บทที่ 303
มีเหตุผล
“บอกให้หมอมาที่นี่ที!” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา
มีหมอหลวงเพียงคนเดียว หวู่ไท่ยี่ซึ่งถูกพระราชบิดาและจักรพรรดิมอบหมายมาให้เขาเป็นพิเศษ ทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่เป็นสองรองใครในโรงหมอไท่ของดินแดนไฟเลยและงานวิจัยของเขาก็เกี่ยวกับยาอย่างลึกซึ้ง ถ้าทักษะทางการแพทย์ของหวู่ไท่ยี่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือยาอะไร มันก็จะพิสูจน์ได้ว่าในเฮ่ยเฉิงมีวิทยาการแพทย์ที่ล้ำหน้ามากกว่าของดินแดนไฟ
เขาไม่คิดว่ามู่เทียนจะเกี่ยวข้องกับผู้สนับสนุนของดินแดนเฮ่ยเฟิงมากมายขนาดนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งก็ได้ แล้วแบบนี้เขาจะไม่ตกใจได้ยังไง
ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เห็นว่าหวู่ไท่ยี่รีบเร่งเดินเข้ามา มายืนอยู่เบื้องหน้าหวังฉิงและทักทายอย่างเร่งรีบ “มาแล้วขอรับนายท่าน”
“ลุกขึ้นและรายงานเรื่องสถานการณ์มาสิ!”
หวู่ไท่ยี่ลุกขึ้นพร้อมตัวที่สั่นเทิ้ม “นายท่าน ข้าน้อย…ข้าน้อยไร้ความสามารถ”
สายตาของหวังฉิงเยือกเย็น “ข้าบอกให้เจ้ารายงานเรื่องสถานการณ์มาไง!”
“ทั่วทั้งคฤหาสน์มีเหล่าองครักษ์ที่ไม่ได้สติอยู่ทั้งหมด 223 คน ส่วนอาการอื่นไม่มีอะไรผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่ถูกวางยาจริงๆ…”
“ไร้สาระ ข้าอยากให้เจ้าบอกว่ามันคือยาอะไรและสามารถที่จะผลิตขึ้นมาได้หรือเปล่า?”
“เรื่องนี้…หวู่ไท่ยี่ไร้ความสามารถ!” ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสามารถมีทักษะทางการแพทย์แบบนี้ได้ จากความเข้าใจของเขาแม้แต่ยาที่ทรงอำนาจก็ยังทำให้เกิดผลแบบนี้ไม่ได้เลย ถึงแม้จะทำได้แต่ปริมาณการผลิตก็ไม่น่าที่จะทำได้มากมายขนาดนี้ อย่างน้อยเลยก็มีปัญหาเรื่องวัตถุดิบในการผลิตยาและต้องใช้เงินทุนวิจัยและทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก จากสถานการณ์ปัจจุบันมีพลังงานจำนวนมากถูกลงทุนในด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่สมจริงเท่าไร
หวู่ไท่ยี่ไม่กล้าที่จะสัญญา เขาเป็นคนที่คิดค้นสูตรยาทรงอำนาจแต่ฤทธิ์ของมันก็เทียบไม่ได้กับยาที่เหล่าองครักษ์โดนในคืนนี้เลย จากคำบอกเล่าของเหล่าองครักษ์ที่ไม่ได้สลบไปเพราะยาเมื่อกี้คือ พวกเขาจะสลบทันทีที่ผงยากระจายออกมา ถึงแม้เขาจะต้องถูกฆ่าตายแต่ผลที่ได้ออกมาก็ยังไม่น่าที่จะสำเร็จ
หวังฉิงมองไปที่หวู่ไท่ยี่อย่างเย็นชา และบรรยากาศรอบๆตัวเขาก็เพียงพอที่จะทำเขาตัวแข็งได้เลย
หวู่ไท่ยี่มีเหงื่อเย็นๆผุดออกมา
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน “ถอยไป!” หวังฉิงพูด
หวังฉิงเดินกลับไปที่ห้องอีกครั้งและรอยยิ้มแสยะก็ปรากฏขึ้นมาที่มุมปาก มู่เทียน, มู่เทียน คิดว่าจะหลบอยู่ข้างหลังเงียบๆได้งั้นเหรอ?! รอก่อนเถอะ ทรยศกับเขาแบบนี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้รอดไปได้แน่ๆ
ที่อีกฝั่ง ภายในบ้านของผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง
