังหารที่ชื่อหลิวชิงผู้นั้น

ตอนที่ออกจากค่ายทหารที่ชายแดน แล้วได้พบกันที่นอกป่า เขาชัดเจนอย่างมากว่ามือสังหารอันดับสามของแผ่นดินที่แสนน่ากลัวผู้นี้ได้แอบตามตนกับซูหลีมาโดยตลอด เรื่องนี่ทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมาก ความกดดันก็สูงมาก ขนาดที่บางครั้งก็รู้สึกว่าจะทนรับไม่ไหวแล้ว

จนกระทั่งถึงช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ตัวเขาที่อยู่กลางสายฝนได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูหลีกับมือสังหารผู้นั้น หลังจากนั้นก็เห็นกระบี่ของมือสังหารเป็นราวกับกิ่งก้านที่แหวกทำลายพระจันทร์กลางน้ำแทงเข้าไปยังร่างแยกของจูลั่ว เขาถึงได้ตกตะลึงและพบว่า ที่แท้ที่มือสังหารผู้นั้นติดตามตนกับซูหลีมาหลายวันขนาดนี้แต่ไม่เคยลงมือเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่เพราะว่ามีความอดทนที่แสนน่ากลัว ไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังหาโอกาสที่ดียิ่งกว่า แต่เป็นเพราะว่าเขาปกป้องซูหลีมาโดยตลอด เขารอคอยนาทีที่อันตรายที่สุดเพื่อปรากฏตัวออกมา!

หลิวชิงถึงกับใช้เพลงกระบี่วิหคทองได้ ต้องรู้ว่าเพลงกระบี่วิหคทองเป็นวิชาลับที่ซูหลีคิดค้นขึ้น จากตรงนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูหลีจะต้องใกล้ชิดกันอย่างมากเป็นแน่ เช่นนี้แล้ว เมืองสวินหยางในค่ำคืนนี้เป็นเพียงกับดักอย่างหนึ่งจริงๆ และนี่ไม่ใช่กับดักของราชสำนักต้าโจวกับนิกายหลวง แต่เป็นกับดักของเขาหลีซาน เป็นกับดักของซูหลีกับมือสังหารผู้นั้น

นี่ก็คือความคิดของเฉินฉางเซิงในเวลานี้ ซึ่งเหมือนกันกับความคิดของจูลั่วรวมไปถึงเหล่าผู้คนที่อยู่ท่ามกลางสายฝนในตอนนี้ แต่หลิวชิงไม่ได้ยอมรับ ต่อให้เพลงกระบี่วิหคทองของเขาจะแสนสะดุดตาเช่นนั้น ในสายฝนยังมีเปลวเพลิงที่ที่ยังไม่ดับมอดปลิดปลิว

เขาเป็นเพลงกระบี่ของเขาหลีซาน แต่เขาไม่ใช่คนของเขาหลีซาน

ไม่รู้เพราะเหตุใด คำพูดที่ไม่มีความน่าเชื่อถือเช่นนี้ กลับทำให้เฉินฉางเซิงเชื่อแล้ว แน่นอนว่าจูลั่วไม่มีทางเชื่อ เขามีการตัดสินของตนเอง เพียงแค่ในตอนนี้เขาไม่มีเวลา และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปค้นหาว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้มีความจริงอะไรที่ซ่อนอยู่กันแน่

จูลั่วมองไปทางซูหลี สีหน้ามีความเย็นชา สีแสงจันทร์ที่อยู่ภายในแววตากลับจะวาบประกายขึ้นมา

เขามาที่เมืองสวินหยางในวันนี้ ก็เพื่อจะฆ่าคนผู้นี้

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เขาเป็นแปดมรสุม ก็ไม่กล้าจะพูดว่าตนมีความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะซูหลี ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้ว่าตอนที่ซูหลีฝ่าวงล้อมของเผ่ามารออกมาได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีเขาคิดว่าการฆ่าซูหลีให้ตายเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายเป็นอย่างมาก กระทั่งไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือด้วยตัวเอง แต่ดูจากในตอนนี้แล้ว ต่อให้เขาลงมือด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจเห็นความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ

เขาถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก

คนอย่างซูหลีนี้ ช่างฆ่าให้ตายได้ยากเย็นจริงๆ

ในเหตุผลเดียวกัน ถึงแม้เขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยากที่จะถูกฆ่าให้ตาย ในสายฝนที่เทกระหน่ำนี้ หวังผ้อ หลิวชิง เฉินฉางเซิงสามารถพูดได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด มีปัญญามากที่สุด กระทั่งสามารถพูดได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สามารถทำให้จูลั่วบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไม่อาจจะคาดถึง แต่กลับไม่อาจทำให้เขาตายไปหรือว่ายอมแพ้ได้

“ที่จริงข้าคำนวณพลาดไปเรื่องหนึ่ง” จูลั่วที่ถูกขวางกั้นด้วยม่านที่ถักทอมาจากหยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่ซูหลีแล้วพูดขึ้น “ทุกคนล้วนรู้ว่าถึงเจ้าจะดูแล้วสบายๆ ไม่ใส่ใจ ท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ แต่ที่จริงแล้วเจ้าโอหังถือดีและมีคุณธรรมสูงส่ง บนโลกนี้ไร้มิตรสหาย และเขาหลีซานก็ไม่สามารถส่งคนมาช่วยเจ้าได้ แต่คิดไม่ถึงว่า ถึงกับยังมีคนที่ยอมมาช่วยเจ้าคนเลือดเย็นเช่นเจ้า”

ที่คำพูดนี้พูดถึง แน่นอนว่าก็คือหวังผ้อกับเฉินฉางเซิงและยังมีหลิวชิงทั้งสามคน โดยเฉพาะสองคนแรก ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือว่าอะไรอย่างอื่นก็ล้วนแตกต่างกับซูหลี รูปแบบพฤติกรรมของพวกเขาจะมีเจตนาดีต่อโลกซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาซูหลีมักจะดูถูกเย้ยหยันมากที่สุด แต่เฉินฉางเซิงก็ไม่ทอดทิ้ง หวังผ้อมาไกลนับพันลี้ก็มาเพื่อช่วยเขา ราวกับจะบอกกับซูหลีว่าเขาที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวและฆ่าคนมานับไม่ถ้วนเช่นนี้ ในโลกใบนี้มิได้มีแต่ความหนาวเหน็บ อย่างไรก็ยังมีคนบางส่วนที่คู่ควรให้เชื่อใจได้

“แต่เจ้าก็ควรจะชัดเจนดี พวกเขาช่วยเจ้าเอาไว้ไม่ได้”

จูลั่วมองร่มกระดาษทองที่อยู่ในมือของซูหลี แล้วพูดขึ้นต่อ “ในวันนี้เจ้าไม่อาจจะมีชีวิตรอดไปได้ การดิ้นรนเหล่านี้ของเจ้ามีเพียงแต่จะเสียแรงเปล่า เป็นเพียงการถ่วงเวลาเท่านั้น”

ซูหลีมองเขาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าเพราะไม่ควรคู่ให้ใส่ใจหรือเพราะว่ามีเหตุผลอื่น

“เจ้าถ่วงเวลาจนหวังผ้อลงมือ ถ่วงเวลาจนมือสังหารผู้นั้นลงมือ แต่ว่า เช่นนั้นแล้วอย่างไร”

จูลั่วชี้ไปที่ตัวเมืองรอบด้านที่มืดมิดราวรัตติกาลกับทุ่งกว้างที่ไกลออกไป แล้วพูดขึ้น “เจ้ามองดูโลกใบนี้ มีเพียงแค่เจ้าทึ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งกับภูตผีผู้ไม่อาจพบเจอแสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าของเจ้าตนหนึ่ง แต่พวกข้าคือทั่วทั้งโลก”

