บทที่ 304
ช่วยศัตรู
มู่หรงเสวี่ยอธิบายทุกอย่างที่ละข้อๆและสุดท้ายก็พูดออกมา “ทั้งหมดก็เป็นความผิดของเจ้าแหละ ถ้าเจ้าโผล่มาเร็วกว่านี้ ทำไมข้าจะต้องสร้างปัญหาด้วยล่ะ?”
หลินหยางพูดไม่ออกมากขึ้นกว่าเดิมอีก รู้สึกว่านี่กลายเป็นความผิดของเขาได้ยังไงกัน?!!
“อย่าพูดแบบนั้นนะ เจ้าสามารถที่จะจัดการเรื่องของตัวเองได้ ในเมื่อเจ้ามาอยู่ในฝั่งของข้า งั้นเจ้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เกี่ยวข้องกับอีกสามดินแดน ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าไปยุ่งกับสองดินแดนแล้ว เจ้าควรจะต้องตัดสินใจแล้วนะ” หลังจากที่พูดจบ หลินหยางก็ลุกขึ้น วันนี้เขาเจอมาหนักและเขาก็รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ
“เข้าใจแล้ว!” แน่นอนว่ามู่หรงเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงหวังฉิงเลย หลินหยางคือคนที่ช่วยเธอ
ไม่นานหลังจากที่หลินหยางเดินขึ้นบันไดไป มู่หรงเสวี่ยก็เดินขึ้นไปที่ห้องนอนใหญ่ที่ชั้นสาม
ไม่นานก็มีเงามืดย่องเงียบๆอยู่ในห้องของเฟิงจือหลิงแล้วก็รีบเดินลงไปชั้นล่างและออกไปข้างนอก
อย่างไรก็ตามด้านนอกมีองครักษ์เฝ้าอยู่แน่นหนาและก็มีองครักษ์ที่เดินตรวจตราให้เห็นอยู่ทั่วทุกพื้นที่ เงามืดกัดฟันกรอดและรีบกลับไปที่ห้อง ค่อยๆปิดประตู และนอนลงบนเตียงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เช้าวันต่อมา สิ่งแรกที่มู่หรงเสวี่ยทำหลังจากที่ตื่นขึ้นมาคือการไปดูอาการของเฟิงจือหลิง
“จือหลิงเป็นไงบ้าง? อาการดีขึ้นไหม?” มู่หรงมองไปที่เฟิงจือหลิงด้วยสายตาเป็นห่วง
เฟิงจือหลิงอยากที่จะลุกขึ้นนั่งและดูเหมือนจะไปโดนแผลจนต้องถอนหายใจเย็นๆออกมา
มู่หรงรีบเข้าไปกดตัวเขาไว้ “ถ้าเจ้าเจ็บอยู่ก็พักเถอะแล้วก็ไม่ต้องลุก” เธอหยิบยารักษาออกมาจากมิติลับและยื่นให้ เฟิงจือหลิง
เฟิงจือหลิงรับมาแต่ไม่ได้กินเข้าไปในทันที
“กินสิ ถ้ากินแล้วเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นนะ” มู่หรงพูด
“เดี๋ยวข้าค่อยกิน” เฟิงจือหลิงพูด
มู่หรงถาม “น้ำเสียงเจ้าฟังดูไม่ดีเลย พวกนั้นทำอะไรกับเจ้า?” เมื่อคิดถึงบาดแผลของเขา สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป ถึงแม้เขาจะไม่ได้บาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหรือกระดูกแต่มันก็ยังดูแย่มากอยู่ดี
“พวกนั้นให้ข้าดื่มน้ำก่อนแล้วก็กลายเป็นแบบนี้ นี่รักษาได้ไหม?” เฟิงจือหลิงถาม
หลังจากที่มู่หรงได้ฟังดวงตาเธอก็แดงระเรื่อ และพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะจือหลิง ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง”
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่เป็นก็ดีแล้ว” เฟิงจือหลิงพูดสะดุดเล็กน้อย
มู่หรงเช็ดน้ำตาจากหางตาของตัวเอง “จือหลิง เจ้ารอที่นี่นะ ข้าจะไปเอาอาหารเช้ามาให้”
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยออกไป เฟิงจือหลิงก็หยิบเศษกระดาษออกมาจากแขนเสื้อแล้วก็ค่อยๆห่อยาไว้และซ่อนมันไว้ในกระเป๋าดำมืดที่อยู่ในเสื้อชั้นในตรงแขน แต่เขากลับดื่มน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะไปจนหมด หลังจากที่ดื่มเสร็จดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยสัมผัสแห่งการคิดอย่างลึกซึ้ง ถ้ามู่หรงเสวี่ยอยู่ที่นี่ด้วย เธอก็คงจะรู้ได้ถึงความแปลกไปของเฟิงจือหลิง
มู่หรงที่กำลังลงไปข้างล่างเจอเข้ากับหลินหยางที่เพิ่งจะตื่น
“เป็นไงบ้าง? เพื่อนเจ้าฟื้นหรือยัง?”
