ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 138 ดาบที่ไม่ได้ฟันลง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตั้งแต่ที่เปิดศึกมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ดาบเหล็กของหวังผ้อมีโอกาสมาถึงตรงหน้าของจูลั่ว

ทั้งยังเป็นตอนที่จูลั่วถูกลอบโจมตี ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากกระบี่ ร่างแยกแหลกสลาย ในวินาทีที่พระจันทร์กลางน้ำถูกบีบให้กลับร่างเดิมนั่น

ดาบเหล็กถูกยกขึ้นท่ามกลางสายฝน ยืดตรงจนถึงที่สุด และก็แข็งแกร่งจนถึงขีดสุด

หวังผ้อไม่ได้สนใจว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย เขาไม่ได้สนใจดวงจันทร์ที่อยู่กลางสายฝน การลอบโจมตีแล้วลอบโจมตีอีกของมือสังหารผู้นั้น หรือหมื่นกระบี่ของเฉินฉางเซิงที่ร่ำร้องขึ้นมาพร้อมกัน เขาเพียงแต่พุ่งเข้าไปฟันจูลั่วที่อยู่ตรงหน้า

ก็เหมือนกับการตัดฟืน และยิ่งดูเหมือนการคิดบัญชี ช่างเป็นเจตจำนงที่มุ่งมั่นอย่างหาใดเปรียบ

ในตอนนี้ บางทีอาจจะเป็นโอกาสดีที่สุดที่เขาจะเอาชนะจูลั่ว กระทั่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะเอาชนะจูลั่วก่อนที่เขาจะได้ก้าวเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์

จูลั่วชูมือขึ้นฟ้า เมฆดำพลันบดบังดวงจันทร์

ไม่มีใครรู้ว่าดาบที่ใช้พลังทั้งหมดของหวังผ้อกับฝ่ามือของจูลั่วที่ชูขึ้นขณะบาดเจ็บสาหัส ใครจะแข็งแกร่งยิ่งกว่ากัน

จนกระทั่งนาทีถัดมาก็ยังไม่มีใครรู้

เพราะว่า ดาบของหวังผ้อไม่ได้ฟันลงมา

ดาบเหล็ก หยุดค้างอยู่ที่กลางอากาศตรงหน้าจูลั่ว

ฝ่ามือของจูลั่วเองก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศเช่นกัน

ทั้งสองไม่ได้ปะทะกัน

ห่าฝนค่อยๆ หยุดลง แต่บนถนนยังคงมืดครึ้ม และเงียบเชียบอย่างหาใดเปรียบ

ราวกับว่าภาพเหตุการณ์ได้หยุดนิ่งไปแล้วก็มิปาน

แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน

จูลั่วมองไปที่หวังผ้อ นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ใบหน้าได้เปลี่ยนเป็นซีดขาวอย่างกะทันหัน

กลิ่นอายพลังปราณที่แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักออกมาจากฝ่ามือและแขนเสื้อของเขา และกระจายไปทางสายฝนที่ตกอยู่

กลิ่นอายเหล่านั้นเป็นปราณแท้ที่เขาฝืนใช้ในยามบาดเจ็บสาหัส เดิมทีควรจะไปอยูที่บนดาบเหล็กของหวังผ้อ แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า หวังผ้อถึงกับละทิ้งโอกาสสุดท้ายไป ดาบเหล็กก็ถูกหยุดไว้ที่กลางอากาศ

เสียงกระหึ่มดังขึ้น ปราณแท้ของจูลั่วพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจนหมดสิ้น กลิ่นอายพลังปราณทั้งหมดลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน

เขาคิดไม่ถึงว่าหวังผ้อจะเก็บดาบ เพราะว่าเขาไม่ใช่คนเช่นหวังผ้อ

ที่หวังผ้อเก็บดาบ ไม่ใช่เพราะว่าเขาคาดคำนวณถึงทิศทางของสถานการณ์ที่จะพัฒนาไปได้ ไม่ใช่เพราะว่าเจตจำนงในการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งจนสามารถมองทะลุเมฆดำที่บดบังดวงจันทร์ได้ แต่เป็นเพราะเหตุผลที่แสนจะเรียบง่าย

จูลั่วได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาไม่อยากจะฉวยโอกาส

เขาไม่สนใจโอกาสที่ดีที่สุด เขาเชื่อว่าขอแค่ตนสามารถมีชีวิตรอดไปได้ จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นค่อยเอาชนะจูลั่วไปจนถึงผู้แข็งแกร่งผู้อื่นที่อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผย

ดังนั้น หวังผ้อจึงเก็บดาบ

ดังนั้น…จูลั่วจึงบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดที่ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังสาหัสยิ่งกว่าบาดแผลของหลิวชิงกับเฉินฉางเซิงรวมกันเสียอีก

