ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 137 หมื่นกระบี่ที่เด็กหนุ่มวัยเยาว์พานพบด้วยโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ใบหน้าของเฉินฉางเซิงถูกแสงจากกระบี่ส่องสว่าง จนเป็นดั่งพื้นที่ราบหิมะก็มิปาน

ร่างแยกของจูลั่วก็อยู่ที่ตรงหน้าของเขา อยู่ท่ามกลางห่าฝน และกำลังปลดปล่อยแสงสว่างอย่างไร้ขีดจำกัด จนราวกับเป็นรูปสลักเทวะ

ความกดดันที่ยากจะจินตนาการไล่ตามมาพร้อมกับกระบี่ ตกกระทบลงบนร่างกายและจิตใจของเฉินฉางเซิง

แน่นอนว่ากระบี่ของเขาเทียบไม่ได้กับกระบี่นั่นของหลิวชิง แต่ว่าก็มิได้ธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยพบมาก่อน ถึงขนาดที่แม้แต่หมู่มวลมนุษย์เองก็ไม่อาจคาดคิดจินตนาการได้ว่าจะปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาได้ใช้กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

เพลงกระบี่ทั้งสามที่ซูหลีสอนให้เขาก็ล้วนอยู่ในนั้น

เพลงกระบี่โง่งมช่วยให้เขาสามารถยืนได้อย่างมั่นคงภายใต้ความกดดันดุจทวยเทพนี้ได้ เพลงกระบี่รอบรู้ช่วยให้เขาสามารถวิเคราะห์การเคลื่อนตัวของกระบี่กลางสายฝนนี้ออก ต้องรู้ว่ากระบี่นี้อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ไร้รูปร่างไร้ร่องรอย ในระดับของหวังผ้อกับหลิวชิงยังพอจะมองออกได้บ้าง แต่ถ้าหากเขาไม่ได้เรียนเพลงกระบี่รอบรู้ ก็ไม่มีทางที่จะทำเช่นนี้ได้

สุดท้าย เขาได้เผาผลาญปราณแท้กับชีวิต เพื่อที่จะสกัดกระบี่นี้

น่าเสียดาย เขาไม่อาจที่จะสกัดกระบี่ของจูลั่วเอาไว้ได้ ก็เหมือนกับแขนของตั๊กแตนที่ไม่สามารถจะสกัดการวิ่งของรถม้าได้

ไม่มีความคาดไม่ถึงใดๆ กระบี่ที่นำพามาซึ่งแสงจันทร์ได้ก้าวข้ามคมกระบี่ของกระบี่มังกรครวญไป

แต่เมื่อได้เห็นว่ากระบี่ของจูลั่วกำลังจะแทงเข้าไปในเบ้าตาของเขา กลับถูก…สกัดเอาไว้ด้วยฝักกระบี่ของกระบี่มังกรครวญ

กระบี่ลวงตาจะถูกฝักกระบี่ที่มีตัวตนจริงๆ สกัดไว้ได้อย่างไร มีเพียงแค่เฉินฉางเซิงที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นถึงจะเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้ก็ยากที่จะใช้คำพูดมาอธิบาย สำหรับผู้ชมที่อยู่กลางสายฝนแล้ว ภาพที่พวกเขาได้เห็นก็คือ

กระบี่ลวงตาเล่มนั้นได้แทงเข้าไปในฝักกระบี่ที่อยู่ในมือทั้งสองข้างของเฉินฉางเซิง

……

……

มีดวงจันทร์อยู่สองดวง ลอยอยู่กลางท้องฟ้ายามราตรีหนึ่งดวงและอยู่กลางน้ำหนึ่งดวง บนถนนกลางสายฝนก็มีจูลั่วอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นร่างจริง อีกหนึ่งเป็นร่างลวงตา ทว่าดวงจันทร์ทั้งสองก็ส่องประกายเช่นกัน จูลั่วทั้งสองคนก็แข็งแกร่งเหมือนกัน ความแตกต่างมีเพียงแค่ตรงที่มีความรู้สึกและไร้ความรู้สึก

หลังจากกระบี่ว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์แทงเข้าไปในฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิง ร่างแยกของจูลั่วที่อยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิงก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ และปลดปล่อยแสงสว่างกับความร้อนจากภายในออกสู่ภายนอก บนถนนที่ไกลออกไป จูลั่วที่กดดันดาบเหล็กของหวังผ้อจนนิ่งเงียบไปแล้ว สีหน้าที่เย็นชากลับถูกความตกตะลึงและความผิดหวังน้อยๆ เข้าแทนที่ในชั่วพริบตา

ท่ามกลางสายฝนได้มีเสียงร่ำร้องของกระบี่ดังขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน

หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ยินถึงเสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำอีก

เสียงร่ำร้องของกระบี่ที่รุนแรง หยาบกระด้าง แหลมคม กระจ่างชัด และหนักแน่น พลันระเบิดเสียงขึ้นบนถนนกลางสายฝน

ทั่วทั้งเมืองสวินหยางล้วนได้ยินเพียงเสียงร่ำร้องของกระบี่

กระบี่ลวงตาเล่มนั้นในพริบตาราวกับได้พานพบกับกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็ปะทะ บ้างก็เสียดสี บ้างก็ฟาดฟันกัน เสียงร่ำร้องของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นพร้อมกัน ท่ามกลางสายฝนมีผู้ชมที่ระดับบำเพ็ญเพียรค่อนข้างจะต่ำอยู่ มองไปแล้วนอกจากสายฝนที่ตกลงมา ทั้งหมดก็ล้วนสงบเงียบ เสียงร่ำร้องของกระบี่เหล่านี้มาจากที่ใดกันแน่ กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่กระบี่ของจูลั่วได้พบเจออยู่ที่ไหน

กระบี่เหล่านั้น ล้วนอยู่ภายในฝักของกระบี่มังกรครวญ

กระบี่นี้ของเฉินฉางเซิง เดิมทีก็คือหมื่นกระบี่

นั่นเป็นหมื่นกระบี่ที่นำออกมาจากภายในสวนโจว

แต่กลับถูกกระบี่ของจูลั่วผนึกเอาไว้ในฝักกระบี่ทั้งหมด

แต่ว่าสุดท้ายก็ยังได้พบเจอกัน

หมื่นกระบี่ไม่เคยได้ออกจากฝัก ก็ยังสามารถต่อสู้กับศัตรูได้

ภายในฝักกระบี่ในตอนนี้ เป็นดั่งกองทหารม้าสวมเกราะ ท่ามกลางพายุฝนที่บ้าคลั่งและเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้อง!

กระบี่ลวงตาในมือของจูลั่วกำลังรุกล้ำเข้าไปในฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงอย่างไม่หยุด

นั่นไม่ใช่การกลับเข้าฝัก แต่กำลังสั้นลงเรื่อยๆ

แสงประกายเหล่านั้นค่อยๆ เล็กลง และกระจัดกระจายออกไปจากบริเวณรอบๆ ฝักกระบี่

นั่นเป็นเศษกระบี่ที่ถูกบดทำลาย

ถึงแม้หมื่นกระบี่จะเสียหาย แต่เจตจำนงกระบี่ยังคงแหลมคม เพียงแค่พริบตาเดียว ก็มีการฟาดฟันและบดทำลายอย่างน้อยนับพันครั้งเกิดขึ้น กระบี่ลวงตาของจูลั่วไหนเลยจะสามารถทนได้ไหว! ต่อให้เป็นกระบี่จันทราที่แท้จริงซึ่งอยู่ในมือของเขาตรงถนนนั่น ก็จะสั้นลงเช่นกัน! ที่ยากจะจินตนาการยิ่งกว่าคือ นิ้วมือของเขาที่กำลังจับด้ามกระบี่อยู่ ถึงกับเริ่มมีเลือดไหลออกมา!

ใบหน้าของจูลั่วแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ดวงตาที่ก่อนหน้านี้เฉยเมยไร้อารมณ์ ในเวลานี้มีความผิดหวังปรากฏขึ้นมา และในภายหลังก็เปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวดั่งธารน้ำเชี่ยวกรากอย่างรวดเร็ว!

เขาสามารถรับรู้ได้ถึงกระบี่ที่อยู่ภายในฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงเหล่านั้น กระทั่งสามารถรับรู้ได้ว่ากระบี่เหล่านั้นเคยเป็นกระบี่มีชื่อในอดีต บางส่วนถึงขนาดมีกลิ่นอายที่เมื่อหลายร้อยปีก่อนตัวเขาเคยได้ใกล้ชิดด้วยตัวเอง แต่ว่าเขาไม่อาจจะไปปลงอนิจจังกับการพบเจอด้วยโชคชะตาของเฉินฉางเซิงหรือไปไต่ถามถึงความจริงของเรื่องราวได้ เพราะว่ากระบี่ที่เคยแข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบเหล่านั้นกำลังโจมตีใส่เขาอยู่ และเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปจริงๆ!

