ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 1 เจ้าอ้วนของบ้านเราไม่อาจถูกปั่นหัวได้ง่ายๆ หรอกนะ โดย Ink Stone_Fantasy
“หวังลู่ นี่เจ้าอกหักงั้นหรือ”
“หา?”
เถ้าแก่เนี้ยจากที่นอนพิงโต๊ะยาวอยู่ก็ยืดตัวขึ้น สีหน้ากระตือรือร้นประหนึ่งคนที่โปรดปรานข่าวซุบซิบ “หลังจากที่เจ้าลงจากเขาไป เจ้าก็ไปเจอหญิงสาวปุถุชนรูปโฉมสะคราญ เจ้าหลงรักนางหัวปักหัวปำ ทว่าวิถีแห่งเซียนแตกต่างจากวิถีมนุษย์ เจ้าไม่อาจให้ความสุขตามที่นางปรารถนาได้ เจ้าจึงต้องจำใจลาจากนางมา แต่ก็มิอาจสลัดนางออกจากใจได้…ข้าพูดถูกไหม”
“นี่ท่านอยู่ในช่วงกระสันงั้นหรือ จู่ๆ คิดเรื่องน่าละอายเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร” หวังลู่ตะคอกอย่างฉุนเฉียว “แต่ก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง ครั้งนี้หลังจากที่ลงจากเขาไปแล้ว ข้าก็ไปเจอปัญหาเข้าจริงๆ ดังนั้นข้าก็เลยกลับมาเพื่อมาหาท่าน แล้วก็ดูว่าพอจะระดมคนไปช่วยเหลือข้าได้หรือไม่”
“ปัญหา?” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “นี่เจ้าเจอปัญหาจริงๆ น่ะหรือ ปัญหาที่ว่าคงจะหนักหนาเอาการแน่ๆ รีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้าสิ!”
หวังลู่ตบโต๊ะเสียงดัง “ไปเอาเหล้ามา!”
“…”
เมื่อได้ความกล้าจากน้ำเมาแล้ว หวังลู่ก็ทั้งสบถทั้งก่นด่าถึงประสบการณ์อันขมขื่นที่เขาเจอในหมู่บ้านตระกูลหวังตั้งแต่ต้นจนจบ
ผลที่ได้รับก็คือ…
“ฮ่าๆๆๆ! นี่เจ้าโดนพวกบ้านนอกคอกตื้อนั่นปรามาสมาจริงหรือ!? ข้าฟังผิดไปหรือเปล่า!?”
ระยำเอ๊ย หญิงสาวผู้นี้เหตุใดถึง ‘อ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ ขนาดนี้นะ!?
ทว่าหวังลู่ก็มิอาจตอกหน้านางกลับได้ นั่นเพราะ…แทนที่จะพ่ายแพ้ให้สำนักเศษสวะอย่างสำนักเจ็ดดารา อาจกล่าวได้ว่าความจริงแล้วเขาพ่ายแพ้ให้กับชาวบ้านตระกูลหวังที่ตื้นเขินต่างหาก หากคนพวกนั้นใช้สมองตรองดูสักนิด ก็คงไม่ต้อนหวังลู่ให้จนมุมเช่นนี้หรอก
ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริงๆ
ด้วยอารมณ์โกรธของเขา เช่นนี้แล้วเขาจะฝึกความอดกลั้นได้อย่างไร แม้ก่อนจะจากมา เขาได้ขู่จะฆ่าพวกชาวบ้านที่คิดแตะต้องบิดามารดาของเขาเอาไว้แล้ว จนทำให้พวกโง่เขลาเหล่านั้นกลัวจนหัวหดก็ตาม แต่นั่นเป็นผลจากการที่เขาพยายามอย่างหนักที่จะข่มความโกรธต่างหาก
ไม่ใช่ว่าเขาหัวรุนแรงและกระหายเลือดสักนิด แต่เขาเลือกที่จะใช้วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาต่างหาก หากเป็นที่อื่นๆ เมื่อต้องเผชิญกับพวกสิบแปดมงกุฎ เขาคงแค่ยกกระบี่ขึ้นมาสังหารคนพวกนั้นเสีย แต่พอเป็นหมู่บ้านเกิดของตัวเอง มือและเท้าของเขากลับถูกพันธนาการเอาไว้!
มันทำให้เขาอึดอัดใจ อึดอัดใจที่สุด! น่าเศร้าที่มันเป็นหมู่บ้านของเขาเอง เขาจึงต้องทนกล้ำกลืนเอาไว้!
“เอาล่ะ งั้นขั้นตอนการรอมชอมก็คือไปจับตัวเจ้าสำนักเจ็ดดาราแล้วพามายังหมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อสารภาพความผิดทั้งหมด หากคนร้ายยอมจำนน พวกชาวบ้านก็คงหมดคำจะพูด!”