“อืม เจ้าอยากจะกินอะไรเป็นอาหารเช้า?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“เจ้าทำอาหารได้ด้วยเหรอ? จะกินได้หรือเปล่า?” หลินหยางถามอย่างสงสัย
“ชอบก็กิน ไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน!” มู่หรงมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเดินลงตรงไปที่ห้องครัวที่ชั้นล่าง ห้องควันสะอาดมาก ดูเหมือนว่าจะไม่เคยถูกใช้มาก่อนเลย เรื่องที่สำคัญที่สุดคือในครัวไม่มีแก็ส ในยุคนี้ก็ไม่มีร้านให้โทรสั่งด้วย
หลินหยางเดินตามเธอลงมา ยืนพิงประตูและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าอยากจะทำอาหารเช้าไม่ใช่เหรอ?! งั้นก็เอาเลย” ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นอะไรที่น่ามองจริงๆ
“ปกติเจ้าไม่ทำอาหารเหรอ?! งั้นจะมีครัวไว้ทำไมเนี่ย?” มู่หรงถามโดยไม่หยุดหายใจ
“ใครเป็นคนตั้งกฎว่าต้องทำอาหารในครัวกันล่ะ?” เดิมทีก็มีไว้แค่เพื่อความสะดวกแต่แล้วเขาก็ได้รู้ว่าในดินแดนที่ล้าหลังแบบนี้มีแต่ปัญหา และมันก็เสียเวลาด้วยที่จะต้องมานั่งก่อไฟ ดังนั้นเขาจึงออกไปกินกับพวกองครักษ์ข้างนอก จริงๆแล้วพวกคนงานที่นี่อยากจะตั้งโต๊ะให้เขากินคนเดียว แต่เขารู้สึกว่ามันน่าเสียดายเกินไป เลยไปนั่งกินง่ายๆกับพวกองครักษ์ของคฤหาสน์แทน
“ครัวมันไม่มีไฟแบบนี้ แล้วมีไว้โชว์เฉยๆหรือไง?” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน
“เจ้าไม่รู้หรือไงว่าข้ามีไว้ตั้งโชว์เฉยๆน่ะ?” หลินหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว!” หลังจากที่พูดจบ มู่หรงก็แวบเข้าไปในมิติลับทันที
เหลือไว้เพียงหลินหยางที่ยืนเงียบอยู่คนเดียว มู่หรงเสวี่ยนี่ฝีมือระดับเทพชัดๆ อยู่ดีๆก็หายตัวไปโดยไม่พูดไม่จาราวกับแค่กะพริบตา
ตอนที่เขากำลังเตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง เขาก็ได้เห็นอาหารเช้า “เจ้านี่เป็นเทพในเรื่องความเร็วในโลกเสมือนจริงนี่จริงๆ เพียงแค่ไม่กี่นาทีเจ้าก็ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว เจ้าไปเอาวัตถุดิบมาจากไหนแล้วเอามันซ่อนไว้ที่ไหนเนี่ย?” หลินหยางดึงเสื้อผ้าแปลกๆที่ร่างกายของมู่หรงเสวี่ยซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่น่าค้นหาจริงๆ
มู่หรงเตะไปที่ก้นเขาอย่างไม่ปรานี “อยากตายหรือไง!” เธอเกือบที่จะทำโจ๊กที่อยู่ในมือหกแล้วด้วย
เธอค่อยๆวางถ้วยโจ๊กที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบถ้วยสองสามใบออกมาจากมิติลับ ตอนนี้จู่ๆทั่วทั้งห้องครัวก็มีแต่กลิ่นหอมฟุ้งไปหมด
ถึงแม้ครัวจะดูเหมือนว่างเปล่า แต่อย่างน้อยก็ยังมีถ้วยกับตะเกียบ มู่หรงเสวี่ยล้างจาน ตักโจ๊กใส่ถ้วยทีละใบแล้วก็ยกโจ๊กถ้วยหนึ่งขึ้นมาพร้อมเครื่องเคียงจานเล็กๆอีกนิดหน่อยและวางพวกมันลงบนถาด ในระหว่างที่เดินขึ้นไปชั้นบน เธอก็พูดกับหลินหยาง “ข้าทำมาเผื่อเจ้าด้วยนะ กินซะสิ!”