ในเวลาเดียวกับที่เขาพูดประโยคนี้ รองเท้าของเขาก็ค่อยๆ ออกห่างจากแอ่งน้ำ ร่างกายได้ลอยขึ้นไปอยู่ท่ามกลางสายฝน เรือนผมปลิวสยาย กลิ่นอายพลังปราณที่ดุดันครอบคลุมไปทั่วทั้งเมืองสวินหยาง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากหน้าอกและง่ามนิ้วของเขาของเขา หยดลงบนพื้นดินที่ห่างออกไปนับสิบจั้ง ส่งเสียงดังแหมะๆ แผ่วเบา

ในที่สุดสายฝนก็หยุดลง หมู่เมฆแยกออกอีกครั้ง เผยให้เห็นท้องฟ้าที่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ ราวกับว่ามีดวงจันทร์ เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนราวกับแสงจันทร์สาดส่องลงมา แสงจันทร์เป็นดั่งสายน้ำที่กระเพื่อมแผ่วเบา และไหลรินอยู่บนท้องถนน

พื้นถนนที่แข็งแกร่งปรากฏรอยแยกที่ลึกจนไม่เห็นก้นขึ้นนับไม่ถ้วน รอยเหล่านั้นล้วนเป็นรอยกระบี่

นี่ก็เป็นผลลัพธ์ในการปลดปล่อยกลิ่นอายพลังปราณทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์

จูลั่วตัดสินใจจะปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตนออกมา

หวังผ้อพลันเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน “ผู้อาวุโส จ่ายค่าตอบแทนด้วยอายุขัยสองร้อยปีก็ไม่เสียดายเช่นนั้นหรือ”

จูลั่วได้บาดเจ็บสาหัสแล้ว ถ้าหากคิดจะฆ่าซูหลีให้ตายโดยไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากยิ่งกว่าเดิม เขามองหวังผ้อแล้วพูดขึ้น “เจ้าเด็กน้อยตระกูลหวัง เจ้าเองก็จ่ายด้วยอายุขัยไปยี่สิบปีเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ก่อนหน้าในตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ดาบของหวังผ้อที่ทำให้ฮว่าเจี่ยเซียวจางกับเหลียงหวังซุนสองคนบาดเจ็บสาหัส ต้องรู้ว่าถึงแม้เขาจะเป็นอันดับหนึ่งของประกาศเซียวเหยา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของทั้งสามคนนั้นใกล้เคียงกัน เขาต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง และยังใช้เวลาที่สั้นที่สุดทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป แน่นอนว่าต้องใช้วิชาลับที่แข็งแกร่งอย่างมากจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง

หวังผ้อทำเช่นนี้แล้ว สิ่งที่เขาต้องแลกก็มากมายนัก

เซียวจางกับเหลียงหวังซุนในตอนนั้นก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้เขาถามจูลั่ว จูลั่วก็ย้อนคำถามนี้ให้กับเขา

คิ้วของหวังผ้อพลันถูกสายฝนชะล้างลงมา ยิ่งดูจืดจาง ยิ่งดูตกต่ำ ชุดก็ถูกสายฝนสาดจนเปียกปอน มองดูแล้วยิ่งมอซอ

ถ้าหากเขาเป็นพนักงานบัญชี เจ้าของที่เขาทำงานด้วยคงล้มละลายไปแล้ว

แต่คำพูดของเขายังคงสงบนิ่งและทรงพลังอยู่เช่นนั้น

“ข้ายังอายุน้อย แต่ผู้อาวุโสท่านอายุมากแล้ว”

กาลเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดและก็ไม่ยุติธรรมที่สุดเช่นกัน

อายุ ก็คือสิ่งที่หวังผ้อได้เปรียบจูลั่วที่สุด

ซูหลีที่ไม่ได้พูดจามาโดยตลอด อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง ในเสียงหัวเราะมีความสุขใจอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด

หลังจากนั้น เขาก็พูดกับหวังผ้อขึ้น “พวกตาแก่ไม่กี่คนนี้ มีเพียงแค่จะแก่ตาย ไม่มีทางพ่ายแพ้ เจ้าไม่ต้องไปเตือนเขา”