เถ้าแก่เนี้ยเคี้ยวถั่วปากอ้าพลางขมวดคิ้ว “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องทำนงทำเนียมอะไรนั่นหรอก แต่ข้ารู้สึกว่าแผนของเจ้ามันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่”
“บัดซบ! เถ้าแก่ระดับสามที่มีเงินหมุนเพียงหยิบมืออย่างท่านมีคุณสมบัติพอที่จะประเมินแผนของข้าด้วยหรือ”
ถ้าแก่เนี้ยระเบิดอารมณ์อย่างโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นรึ! ดีล่ะ! งั้นก็อย่ามาขอความช่วยเหลือจากข้าสิ! เด็กหนุ่มผู้ขมขื่นที่ไม่มีใครอยากจะเห็นหน้า ดั้นด้นมาหาความอบอุ่นจากข้า แต่ก็ยังมาพูดจากวนโทสะใส่กันอีก”
หวังลู่ตบโต๊ะ “ใครดั้นด้นมาหาความอบอุ่นจากท่านกัน อย่าผลิตน้ำวิสุทธิ์เหลือเฟือ ไม่สิ! อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง[1]หน่อยเลย เข้าใจไหม!?”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังโต้เถียงกันอยู่ คนผู้หนึ่งก็เดินเข้าประตูมา “พี่หลิง พี่หลิง ข้าเตรียมของที่ท่านต้องการทั้งหมดแล้ว มัน… อ้าว ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านเองหรือ”
หวังลู่หันกลับไป “เหวินเป่า ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
คนที่เดินเข้ามาก็คือเหวินเป่า เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู มือหนึ่งหิ้วหมูเป็นๆ อยู่ สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“อย่าขวางประตู เข้ามา”
หลังจากที่เถ้าแก่เนี้ยเรียกเหวินเป่าให้เข้ามาในห้องและวางหมูลง เหตุผลที่เขายังคงอยู่ที่นี่ก็กระจ่างขึ้น
นั่นเพราะตั้งแต่เริ่มแรกของการออกเดินทางเรียนรู้หาประสบการณ์ ศิษย์คนอื่นๆ ต่างพากันเลือกสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของตน มีเพียงเหวินเป่าที่ยังลังเลใจ
นั่นเพราะไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ล้วนยากไปหมดสำหรับเขา
เส้นทางการบำเพ็ญเซียนของเหวินเป่านั้นแตกต่างจากศิษย์สำนักชั้นในคนอื่นๆ เขาเลือกเส้นทางที่สุดโต่งเช่นเดียวกับหวังลู่แต่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน นั่นคือเขาชำนาญด้านการโจมตี ก่อนที่จะลงจากเขา เหวินเป่าสำเร็จขั้นสูงสุดของเพลงกระบี่เหล็กนิลดำแล้ว มันเป็นเพลงกระบี่ของโลกบำเพ็ญเซียนที่สามารถทลายทั้งภูเขาได้ อีกทั้งขั้นตบะของเขาก็แตะขั้นฝึกปราณระดับแปด ดังนั้นพลังโจมตีของเขาจึงน่าสะพรึงมากเสียจนศิษย์พี่ตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงยังตะลึงงัน
ทว่าความสามารถด้านอื่นๆ ของเขาเรียกว่าไม่ได้ความ แถมการออกเดินทางเรียนรู้หาประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เป็นการวัดความสามารถรอบด้านของเหล่าศิษย์ เหวินเป่าเค้นสมองเพื่อประเมินสถานที่แนะนำแต่ละที่และตัดสินใจได้ว่า แม้แต่ที่ที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังถือว่าเสี่ยงไปสำหรับตน
ดังนั้นเหวินเป่าจึงปลีกตัวออกมาลำพัง และเพราะไม่อาจกลับขึ้นไปบนภูเขาได้ เขาจึงอาศัยอยู่ที่เมืองธาราวิญญาณเป็นการชั่วคราวโดยให้เหตุผลที่สละสลวยว่ากำลังรอคอยสหายร่วมกลุ่มเรียกตัว การออกเดินทางเรียนรู้ประสบการณ์ครั้งนี้อนุญาตให้เหล่าศิษย์จับกลุ่มกันได้ ส่วนรายงานก็จะต้องเขียนร่วมกัน ทว่าจำนวนคนในกลุ่มมีได้สูงสุดเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งยังอนุญาตให้หลายกลุ่มร่วมแก้ปัญหาเดียวกันอีกด้วย แต่คะแนนที่ได้จากรายงานก็ต้องถูกหารตามสัดส่วนกันไป
เหวินเป่าทำงานให้เถ้าแก่เนี้ยไปพลางรอคอยให้มีใครสักคนเรียกเข้าร่วมกลุ่มไปพลาง ตามคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย คือเขาคงรอไปจนแก่ตาย แต่อย่างไรเสีย…เขาก็จำต้องรออยู่ดี!
