บทที่ 339 รายชื่อขุมกำลังที่โด่งดัง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 339 รายชื่อขุมกำลังที่โด่งดัง

ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลหอการค้าเชื่อมสวรรค์ในอาณาเขตนภา ลั่วหยุนย่อมเป็นผู้ที่คอยควบคุมดูแลข้อมูลเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวกับในอาณาเขตนภา

หลิงตู้ฉิงที่เข้าใจชัดเจนในเรื่องนี้เขาจึงถามลั่วหยุน เพื่อที่เขาจะได้ทราบเกี่ยวกับเหล่าตัวตนที่น่าเกรงขามเหล่านั้นที่กำลังมาที่อาณาเขตนภา

แม้ว่าลั่วหยุนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งก้าวจักรพรรดิ แต่ในขณะนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดและเขาก็ค่อย ๆ พูดว่า “มีทางออกของทะเลชางหมางเพียง 3 ทางและทางออกของทั้งสามนี้ก็อยู่ภายใต้การดูแลของอาณาจักรทั้งสามแห่งอาณาเขตนภา”

“ทางออกที่ท่านมาคือทางออกที่อาณาจักรอี้จิ๋นที่ถูกหนุนหลังโดยสำนักเบญจธาตุคุ้มกันอยู่ ทางออกที่สองถูกดูแลโดยอาณาจักรปราชญ์สวรรค์ ซึ่งมี ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ หนุนหลัง และทางออกที่สามนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า พวกเขาเป็นคนจากสันเขาทรราชและพวกเขาได้ก่อตั้งอาณาจักรเทวราชขึ้นเพื่อดูแลทางออกที่สาม”

“นี่เป็นเพียงขุมกำลังที่อยู่รอบ ๆ ทะเลชางหมาง นอกเหนือจากกองกำลังทั้งสามนี้แล้ว ที่ห่างออกมาอีกหน่อยก็ยังมีอาณาจักรอ้าวเทียนที่ด้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อย นอกจากอาณาจักรอ้าวเทียนแล้วยังมีเขตแดนที่ปกครองโดยราชวงศ์ที่พิเศษอยู่เรียกว่า ราชวงศ์เหมันต์เยือกแข็ง ซึ่งมี ตำหนักเทพเหมันต์ อยู่เบื้องหลัง”

“แน่นอนว่าคนเหล่านี้ล้วนมีผู้หนุนหลังที่ทรงพลัง สำหรับอาณาจักรเล็ก ๆ อื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีผู้หนุนหลังอยู่เช่นกันแต่มันก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับห้าขุมกำลังนี้ได้ หากลูกชายของท่านต้องการรวมทะเลชางหมาง เขาจะต้องเผชิญกับกองกำลังทั้งห้านี้อย่างแน่นอน ดังนั้นโปรดระวัง แน่นอนว่านอกเหนือจากอาณาจักรที่แข็งแกร่งทั้งห้านี้แล้วหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเราก็กำลังเฝ้าดูทะเลชางหมางอย่างใกล้ชิดเช่นกัน”

“ส่วนทางด้านสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ฝั่งของท่านหลิงในตอนนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นสำนักมหาอำนาจ แต่ด้วยระยะทางที่ห่างไกล ต่อให้พวกเขาอยากจะสนับสนุนท่านมากแค่ไหนก็ตามมันก็ยังคงเสียเปรียบต่อขุมกำลังเหล่านั้นที่อยู่ใกล้กว่าอยู่ดี”

“แม้ว่าดูจากภายนอกสถานการณ์ของอาณาเขตนภาตอนนี้จะยังคงดูสงบอยู่ แต่นั่นก็เป็นเพราะความลับของทะเลชางหมางยังไม่ได้เปิดเผย ถ้าวันหนึ่งความลับของทะเลชางหมางปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ สถานการณ์มันคงจะเปลี่ยนไปจนวุ่นวายเป็นอย่างมากแน่ ๆ”

“หรือถ้าจะให้ข้าพูดตรง ๆ ข้าต้องขอแสดงความเสียใจกับท่านด้วยเพราะว่าการที่ท่านหลิงหวังให้ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของลูกชายท่านเป็นเวลา 300 ปี เมื่อข้าต้องเผชิญกับขุมกำลังที่แข็งแกร่งเหล่านี้โดยที่ข้าเหลือแต่เพียงดวงจิตเช่นนี้ ข้าก็คงไม่สามารถช่วยอะไรพวกท่านมากได้เช่นกัน”