“กลับมาแล้วเหรอ?! ขอบคุณพระเจ้า” มู่หรงเสวี่ยยืนรอด้วยความกังวลอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นร่างของหลินหยางและคนอื่นๆจากไกลๆ เธอก็รีบเข้าไปหาเขาทันที
“เข้าไปข้างใน เขาบาดเจ็บ” หลินหยางพูด
ชายที่แบกเฟิงจือหลิงค่อยๆวางเขาลงที่โซฟา
“พวกเจ้าเหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักเถอะ” โชคดีที่คืนนี้พวกเขาไม่ถูกจับได้ ต้องขอบคุณผงยาที่มู่หรงเสวี่ยให้มา มันมีประโยชน์มากจริงๆ
พูดได้ว่ามู่หรงเสวี่ยมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดไว้มาก ถ้าเป็นศัตรูกันก็คงจะไม่ค่อยมั่นใจแล้วว่าใครจะเป็นคนที่ชนะกันแน่
ส่วนคนที่เหลืออีกเก้าคนก็พยักหน้า โค้งตัวและถอยหลังออกไป ในดินแดนเฮ่ยเฉิง ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการคุกเข่าอะไรทั้งนั้น ครั้งหนึ่งผู้ปกครองของดินแดนเคยบอกพวกเขาว่าที่เข่าของผู้ชายเปรียบเสมือนทองคำ พวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องและสมาชิกในครอบครัว พวกเขาถูกขอให้ช่วยกันสร้างบ้านที่สงบสุขด้วยกัน พวกเขาเชื่อกับความเชื่อของหลินหยาง ถึงแม้หลินยางจะบอกว่าพวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องกันแต่พวกเขาทุกคนก็ยังมองว่าเขาเป็นเจ้านายในหัวใจของพวกเขาและยอมที่จะตายแทนได้
“เขาบาดเจ็บได้ยังไง?” มู่หรงถามในระหว่างที่กำลังตรวจอาการบาดเจ็บของเขาอยู่
“ตอนที่พวกเราไปถึง เขาก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว เดาว่าหวังฉิงน่าจะเป็นคนที่ทำร้ายเขา…” ส่วนคำพูดที่เหลือไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว เห็นได้ชัดว่าหวังฉิงโกรธและเอาไปลงกับเพื่อนของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงหยิบขวดยามากมายออกมาจากอากาศว่างเปล่า พร้อมด้วยน้ำแห่งจิตวิญญาณเพื่อนำมาป้อนให้เขาดื่ม แล้วก็เริ่มที่จะถอดเสื้อของเฟิงจือหลิงอย่างเบามือ
“เจ้าจะทำอะไร?” หลินหยางถอนหายใจเล็กน้อยและถามออกมา
มู่หรงหยุดมือลง “ช่วยเขารักษาบาดแผล เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าเขามีรอยเฆี่ยนเต็มไปหมด?”
“ข้าจะตามหมอให้เจ้าเอง” หลินหยางพูด
“ยาของพวกเขาไม่ดีเหมือนของข้าหรอก เจ้าก็ไม่ใช่คนโบราณ ทำไมถึงได้อวดรู้ขนาดนี้?” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
หลินหยางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เฟิงจือหลิงมีรอยแส้ทั่วทั้งตัว มีหลายจุดที่ผิวหนังและเนื้อสดๆเหนียวติดกับเสื้อผ้าของเขา ตอนที่เธอถอดเสื้อผ้าเขา เธอเผลอดึงจนทำให้เกิดบาดแผลเพิ่มมากขึ้นไปอีก แม้แต่ มู่หรงเสี่ยวเองก็อดไม่ได้จนสีหน้าต้องขมวดคิ้วและมีสีหน้าที่แทบจะทนไม่ได้
สุดท้ายเธอก็ถอดเสื้อผ้าของเขาเสร็จและแผลที่เธอเห็นก็ยิ่งทำให้เธอตกใจมากขึ้นไปอีก เธอค่อยๆขจัดพิษออกให้เขาแล้วก็ช่วยใส่ยาและพันผ้าพันแผลให้เขาโดยมีหลินหยางเป็นคนคอยช่วย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายเท่าไร แต่เฟิงจือหลิงก็ยังไม่ได้สติ