เลือดสดๆ ไหลออกจากมุมปาก และไหลออกจากร่างของเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มีมากมายที่ไม่มีเหตุผลอะไร

แต่อันที่จริงเมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ก็มีเหตุผลอย่างมาก

……

……

ฝนตกโปรยปรายลงมาเบาๆ บนถนนสายยาวยังคงเงียบสงบ

ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือเหล่าผู้ชมที่อยู่ไกลออกไปก็ล้วนมิได้พูดจา

มองดูจูลั่วที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ยากเหลือเกินที่จะมีคนที่สามารถพูดออกมาได้

เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ใครกันที่เคยเห็นบุคคลสำคัญอย่างแปดมรสุมพ่ายแพ้

ใครจะเคยเห็นจูลั่วที่เป็นผู้แข็งแกร่งของโลกมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ ได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้

จูลั่วก้มหน้าลง เรือนผมที่ถูกสายฝนชโลมจนเปียกเหยียดสยายระอยู่บนบ่า เขามองกระบี่ที่อยู่ในมือของตน ซึ่งเหลือเพียงแค่ด้ามกระบี่แล้ว…กระบี่แสงจันทร์ถูกหลอมขึ้นมาจากแกนเหล็กกล้ากับแร่มิธริล แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบ แต่ในเวลานี้กลับกลายเป็นฝุ่นผงที่อยู่ในรอยแตกของกำแพงและพื้นหิน

เขาเงยหน้าขึ้นมา มองดูเฉินฉางเซิงที่ตากฝนอยู่ทางด้านนั้น แล้วพูดขึ้น “ผู้มีหัวใจแห่งกระบี่แต่กำเนิดหรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าผู้ชมที่ก่อนหน้านี้ตกตะลึงไปกับเสียงร่ำร้องของหมื่นกระบี่ยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีก

จูลั่วมองไปที่หวังผ้อที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดขึ้น “นับถือ”

ทั่วทั้งต้าลู่ที่สามารถทำให้เขาพูดคำว่านับถือได้ มีอยู่ไม่เกินห้าคน เขากลับพูดกับหวังผ้อแล้ว เพราะว่าการต่อสู้ของหวังผ้อในวันนี้ได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่แข็งแกร่งกับความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือกว่าอายุไปไกล และก็เพราะดาบสุดท้ายที่ไม่ได้ฟันลงมานั้นกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าดาบที่จะฟันลงมาเสียอีก ท้ายที่สุด จูลั่วมองไปยังถนนด้านนั้น มองไปที่มือสังหารที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดแต่กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าม้าผู้นั้น

เมืองสวินหยางในวันนี้ มีสามคนที่ปกป้องซูหลี ซึ่งล้วนเป็นวีรบุรุษ ถ้าหากพูดถึงบาดแผลที่สร้างให้กับจูลั่วแล้ว เฉินฉางเซิงได้ประมาณสองส่วน ดาบสุดท้ายที่ไม่ได้ฟันลงมาของหวังผ้อได้ไปห้าส่วน มือสังหารผู้นั้นที่ชื่อหลิวชิงได้ไปสามส่วน หากพูดถึงการต่อสู้ทั้งหมด หวังผ้อเป็นพื้นฐาน เฉินฉางเซิงเป็นคู่ต่อสู้สุดท้ายที่คาดไม่ถึง ส่วนหลิวชิงก็เป็นคนพลิกสถานการณ์ในช่วงที่สำคัญที่สุด

มือสังหาร หน้าที่คือการสังหาร แน่นอนว่าไม่มีทางสร้างสรรค์ ในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนปรากฏในสถานะของผู้พลิกผันสถานการณ์ ผู้ชมที่อยู่บนถนนที่ไกลออกไปมองตามสายตาของจูลั่วไปที่มือสังหารผู้นั้น และนึกถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งสองครั้งในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะคนผู้นี้ ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่ มือสังหารผู้นี้เป็นใคร ยังมีใครที่บำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นรวบรวมดวงดาวแล้วยังยอมเดินอยู่ในเงามืดและแสดงตัวว่าเป็นมือสังหารอีก แล้วมีมือสังหารที่ไหนจะสามารถคำนวณถึงรายละเอียดของสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ จนสามารถทำลายการควบคุมของจูลั่วที่เมืองสวินหยางได้สำเร็จ