หลังจากพูดจบ ลั่วหยุนก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่น

เพราะสำนักที่อยู่ในวังวนความวุ่นวายนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสำนักที่แข็งแกร่ง หากเมื่อไหร่ที่พวกเขาทั้งหมดเริ่มลงมือ พวกเขาจะต้องส่งผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขามาเข้าร่วมแน่นอน ซึ่งนั่นก็คือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ

และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาซึ่งเหลือแต่เพียงดวงจิตจะกลายเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดหากเทียบกับสำนักอื่น ๆ

“ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ สำนักเบญจธาตุ เมืองเทวราช ยอดเขาหยกจักรพรรดิ ตำหนักเทพเหมันต์…” หลิงตู้ฉิงทวนชื่อที่ลั่วหยุนพูดถึงแล้วมองอย่างจริงจังและพูดขึ้น “แถมยังมีหอการค้าเชื่อมสวรรค์ซึ่งถูกหนุนหลังโดยตำหนักเทพโชคลาภของเจ้าอีก เฮ้อ อาณาเขตนภานี่มันค่อนข้างวุ่นวายซะจริง ๆ”

ลั่วหยุนทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นกับชื่อที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยถึง เขาพูดว่า “ท่านหลิง ในตอนนี้ข้าที่เหลือแต่ดวงจิตนั้นมีระดับการบ่มเพาะเหลือแค่เพียงขอบเขตราชันเท่านั้น ข้าเองก็หมดปัญญาที่จะไประงับความโกลาหลนี้ได้เช่นกัน”

หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นก็ช่างมัน ปล่อยให้พวกเขามาเถอะ”

ลั่วหยุนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความซับซ้อน เขาส่ายหัวและหยุดตั้งคำถาม แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ในเมื่อสัญญาได้ระบุไว้ว่าหน้าที่ของเขานั้นเป็นเพียงผู้พิทักษ์เป็นเวลา 300 ปีเท่านั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงมันก็คงไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ และอีกอย่างในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง

“การประมูลสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกำลังจะเริ่มขึ้น ดูเหมือนว่าตอนนี้เหล่าขุมกำลังทั้งหลายกำลังจะเริ่มมากันแล้วล่ะนะ” ในขณะที่ลั่วหยุนพูด เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังวิญญาณ

ลั่วหยุนขมวดคิ้วและโบกมือขึ้นสร้างจอภาพขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสามคน เพื่อดูฉากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในเวลานี้ใกล้กับหอการค้าเชื่อมสวรรค์ ในบริเวณที่ศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์ประจำอยู่ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ระดับนักบุญกำลังบุกเข้ามาหาหุบเขาบุปผาอนันต์

ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญนั้นแข็งแกร่งกว่าศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์หลายเท่า ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าศิษย์ของหุบเขาบุปผาอนันต์ไม่มีทางต่อต้านพวกเขาได้เลย

คนเดียวที่สามารถต้านทานได้คือ ซือเสี่ยวฮุย

อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับการบ่มเพาะที่เหนือกว่าของซือเสี่ยวฮุย หลังจากที่ปะทะกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญทั้งสามเมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้จึงล่าถอยไปในทันที ส่วนทางซือเสี่ยวฮุยเองก็ไม่กล้าไล่ตามพวกเขาเพราะนางต้องอยู่ปกป้องศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์ สถานการณ์เช่นนี้มันจึงทำให้ซือเสี่ยวฮุยเดือดดาลเป็นอย่างมาก

“พวกมันคือ เมล็ดพันธุ์ปีศาจ!” ลั่วหยุนพูดอย่างเย็นชา “แค่ไม่กี่พันปีผ่านไป ไอ้เมล็ดพันธุ์ปีศาจบ้านี่มันกลับสามารถบ่มเพาะได้ไปจนถึงระดับนักบุญซะแล้ว เราต้องกำจัดมันให้ได้ ไม่เช่นนั้นหายนะครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้นกับอาณาเขตนภาแน่นอน”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่เหตุการณ์ที่เกิดในจอภาพด้วยความสนใจและพูดว่า “ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นเมล็ดพันธุ์ปีศาจ ในบรรดาพวกมันทั้งสามมีอยู่หนึ่งที่มีกลิ่นอายปีศาจที่หนาแน่น ส่วนอีก 2 คนนั้นมีกลิ่นอายปีศาจที่เบาบางกว่ามาก ซึ่งมันน่าจะเป็นเพราะพวกเขาบ่มเพาะวิชามารมาซะมากกว่า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วหยุนรู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นเขาจึงจับจ้องไปที่จอภาพที่กำลังฉายร่างของผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญทั้งสามที่กำลังถอยหนี ซึ่งเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างมันจะยิ่งซับซ้อนขึ้นมากกว่าเดิมไปอีก ดูเหมือนว่าการกำจัดวิญญาณปีศาจในครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย”