หวังผ้อเข้าใจแล้ว ผู้คนบนถนนก็เข้าใจแล้ว ถ้าหากในคืนนี้จูลั่วถอยกลับไปเช่นนี้ เช่นนั้นยังจะสามารถอยู่ในตำแหน่งทวยเทพของต้าลู่ได้อย่างไร ยังจะสามารถวางตัวเป็นแปดมรสุมได้อย่างไร

ในเมื่อเป็นแปดมรสุม ก็ไม่สามารถพ่ายแพ้ และทำได้เพียงชนะเท่านั้น

ต่อให้ต้องจ่ายด้วยอายุขัยกว่าสองร้อยปี

เสียงหัวเราะของซูหลีดังสะท้อนอยู่ในเมืองสวินหยางที่เงียบสงัด เต็มไปด้วยความเย้ยหยันที่มีต่อชื่อเสียง และวงศ์ตระกูลที่ยาวเหยียด

จูลั่วมองไปยังท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย้ยหยัน

รอยยิ้มของซูหลีถูกเก็บไปในทันที

จูลั่วมองไปที่เขาแล้วพูดหยอกเย้าขึ้น “หรือว่าเจ้าไม่เคยคิดมาก่อน ในเมื่อพวกข้าไม่กี่คนตัดสินใจจะฆ่าเจ้า หรือว่าตาแก่อย่างพวกข้านี้จะมาเพียงแค่คนเดียว เจ้าถ่วงเวลา สุดท้ายแล้วก็ยังคงดึงตัวเองเข้าไปสูงบึงลึก จะเสียใจในภายหลังหรือไม่”

ในเมืองสวินหยางสายฝนได้หยุดลงแล้ว เมฆบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ กระจายตัวไป แต่กลับยังคงมืดครึ้มเสียจนไม่รู้ว่าเป็นเวลาใด

ตรงกลางท้องฟ้าราวกับว่ามีดวงจันทร์ลอยอยู่ ท่ามกลางมวลเมฆบางครั้งก็แอบซ่อนบางครั้งก็ปรากฏ

อีกครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า ได้ปรากฏดวงดาวที่ส่องสว่างขึ้นนับไม่ถ้วน

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อมองดูท้องฟ้าและดวงดาวเหล่านั้น ก็พบว่าดาวโชคชะตาของตนไม่ได้อยู่ในนั้น ก็พอจะเข้าใจว่าดวงดาวเหล่านั้นล้วนเป็นของปลอม

ผู้มาเยือนเป็นใครกัน ถึงกับสามารถทำให้ฟ้าดินเกิดภาพฉากที่เหนือธรรมดาเช่นนี้

สีหน้าของหวังผ้อเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา หลิวชิงที่ยืนอยู่หน้าม้าของซูหลีก็ก้มหน้าลง เลือดสดๆ ไหลอาบลงจากใบหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ บนถนนที่ไกลออกไปมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมา บ้างก็มีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ต่อให้เป็นสีหน้าของเหลียงหวังซุนกับเซวียเหอก็ยังเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด พวกเขาคิดไม่ถึงเลย ว่าค่ำคืนนี้ถึงกับเกิดการต่อสู้ที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้

หัวเจี้ยฟูมีใบหน้าซีดขาว ในใจคิดว่าเช่นนี้จะทำอย่างไรดี

……

……

มีคนเดินทางมาถึงเมืองสวินหยางแล้ว

เขายังไม่ได้ปรากฏตัว ท้องฟ้าก็ปรากฏทะเลแห่งดวงดาว

พลังจิตที่แข็งแกร่งค่อยๆ กล้ำกรายมา น้ำที่ขังอยู่บนถนนถูกสั่นสะเทือนจนกระเพื่อมขึ้นมา

คนผู้นั้นมีชื่อว่ากวนซิงเค่อ เขาอาศัยอยู่ที่ชายทะเลหรือดินแดนต้าซี ทุกๆ ค่ำคืนคอยชมดาวมาเป็นเวลากว่าสามร้อยปีแล้ว