เขาถึงกับถูกเด็กหนุ่มในขั้นทะลวงอเวจีผู้หนึ่งทำให้ได้รับบาดเจ็บ

ใครจะสนว่าเจ้าจะเป็นเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์อะไร

ใครจะสนว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อะไร

อย่างไรเสียเจ้าก็อยู่แค่ขั้นทะลวงอเวจี และเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุสิบหกปี

เจ้าจะมาสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้อย่างไร เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาทำให้ข้าบาดเจ็บ

เสียงคำรามด้วยความโกรธดังกึกก้องไปทั่วเมืองสวินหยาง พริบตาเดียวก็สะกดเสียงร่ำร้องของกระบี่เหล่านั้นไปจนหมด

เมฆฝนค่อยๆ คลี่คลาย แสงจันทร์ยิ่งกระจ่างชัด

จูลั่วก้าวเข้าไปหาหวังผ้อก้าวหนึ่ง กระบี่ในมือได้ฟาดฟันลงไป

ไกลออกไปนับสิบจั้งจากถนน ร่างแยกของเขาโถมเข้าใส่เฉินฉางเซิง

กระบี่ลวงตานั้นแทงเข้าไปในฝักกระบี่ไม่หยุด

เศษกระบี่ที่ส่องประกายเหล่านั้นก็กระจายออกมามากยิ่งขึ้น

แสงสว่างเหล่านั้น เศษกระบี่เหล่านั้นล้วนเป็นเจตจำนงอันแหลมคมที่เกิดขึ้นหลังจากที่เจตจำนงกระบี่เข้าปะทะกัน

มองดูแล้วแสนจะงดงามอย่างมาก แต่ที่จริงแล้วแสนจะอันตราย

สายฝนค่อยๆ เบาลง น้ำที่ขังอยู่บนถนนยังไม่ได้หายไป เมื่อเศษกระบี่เหล่านั้นตกลงไป ก็ทำให้วงของคลื่นน้ำกระจายออกไปแล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพื้นหินกับกำแพงที่แตกหัก ทุกหนแห่งล้วนเป็นเศษซาก

หลิวชิงลุกขึ้นยืนย่ำแอ่งน้ำฝน และคุ้มกันอยู่ที่ด้านหน้าม้าของซูหลีต่อ โดยชี้กระบี่ไปยังเบื้องหน้า

เศษกระบี่ที่ส่องประกายเหล่านั้นกระเด็นออกมาราวกับธนูแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน

เพียงพริบตา ผ้าคาดผมของเขาก็ถูกตัดขาด เรือนผมสีดำปลิวสยาย หลังจากนั้นเส้นผมเองก็ถูกตัดขาด

เสื้อผ้าของเขายับเยิน บนร่างมีบาดแผลเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาอีกนับร้อยแห่ง มองดูแล้วช่างน่าสลดเป็นอย่างมาก

แต่ว่าอย่างไรเสีย เขาก็สามารถปกป้องม้าตัวนั้นไปจนถึงคนบนม้าได้

ซูหลีนั่งอยู่บนม้าสีเหลือง กำลังก้มหน้าและไม่ได้พูดอะไร

……

……

ตามหลักการแล้ว เฉินฉางเซิงในตอนนี้ควรจะตายไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นซูหลีหรือว่าจูลั่วก็ล้วนคิดเช่นนี้ แต่ที่น่าประหลาดคือเขาที่ถูกล้อมไว้ด้วยเศษกระบี่ที่ส่องประกายเต็มท้องฟ้า บาดแผลบนร่างกลับไม่ได้เพิ่มมาแม้แต่แห่งเดียว กลิ่นอายพลังปราณที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดได้ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา กลิ่นอายนั้นไม่รู้ว่ามาจากป้ายหยกที่อยู่บนบริเวณเอวของเขา หรือว่ากำไลหินที่ไม่รู้ว่าโผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้อมือของเขา

ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายนี้ มีเพียงแค่เศษกระบี่เหล่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ ดังนั้นในตอนที่มาถึงร่างของเฉินฉางเซิงก็ปลิวออกไปเอง และรายละเอียดเหล่านั้นก็ถูกซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้แสงสว่างอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้น ฝนก็ตกหนักขึ้นอีก เมฆฝนมารวมกันใหม่ แสงจันทร์ค่อยๆ อ่อนจางลง

ภายในม่านฝน ร่างแยกของจูลั่วค่อยๆ หมองหม่นลง และเริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนแอขึ้นมา

ในที่สุด ในช่วงเวลาหนึ่ง กระบี่ลวงตาก็ถูกฝักกระบี่กลืนกินไปอย่างสมบูรณ์

ร่างแยกพลันสลายไปในทันที กลายเป็นฟองอากาศเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน

ภายในเมืองสวินหยางได้มีเสียงตกตะลึงดังขึ้นนับไม่ถ้วน

จูลั่วยืนอยู่ที่ถนนด้านนั้น ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้ามีความซีดขาว

แขนขวาของเขาสั่นขึ้นน้อยๆ กระบี่ได้หักไปแล้ว และเหลือเพียงแค่ด้ามกระบี่

ก็เป็นในตอนนี้เอง ในที่สุดดาบเหล็กของหวังผ้อก็มาถึงตรงหน้าของเขาแล้ว