หลินหยางหิวมากตอนที่ได้กลิ่นหอมแล้วเขาก็เริ่มตักกิน เขาไม่ทันวางถ้วยลงบนโต๊ะด้วยซ้ำ แต่เลือกที่จะยืนกินแบบนั้นเลย โจ๊กที่แสนอร่อยนี่ทำให้เขาอยากจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วยเลยทีเดียว พระเจ้า ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็มีประโยชน์ขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่คิดเลยว่ามู่หรงเสวี่ยที่ดูท่าทางเหมือนกับคุณหนูที่นิ้วไม่กระดิกจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้
“อาหารเช้ามาแล้ว วันนี้เจ้าพักที่นี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งลุกสักพัก” มู่หรงพูด
เฟิงจือหลิงพยุงร่างตัวเองขึ้น มู่หรงเสวี่ยรีบเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้น กลิ่นหอมจากร่างกายของเธอโชยไปเตะปลายจมูกเขาซึ่งทำให้เขาจู่ๆก็ไอขึ้นมาทันที
มู่หรงลูบไปที่หลังเขา และถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายหรือเปล่า?”
เฟิงจือหลิงรีบโบกมือ กลั้นหายใจและค่อยๆกลับมาสงบเหมือนเดิม “ข้าไม่เป็นไร!”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รีบกินเถอะ เดี๋ยวข้าต้องไปทำธุระหน่อยนะ เจ้าพักอยู่ที่นี่แล้วกัน” มู่หรงพูด
เฟิงจือหลิงพยักหน้าและรับถ้วยโจ๊กมาจากมู่หรงเสวี่ยแล้วจึงถามออกมา “เจ้าจะไปไหนเหรอ?”
“ข้าจะไปเอาของบางอย่างกับหลินหยางหน่อย หลินหยางเป็นผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง เจ้ารู้หรือเปล่า?! เขาเป็นคนที่ช่วยเจ้าไว้เมื่อคืนนะ” มู่หรงเสวี่ยอธิบายเสียงเรียบ
“งั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เฟิงจือหลิงพูด
“เจ้ายังไม่หายดี ข้าจะไปก่อนแล้วเจ้าหายก็ค่อยไป” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงเดินออกมา
หลังจากที่ปิดประตู รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็จางหายไป เฟิงจือหลิงดูแปลกๆ เมื่อคืนเธอเป็นห่วงมากเลยไม่ได้ตรวจให้รอบคอม อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงวันนี้ทำให้เธอรู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติตั้งแต่ต้นจนจบ เธอหวังว่าตัวเองจะแค่คิดมากเกินไป
มู่หรงเดินไปที่ครัว เห็นหม้อที่ว่างเปล่า เธอจึงพูดอะไรไม่ออกและมองไปที่หลินหยางที่กำลังเรออยู่ด้านข้าง
“ถ้าเจ้าไม่ระวัง เจ้าก็จะกินมากเกินไปนะ เจ้าทำอาหารมื้อนี้จริงๆงั้นเหรอ? อีกถ้วยเจ้าจะกินหรือเปล่า? ยิ่งพูดมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งอยากกินอีกมากเท่านั้นเลย”
“ทำไมเจ้าไม่บังเอิญตายไปก่อนเลยล่ะเนี่ย?” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา
หลังจากที่พูดจบ มู่หรงเองก็ขี้เกียจที่จะกินอีกถ้วยที่เหลือแล้ว จึงหยิบผลไม้ง่ายๆออกมาจากมิติลับสองสามลูกแล้วก็กินหลังจากที่ล้างเรียบร้อยแล้ว
“ไปดูที่คลั่งอาวุธของเจ้ากันเถอะ”
“ทำไมเจ้าไม่ชวนให้ข้ากินผลไม้ของเจ้าดูบ้างเลยล่ะ?” หลินหยางที่เดินเคียงข้างมู่หรงเสวี่ยพูดออกมา
มู่หรงเหล่ไปที่เขา “ผลไม้ของข้าไม่ใช่ผลไม้ธรรมดานะ ลองกินดูสิ”
ถึงแม้หลินหยางจะเพิ่งกินอาหารมาแล้วก็ตาม แต่ผลไม้นี่ก็ดูน่ากินจริงๆ เขารีบรับมาทันทีและกินเข้าไป เพียงแค่คำเดียวเขาก็ถึงกับตะลึง มู่หรงเสวี่ยปลูกผลไม้ที่อร่อยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“เจ้า…”
“ไม่ต้องถาม เจ้าไม่เข้าใจเรื่องที่ข้าจะพูดหรอก” มู่หรงเสวี่ยพูดขัดเขาขึ้นมาตรงๆ
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ากำลังจะถามอะไร?”