คนผู้นั้นสนิทสนมกับจูลั่วเป็นอย่างมาก ถูกเรียกขานว่าดาราและจันทราผู้เป็นหนึ่ง แน่นอนว่าเขาก็เป็นหนึ่งในแปดมรสุมเช่นกัน

ในเมืองสวินหยางพลันเงียบสงัด

หวังผ้อหันกายไปมองเฉินฉางเซิง แล้วพูดขึ้น “เจ้าควรต้องไปแล้ว”

มือของเฉินฉางเซิงที่กุมกระบี่อยู่สั่นเทา แล้วพูดขึ้น “แล้วท่านเล่า”

หวังผ้อคิดดูแล้วถึงได้พูดขึ้น “ข้าอยากจะลองดูอีกครั้ง”

แม้รู้แก่ใจว่าไม่สามารถทำได้แต่กลับจะทำ แม้รู้แก่ใจว่าไม่อาจสู้ได้แต่กลับจะสู้

หวังผ้อได้ทำบัญชีให้กับตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยมาสามปี ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่ผิดพลาด

คำพูดของเขา แต่ไหนแต่ไรมาล้วนทำได้ทั้งนั้น

เขาคิดว่าซูหลีไม่ควรจะตายในคืนนี้ เขาก็จะพยายามต่อสู้จนถึงที่สุด แต่เขาคิดว่าเฉินฉางเซิงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก เพราะว่าเฉินฉางเซิงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ยังมีเรื่องราวในวัยหนุ่มสาวอีกมากมายให้ไปใช้ชีวิต ไปลองรับรู้

เฉินฉางเซิงเองก็คิดขึ้นมาอย่างจริงจัง เพียงแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะจากไปหรือไม่

สายฝนในวันนี้ค่อนข้างจะเหน็บหนาว กระบี่ของจูลั่วเยือกเย็นอย่างมาก แต่เลือดของเขาก็ยังคงร้อนอยู่

สุดท้ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจ

แต่ไม่ว่าใครก็รู้ การตัดสินใจของเขา กระทั่งการตัดสินใจของหวังผ้อล้วนไม่มีความหมายอะไรแล้ว

หวังผ้อ เฉินฉางเซิง หลิวชิงทั้งสามคน ได้บีบให้จูลั่วมาถึงจุดนี้แล้ว ก็เพียงพอที่จะภาคภูมิใจในตัวเองได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กลางสายฝนนี้จะต้องถูกบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะทำให้มากยิ่งกว่านี้อีกแล้ว

ผู้แข็งแกร่งสองคนที่อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ได้มาถึงเมืองสวินหยางในเวลาเดียวกัน

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว

จิตใต้สำนึกของหลายคนล้วนสั่งให้มองไปทางซูหลี

ผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนนั้นมาเพื่อคนผู้นี้

ทันใดนั้น เหล่าคนที่อยากจะฆ่าซูหลีนั้นพลันเกิดความยำเกรงและอิจฉาขึ้นมากมาย

เผ่ามารอยากจะฆ่าเขา วางแผนการร้ายมาหลายปี ผู้แข็งแกร่งออกมาจนหมด ใช้กองทัพนับหมื่นล้อมพื้นที่ราบหิมะเอาไว้

เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส มนุษย์โลกคิดจะฆ่าเขา ก็ส่งบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาสองท่าน

ชีวิตเช่นนี้ ช่างคู่ควรให้ภูมิใจจริงๆ ช่างมีเกียรติอย่างมาก พูดได้ว่าไม่มีอะไรให้เสียใจ

ผู้คนล้วนอยากจะรู้อย่างมาก ในนาทีสุดท้ายของชีวิต คนอย่างเช่นซูหลีนี้ จะพูดอะไรออกมาบ้าง

ภายใต้การจับจ้องของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน ในท้ายที่สุดซูหลีก็เอ่ยปากขึ้นมา

เขามองไปที่จูลั่วที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า แล้วพูดขึ้น “สามารถรออีกสักพักได้หรือเปล่า”