มู่หรงกังวลเรื่องชีพจรของเขา มันไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติเพียงแค่เต้นค่อนข้างช้าราวกับหัวใจจะหยุดเต้น
“ช่วยข้าพาเขาเข้าไปพักที่ห้องทีสิ” มู่หรงที่อยู่อีกข้างพูดกับหลินหยาง
“ใครจะรู้เนี่ยว่าเจ้าจะใช้ข้าหนักขนาดนี้เนี่ย?” หลินหยางพยุงเฟิงจือหลิงขึ้นมาจากโซฟาและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่ห่มผ้าให้เฟิงจือหลิงเสร็จ มู่หรงเสวี่ยและหลินหยางก็ค่อยๆปิดประตูห้องและปล่อยให้เขาได้พักผ่อน
“ลงไปคุยกับข้าข้างล่างหน่อย!” หลินหยางพูด
ไม่นานหลังจากที่ประตูปิดลง เฟิงจือหลิงที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นและสายตาของเขาก็เย็นชา
“คืนนี้ขอบคุณมากนะ” มู่หรงนั่งอยู่ที่โซฟาและพูดออกมาอย่างจริงใจ
หลินหยางโบกมือ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก มาคุยกันถึงเรื่องต่อไปก่อนเถอะ หวังฉิงรู้เรื่องเหตุการณ์วันนี้แล้ว ข้าเกรงว่าเขาจะต้องเคลื่อนไหวอะไรๆแน่ๆ” เขาขมวดคิ้ว คนที่วิ่งไล่เขาคืนนี้ก็คือหวังฉิง เขาคิดว่าเขาจะต้องไม่ยอมแพ้แน่ๆ
“เจ้าพร้อมแค่ไหนล่ะ?” มู่หรงถาม เธอยังไม่เห็นอาวุธที่อยู่ในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนนี้ ได้เห็นเพียงแค่ปืนพกเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วหลินหยางจะมีขอบเขตมากแค่ไหน
“ก่อนที่ข้าจะพูดเรื่องนั้น ข้าอยากที่จะถามอะไรเจ้าหน่อย” หลินหยางมองไปที่มู่หรงเสวี่ย
“มีเรื่องอะไรเหรอ? ถามมาสิ”
“ที่หวังฉิงไม่ขังเจ้าแค่เพราะว่าเจ้าแปลกแค่นั้นเหรอ? ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขามันยังไงกันแน่?” หลินหยางถาม
จากคำถามเมื่อกี้ทำให้มู่หรงเสวี่ยหลบสายตาไปชั่วขณะ “คือ…เขาบอกว่าเขามีความเพ้อฝันเรื่องข้าและอยากที่จะพาข้ากลับไปที่วังเพื่อเป็นมเหสีของเขา”
“ฮ่ะ?! นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย?”
“นั่นแหละ แต่เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังที่จะกลับ แล้วจะให้ข้ากลับไปกับเขา…ทำไมเจ้าทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“หวังฉิง นี่เขาตาบอดหรือไง? เขามาชอบเจ้าได้ยังไง?” คำพูดเต็มไปด้วยการดูถูก
“เลิกพูดเรื่องนี้แล้วมาคุยเรื่องธุรกิจกันเถอะ” มู่หรงเอาหมอนบนโซฟาตีไปที่เขาด้วยความไม่พอใจ
“เจ้านี่หาปัญหาใหญ่มาให้ข้าจริงๆ ข้าคิดว่าดินแดน เฮ่ยเฉิงจะต้องลำบากแน่ๆ” หลินหยางพูด
“ต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้วกัน เจ้ากลัวเรื่องอะไร? หัวสมองอันทันสมัยของเจ้าหายไปไหนหมดเหรอ?!! อีกอย่างระหว่างทั้งสามดินแดนก็มีรอยร้าวอยู่แล้วด้วยและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยที่จะต่อรอง” มู่หรงพูด “พูดง่ายๆนะ เราต้องจับตัวหวังฉิงให้ได้ ตอนนี้เขาอยู่ในอาณาเขตของเจ้าไม่ใช่เหรอ?”
หลินหยางมองมาที่เธอราวกับคนโง่ “ถ้าฟังจากที่เจ้าพูดมันก็โอเคในบางแง่มุม แต่ในเรื่องทางการทหารมันเป็นเรื่องที่โง่มาก”
สีหน้าของมู่หรงแดงขึ้นมา “ข้าโง่ยังไงงั้นเหรอ?”