จูลั่วมั่นใจในตัวเองเกินไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะหวังผ้อแข็งแกร่งเกินไป จึงเป็นสาเหตุให้ไม่อาจออมมือได้ เขาไม่ถือสาถ้าจะฉวยโอกาสฆ่าหวังผ้อให้ตายไปในเมืองสวินหยาง แล้วยังสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาบางอย่างไปได้ แต่เขาไม่อาจปล่อยให้เฉินฉางเซิงตายได้ มือสังหารผู้นี้ได้คำนวณมาถึงตรงนี้ ดังนั้นจึงทำการลอบโจมตีท่ามกลางสายฝน แต่ละกระบี่ล้วนได้เห็นเลือด ทำเอาเฉินฉางเซิงเกือบจะต้องตาย

แซ่จูเป็นถึงตระกูลใหญ่ของเทียนเหลียง คนในตระกูลมีจำนวนมาก ถึงแม้จูลั่วจะไม่กังวลเรื่องการแก้แค้นของพรรคกระบี่เขาหลีซานและแววตาเคียดแค้นของคนในแดนใต้ในภายหลัง แต่ก็ต้องคำนึงแทนลูกหลานในรุ่นหลังเสียหน่อย อีกทั้งเขายังต้องคำนึงถึงชื่อเสียง ดังนั้นเขาจึงไม่อยาก…ฆ่าซูหลีด้วยมือของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะใช้พระจันทร์กลางน้ำไปยังทางด้านนั้น และคว้าจับเฉินฉางเซิง จูลั่วคิดว่าตนใช้วิธีการที่ง่ายดายที่สุดมารังสรรค์จุดจบที่สมบูรณ์แบบที่สุด และมอบโอกาสฆ่าซูหลีไว้ให้กับมือสังหาร แต่กลับคิดไม่ถึงว่า โอกาสนี้เดิมทีก็เป็นมือสังหารผู้นี้สร้างเอาไว้ให้กับเขา

นี่ไม่ใช่โอกาสที่มือสังหารจะฆ่าซูหลี แต่เป็น…โอกาสที่จะฆ่าเขา!

ใจคน ความรัก ความแค้น ส่วนได้ ส่วนเสีย ตระกูล ชื่อเสียง ทวยเทพ ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนอยู่ภายใต้การคำนวณของมือสังหาร!

เฉินฉางเซิงยืนอยู่หน้ามือสังหารผู้นั้น และนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ซูหลีสอนตนระหว่างทางอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าหากพูดว่าโลกใบนี้มีเพลงกระบี่รอบรู้ที่แท้จริง เช่นนั้นนี่ถึงจะเป็นเพลงกระบี่รอบรู้ที่แท้จริงหรือเปล่านะ

……

……

เสียงที่เยือกเย็นของจูลั่วดังขึ้นท่ามกลางสายฝนที่หนาวเหน็บ “หลิวชิง เจ้าถึงกับกล้าลงมือกับข้าเชียวรึ”

ในกลุ่มคนพลันมีเสียงตกตะลึงที่สะกดไม่อยู่ดังขึ้นมา คนบางส่วนที่เตรียมจะอาศัยสายฝนเข้าไปโจมตีซูหลีต่อ จิตใต้สำนึกก็สั่งให้หยุดเท้าลง คนที่รู้จักชื่อหลิวชิงชื่อนี้มีอยู่ไม่มาก แต่คนที่รู้จักชื่อนี้ล้วนเข้าใจว่าชื่อที่แสนจะธรรมดานี้หมายถึงอะไร…หลิวชิงคือชื่อของมือสังหารอันดับสามในประกาศมือสังหารที่แสนน่ากลัว หลังจากที่ในปีนั้นอันดับหนึ่งของมือสังหารในแผ่นดินที่ภูตผีและทวยเทพมิอาจจะคาดเดา ทั้งลึกลับและน่ากลัวอย่างหาใดเปรียบผู้นั้นได้หายตัวไป ก็สามารถพูดได้ว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในต้าลู่

ที่แท้มือสังหารผู้นี้ก็คือหลิวชิงในตำนาน!

มิน่าเล่าแม้แต่จูลั่วเขาก็ยังกล้าลอบฆ่า!

จูลั่วมองหลิวชิงแล้วพูดขึ้น “เจ้าคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครสามารถขุดเบื้องหลังของเจ้าได้จริงๆ หรือ เจ้าถึงกับกล้าเผยเบื้องหลังของตนเองออกมา ก็อย่าโทษข้าว่าในอนาคตจะส่งคนไปขุดคุ้ยที่เขาหลีซานแล้วกัน!”

หน้ากากของหลิวชิงได้พังไปแล้ว แต่ละแห่งล้วนมีเศษเนื้อหนังกับเลือดที่แข็งตัวห้อยลงมา มองดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

เขามองไปที่จูลั่วแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่ใช่คนของเขาหลีซาน ท่านจะหาข้าเจอที่เขาหลีซานได้อย่างไร”