นี่เหมือนกับการพูดเรื่องตลกอย่างมาก

แล้วยังเป็นการพูดเรื่องตลกฝ่ายเดียว

จูลั่วขมวดคิ้ว แล้วพูดขึ้น “ในตอนนี้ยังคิดจะถ่วงเวลา ไม่ค่อยเหมาะกับสถานะของเจ้า หรือจะพูดว่าอาจารย์ปู่เล็กของเขาหลีซานก็เป็นคนเช่นนี้ และหวาดกลัวทะเลแห่งดวงดาวหลังจากที่ตายไปแล้ว”

“ถูกต้อง ข้ากำลังถ่วงเวลา” เสียงของซูหลีสงบอย่างมาก “จากค่ายทหารมาจนถึงเมืองสวินหยาง ข้ากำลังถ่วงเวลามาโดยตลอด เพราะว่าเขาอยู่ค่อนข้างไกล การจะมาจำเป็นต้องใช้เวลาที่นานมาก”

จูลั่วถามขึ้น “เจ้ากำลัง…รอคอยคนมาโดยตลอด”

ซูหลีพูดขึ้น “ถูกต้อง”

จูลั่วถามต่อ “ไม่ใช่หลิวชิงหรือ”

ซูหลีเอ่ยตอบ “เขาตามข้ามาตลอด เหตุใดต้องรอ อีกทั้งข้ายังคิดว่าเขาจะมาฆ่าข้า”

เฉินฉางเซิงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางหลิวชิงแวบหนึ่ง ในใจคิดว่ามือสังหารผู้นี้กับซูหลีมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่

จูลั่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “เช่นนั้นเจ้ากำลังรอใครอยู่”

ซูหลีพูดขึ้น “ข้ากำลังรอเพื่อนคนหนึ่ง”

จูลั่วถามขึ้นอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเองก็มีเพื่อนด้วยหรือ”

ถ้าหากคำพูดนี้เป็นการถามคนทั่วไป ก็ออกจะเหลวไหลอย่างมาก คนที่มีชีวิตอยู่บนโลก กินธัญพืชมากมาย ทั้งผักสดและผลไม้ ใครจะไม่มีเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกิน หรือว่าเพื่อนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน สรุปแล้วก็ล้วนเป็นเพื่อนทั้งนั้น แต่ว่าที่ประโยคนี้ถามคือซูหลี ดังนั้นจึงไม่เหลวไหล

ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้กัน ซูหลีไม่เคยเชื่อใจใคร และไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหาย

แม้แต่เฉินฉางเซิงก็ยังรู้เลยว่าเขาไม่มีเพื่อน

เหล่าศิษย์เขาหลีซานเป็นศิษย์ของเขา กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเป็นครอบครัว แต่ว่าไม่ใช่เพื่อน

หวังผ้อไม่ใช่เพื่อนของเขา เฉินฉางเซิงไม่ใช่ เห็นได้ชัดเจนอย่างมากว่าหลิวชิงเองก็ไม่ใช่

พูดให้ชัดเจนคือ บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่เลื่อมใสในตัวซูหลี

แต่ว่าผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นเพื่อนของเขานั้นมีน้อยมาก

และคนเหล่านั้นในสายตาของซูหลี ก็ล้วนเป็นพวกคนชรา เป็นไม้ผุ และเป็นพวกตาแก่โง่งม

ยกตัวอย่างเช่นจูลั่ว ยกตัวอย่างเช่นกวนซิงเค่อที่ใกล้จะมาถึงแล้ว

จูลั่วมั่นใจอย่างมาก บรรดาคนที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นเพื่อนของซูหลีเหล่านั้น ก็คือคนไม่กี่สิบคนที่มีความสามารถพอจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ของต้าลู่ได้ แน่นอนว่าไม่มีทางมีคนที่เป็นเพื่อนของซูหลีอยู่ในนั้น

ความเป็นจริงที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าก็คือ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกสิบกว่าคนนั้น ส่วนมากล้วนเป็นศัตรูของซูหลี

จูลั่วไม่เข้าใจว่าคนที่ซูหลีรอคอยเป็นใครกันแน่ ถ้าหากเพื่อนของเขาเป็นชาวนาธรรมดาผู้หนึ่ง เช่นนั้นมิตรภาพนี้ก็น่าประหลาดอย่างมากแล้ว ช่างเหมาะสมกับความหมายในสุนทรียศาสตร์อย่างมาก แต่นั่นจะไปมีความหมายอะไร

“คนเช่นเจ้านี้ยังมีเพื่อน คนที่ยอดเยี่ยมอย่างข้าจะไม่มีเพื่อนได้อย่างไร”

ซูหลีมองจูลั่วแล้วพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ปัญญาอ่อน!”