“ถ้าไม่โง่ก็ต้องรู้อยู่แล้ว”
“แต่เจ้าไม่ฉลาดไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ?”
“อยากมีเรื่องใช่ไหม…”
หลังจากที่พวกเธอเดินออกมาจากบ้าน มู่หรงเสวี่ยก็แกล้งทำเป็นหันหัวอย่างไม่ตั้งใจ แสงจากที่หางตาของเธอเหลือบไปเห็นเงาดำที่อยู่ในห้องผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เธอแสยะยิ้มอย่างไม่พอใจเล็กน้อยแล้วจึงดึงหลินหยางเข้ามาและกระซิบ “ทำตัวปกติเหมือนเมื่อกี้ไว้นะ ข้ามีเรื่องที่จะบอกเจ้า”
หลินหยางเข้าใจได้ในทันที ยังคงยิ้มอยู่แล้วก็เบาเสียงลง “มีเรื่องอะไร?”
“คนที่เราช่วยกลับมาอาจจะเป็นฝ่ายศัตรู…”
หลินหยางยังมีสีหน้าปกติ เขาดูเหมือนจะกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขไปกับมู่หรง เขาพูดออกมา “ไปเถอะ รีบไปที่ที่ปลอดภัยก่อนแล้วก็ดูให้แน่ใจว่าเขาจะออกมาจากบ้านไม่ได้ รอบๆบ้านมีกล้องวงจรปิดอยู่รอบเลย ถ้าเขาออกมาก็จะต้องรู้แน่ๆ”
“ดีเลย!”
พวกเขาเดินไปที่ห้องประตูที่ปิดผนึก หลินหยางแสดงสีหน้าเคร่งเครียด “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“คนที่กลับมาไม่ใช่เพื่อนของข้า” มู่หรงพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่เพื่อนของเจ้า ทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ?” หลินหยางถาม
“เมื่อคืนข้าไม่ได้สังเกต อีกอย่างหน้าตาพวกเขาก็เหมือนกันและข้าก็หาร่องรอยของการแปลงร่างไม่เจอด้วย นี่มันสุดยอดฝีมือจริงๆ” มู่หรงพูด
“นี่น่าจะเป็นการตรวจจับสถานการณ์ ทำไมเราไม่วางแผนกันล่ะ?”
“ข้าก็คิดแบบนั้นแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเป็นห่วง นั่นคือตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเฟิงจือหลิงตัวจริงอยู่ที่ไหน?” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเป็นกังวล
การช่วยเหลือเมื่อคืนก็ดูง่ายเกินไป เขาไม่คิดว่าพวกนั้นจะรอเขาอยู่แล้ว “ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่เป็นไร ข้าจะส่งคนออกไปสืบเพิ่ม ตราบใดที่พวกนั้นยังอยู่ในดินแดนดำเฮ่ยเฉิงเราก็จะต้องหาเขาเจอ ข้าสัญญา”
“ข้ารบกวนเจ้าด้วยแล้วกัน” แต่เหตุผลหลักก็คือ เฟิงจือหลิงไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ ไม่งั้นเธอก็คงไม่ต้องเป็นห่วงเขาแบบนี้หรอก ต่อให้คนเป็นหมื่นก็สู้เขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