“ตอนนี้ดินแดนเฮ่ยเฉิงถูกล้อมรอบไปด้วยอาณาจักรทั้งสาม ถ้าเรากักขังหวังฉิงได้ที่นี่ ดินแดนแห่งไฟก็คงจะรีบพุ่งตัวเข้ามาที่นี่ทันที ถึงแม้พวกเขาจะขาดแคลนเรื่องอาวุธและมีกำลังคนไม่พอที่จะโจมตีดินแดนเฮ่ยเฉิงทั้งอาณาจักรก็ตาม” หลินหยางพูด
“แต่เจ้าก็มีระเบิดอยู่นะ เจ้าน่าจะทำการฝึกซ้อมทางทหารนอกดินแดนเพื่อที่จะทำให้พวกเขากลัว” มู่หรงพูด
“ระเบิดยังไม่สมบูรณ์ ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ผลที่ได้ก็ถือว่าโอเคแต่มันก็ไม่ดีเหมือนกับของเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดินปืนก็มีแล้วแต่กำลังของดินปืนยังห่างอีกไกลเลย” หลินหยางพูด อีกอย่างมันคงจะดีกว่าถ้าไม่ใช้ระเบิดนี้ เขานึกภาพออกเลยว่าฉากในสนามรบมันจะเคร่งเครียดและเร้าใจแค่ไหนเมื่อระเบิดเกิดระเบิดและทำให้เลือดของผู้คนไหลนองเป็นแม่น้ำ
“พรุ่งนี้ข้าจะลองไปดูให้แล้วกัน” มู่หรงพูด
“เจ้าเข้าใจเรื่องนี้งั้นเหรอ? ในโลกสมัยใหม่เจ้าก็เป็นแค่นักธุรกิจนะ” หลินหยางเกิดข้อสงสัย
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้เรื่องขั้นตอนการผลิตดีนัก แต่ข้าก็เชี่ยวชาญเรื่องปริมาณของสูตรและเรื่องอื่นๆด้วย” มู่หรงเสวี่ยเองก็ต้องขอบคุณโม่จื่อเหวินที่ครั้งหนึ่งคอยพร่ำสอนเรื่องพวกนี้ให้เธอ หลักๆก็เพราะแผนกรักษาความปลอดภัยไตรภาคีที่ถูกเรียกว่าแบล็คพาวิลเลี่ยน
ในตอนแรก พี่จื่อเหวินขอปรึกษากับเธอเรื่องการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร พวกเธอจึงต้องศึกษาเรื่องนี้กันอยู่สักพัก ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับแง่มุมนี้
“งั้นข้าจะพาเจ้าไปดูพรุ่งนี้ เจ้าจะพูดถึงเรื่องการฝึกทหารอย่างที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ด้วยก็ได้”
“ขอโทษและขอบคุณนะ!”
“อืม! เจ้าเองก็มีจิตสำนึกอยู่บ้างเหมือนกันนะ”
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว
หัวใจของหลินหยางเต้นไม่เป็นจังหวะไปชั่วขณะ “เจ้าเพิ่งจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาเนี่ย?” พร้อมหมอนที่โยนมา!
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ? ข้าเหมือนคนที่ชอบสร้างปัญหามากหรือไง?”
“เปล่า เจ้าก็แค่ตัวปัญหา ข้าอยากที่จะส่งเจ้ากลับไปตอนนี้เลยจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายอยู่ตรงหน้าข้าแบบนี้ ขอบคุณพระเจ้า”
“ไร้หัวใจจริงๆเลย! ข้าจะพูดตรงๆนะ ดินแดนหิมะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนจากโลกนี้และรู้ด้วยว่าข้ามีความรู้เรื่องเทคโนโลยีขั้นสูง…” เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทั้งหมด ถึงแม้จิ่วหยวนจะเป็นคนดีแต่หลินหยางอยู่ที่นี่ ถ้าเธอต้องเผชิญหน้ากับเขา ก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจะต้องตายแน่ๆ เธอไม่อยากที่จะต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นก่อนที่เธอจะกลับ มันคงจะดีกว่าที่จะเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดตั้งแต่แรกและร่วมมือกัน
“เจ้า…เจ้า…” หลินหยางจ้องมาที่เธอ ชี้ไปที่เธอด้วยนิ้วที่สั่นเทิ้ม เขาโกรธเกินกว่าที่จะพูดอะไรได้
แบบนี้ก็หมายความว่าความลับของพวกเขาได้ถูกเปิดโปงแล้ว แล้วแบบนี้หลินหยางจะไม่โกรธได้ยังไง
มู่หรงถอยไปสองก้าว ท่าทางของหลินหยางตอนนี้ดูน่ากลัวจริงๆ อ่า!
“อย่าโกรธไปเลย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่! อีกอย่างงานลับๆของเจ้าก็ดีมากจนข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติของยุคนี้” มู่หรงเสวี่ยอธิบายอย่างไร้เดียงสา
“เจ้ามีเหตุผลงั้นเหรอ?!! บอกข้ามาสิ มีคนอีกมากแค่ไหนที่รู้เรื่องนี้?” หลินหยางจ้องไปที่เธออย่างดุดัน