ตามเสียงพูดของเขาที่จบลง ทะเลแห่งดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

กลิ่นอายพลังปราณที่ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามจนถึงขั้นเหมือนกับทวยเทพได้สกัดกั้นความกดดันทั้งหมดของทะเลแห่งดวงดาวแห่งนี้

หลังจากนั้น คนผู้หนึ่งได้เดินทางมาจากทิศใต้

ผู้ที่มาคือเพื่อนเก่าของซูหลี

ชุดสีขาวของคนผู้นั้นโบกสะบัด พริบตาเดียวก็บินไปได้นับสิบลี้ จากทุ่งกว้างที่นอกเมืองก็มาถึงภายในเมืองสวินหยาง

คนผู้นั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง กำลังสวมชุดนักบวชสีขาว

ฝุ่นควันนับหมื่นลี้ ล้วนปรากฏอยู่บนแขนเสื้อ ชุดสีขาวได้เลอะไปเสียแล้ว

นางโฉบผ่านมาที่ตรงหน้าของจูลั่ว

จูลั่วส่งเสียงร้องที่ตกตะลึงอย่างมากขึ้นมา หลังจากนั้นก็ฟันกระบี่ออกไป!

สตรีชุดขาวยกมือขึ้น แขนเสื้อขยับน้อยๆ

ก็เป็นเพียงการโบกเบาๆ เมฆบนท้องฟ้าก็ขยับขึ้นมาอย่างน่ากลัว

ชุดที่เปรอะเปื้อนบดบังดวงจันทร์

แสงจันทร์พลันอับแสงลง

หลังจากนั้น จูลั่วก็ถอยไป ถอยไปอย่างรวดเร็ว ถอยเพียงครั้งเดียวก็ไปไกลนับสิบลี้ จนกระทั่งสุดท้ายได้กระแทกเข้ากับประตูเมืองอย่างแรง

เสียงกระแทกดังขึ้น ฝุ่นควันกระจัดกระจาย

หลังจากที่เฉินฉางเซิงตะโกนว่าซูหลีอยู่ที่นี่ ประตูเมืองสวินหยางก็ปิดสนิทมาโดยตลอด

ในตอนนี้ ในที่สุดประตูเมืองสวินหยางก็เปิดออกแล้ว

ประตูเมืองถึงกับหักโค่นลงมาแล้ว

เศษไม้กระจายอยู่เต็มพื้น จูลั่วก็คุกเข่าอยู่ตรงกลางนั่น และกระอักเลือดออกมาไม่หยุด

บนถนน สตรีชุดขาวนางนั้นค่อยๆ เก็บนิ้วของตนช้าๆ และหันหน้ามามองซูหลี

นี่เป็นสตรีที่มีรูปโฉมแสนจะธรรมดานางหนึ่ง บริเวณดวงตามีริ้วรอยของกาลเวลาให้เห็นอยู่บางๆ

ก็เหมือนกับริมฝีบางของนางที่ยกขึ้นอยู่น้อยๆ

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าชุดนักบวชสีขาวตัวนั้นค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง

ผู้คนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

หัวเจี้ยฟูพาเหล่านักบวชที่อยู่ในเมืองสวินหยาง มาคุกเข่าลง ทำความเคารพอย่างสั่นเทาและไม่กล้าเอ่ยวาจา

สตรีชุดขาวผู้นั้นทำราวกับไม่เห็น นางเพียงแค่มองซูหลีอย่างเรียบนิ่ง แย้มยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น “เป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้นหรือ”