เมล็ดพันธุ์ปีศาจนั้นมีจำนวนจำกัด ต่อให้พวกมันจะบ่มเพาะได้รวดเร็ว แต่มันก็ไม่ได้มีจำนวนมากนัก แต่ถ้าหากพวกมันมีผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ คอยช่วยเหลือ สถานการณ์มันก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น

เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลั่วหยุนจึงส่งข้อความทางโทรจิตออกไป จากนั้นจู่ ๆ บนท้องฟ้าเหนือเมืองหยูหลันก็มีช่องว่างหนึ่งเปิดออกพร้อมกับมีผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญกลุ่มหนึ่งต่างบินกรูกันออกมา และในเวลาเพียงสองลมหายใจผู้บุกรุกทั้งสามก็ถูกสังหารจนหมด

หลังจากนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับนุกบุญทั้งสามของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ก็ได้บินมานั่งใกล้กับเหล่าศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์ เพื่อคอยปกป้องพวกนาง ซึ่งภาพเช่นนี้ทำให้เหวินลู่หยานและคนอื่น ๆ รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้พวกนางกังวลใจเป็นอย่างมากกับการที่พวกนางทั้งสำนักต้องมาที่เมืองหยูหลันนี่ เนื่องจากพวกนางไม่มีความมั่นใจเลยว่าหลิงตู้ฉิงและซือเสี่ยวฮุยจะทำอะไรกับพวกนาง

แต่สิ่งที่พวกนางแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือการมาที่นี่ของพวกนางมันต้องมีความเกี่ยวข้องกับการบานของกล้วยไม้หยก

แต่สิ่งที่พวกนางไม่แน่ใจก็คือว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกนางต่อจากนี้ พวกนางไม่รู้ว่าจะถูก ‘สังเวย’ จะกลายเป็นแพะรับบาปหรือแม้กระทั่งจะถูกสังหารหรือเปล่า

แต่เมื่อมองไปที่สถานการณ์ปัจจุบันที่หอการค้าเชื่อมสวรรค์คอยสนับสนุนพวกนางและปกป้องอย่างแน่นหนา พวกนางก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

แต่จากนั้นเพียงครู่เดียว กระแสพลังวิญญาณอีกระลอกก็ผันผวนขึ้นในบริเวณเรือนบนยอดเขา

ลั่วหยุนเปลี่ยนทิศทางการฉายของจอภาพทันทีและภาพของเรือนบนยอดเขาก็ปรากฎขึ้นในจอ

“มันคือเรือนที่ท่านอาศัยอยู่!” ลั่วหยุนมองไปที่หลิงตู้ฉิง

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร

ในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้หนึ่งกำลังพุ่งตรงไปเรือนบนยอดเขา อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาเข้าไปใกล้ เขาก็ถูกเย่หยูหลันสังหารไปโดยไม่ยากเย็นทันที

“นั่นมันคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์สินะ ในเมื่อเรือนของท่านมีนางอยู่ปกป้องมันก็คงไม่มีอะไรต้องให้กังวลแล้วล่ะ” ลั่วหยุนหัวเราะ “หลังจากการประมูลสิ้นสุดลง เราจะเริ่มจัดการกับวิญญาณปีศาจนี้ทันที หลังจากผนึกมันมานานกว่าหมื่นปีในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่ข้าจะได้ชำระหนี้กับมันสักที!”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันกลับและเปิดช่องว่างมิติขนาดกว้างเท่าตัวคนและเดินเข้าไปพร้อมกับโม่เอ๋อ

เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิง ‘จากไปโดยไม่บอกลา’ ใบหน้าของลั่วหยุนเผยให้เห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาด

นี่ท่านคิดว่าข้าไม่มีค่าพอให้เอ่ยคำลาอย่างนั้นเลยงั้นเหรอ? ลั่วหยุนเยาะเย้ยตัวเองในใจ