“ศิษย์พี่หวังลู่ ตอนที่ท่านลงจากเขา ทำไมท่านไม่เรียกหาข้าเล่า”
ทั้งใบหน้าอวบอ้วนและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นข้องใจ ในอดีตตอนที่พวกเขาเร่งรุดไปยังผามังกรครามด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นโดยปริยาย ในการเรียนรู้หาประสบการณ์ครั้งนี้ เขายังคิดว่าจะได้สำแดงพลังการจู่โจมร่วมกันอีก ทว่าหวังลู่กลับออกเดินทางไปตามลำพัง! เขาจึงอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
“ว่าแต่ท่านกลับมาทำไม”
หวังลู่คิดว่าควรบอกความจริงให้เหวินเป่ารู้ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ใบหน้าของเหวินเป่าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ “สำนักเจ็ดดาราช่างน่ารังเกียจนัก พวกเขากล้าข่มเหงคนในหมู่บ้านของศิษย์พี่หวังลู่ แบบนี้ให้อภัยไม่ได้แล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยเลิกคิ้ว “งั้นหรือ ข้าคิดว่าชาวบ้านพวกนั้นต่างหากที่น่าชัง พวกเขาโง่เง่าถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน แถมยังเชื่อคนนอกมากกว่าหวังลู่ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านตัวเองอีก อย่างไรเสียเจ้าเด็กนี่ก็เคยอยู่ในหมู่บ้านนั้นมาสิบกว่าปี พวกเขากลับบุ่มบ่ามตัดสินว่าเป็นปีศาจเสียได้”
หวังลู่ฮัดฮัดพลางคิดว่า ‘ท่านคิดงั้นรึ’
เมื่อเทียบกับพวกสำนักเจ็ดดาราจอมวายร้ายแล้ว เป็นชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลหวังเสียอีกที่ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนจิตใจดี ทว่าจากกันเพียงสองปีกว่าพวกเขาก็กลายเป็นคนโง่เขลาไปเสียได้…
ครั้งนี้เหวินเป่าอธิบายอย่างใจเย็นราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ “พวกเขาก็แค่ชาวบ้าน จะโง่เง่าไปบ้างก็ไม่น่าแปลกใจ หากเป็นคนระดับอื่น สำนักเจ็ดวิญญาณก็ไม่อาจหลอกได้แน่! ยิ่งโง่เท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
“…”
หวังลู่กับเถ้าแก่เนี้ยนิ่งอึ้งไป ต่างฝ่ายต่างตะลึงกับ ‘วรรคทองแห่งปี’ ของเหวินเป่าเป็นอย่างมาก
“ฟังดูมีเหตุผล” เถ้าแก่เนี้ยประเมินอย่างคลุมเครือพลางเคี้ยวถั่วปากอ้าทอดไปด้วย
หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย “คำพูดเช่นนี้ไม่น่าออกจากปากของคนที่มีระดับปัญญาเจ้าเลย นี่ไม่ใช่คำพูดหยาบๆ จากคนหยาบๆ แต่เป็นคำคมชัดๆ”
เหวินเป่ารู้สึกอับอาย “ความจริงแล้วนั่นเป็นคำพูดของพ่อข้าต่างหาก ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจความหมายหรอก ได้แต่จดๆ มันเอาไว้”
“อ๋อ เป็นเช่นนี้นี่เอง อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงบุตรของราชครู ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะเรียนรู้อะไรมาบ้าง”
“ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านชมเกินไปแล้ว… เอ่อ หากท่านไม่มองว่าข้าต่ำต้อยเกิน งั้นเรามาจับกลุ่มกันไหม”
“จับกลุ่ม?” หวังลู่ตะลึงไปพักใหญ่ก่อนจะจ้องมองเหวินเป่าอย่างพินิจพิเคราะห์ “อืม ฟังดูเข้าที อย่างไรเสียข้าก็ยังขาดเรื่องกำลังคน ได้อีกคนมาเสริมแรงก็น่าจะดี เพราะลำพังข้าน่ะไม่สามารถโค่นสำนักเจ็ดดาราได้แน่”
“เยี่ยมเลย เยี่ยม” เหวินเป่าตอบกลับอย่างกระตือรือร้น แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “เอ่อ ว่าแต่สำนักเจ็ดดารานี่อยู่ระดับไหนกัน”
หวังลู่ตอบกลับ “ระดับเศษสวะ พวกเขาคุณสมบัติไม่พอจะเข้าเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยซ้ำ ข้าว่ามากสุดเจ้าสำนักก็อยู่แค่ขั้นพิสุทธิ์นั่นแหละ”
“…” เหวินเป่าขวัญกระเจิงจนทั้งร่างแข็งทื่อราวกับหินทีเดียว “ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านว่าไงนะ เจ้าสำนักของพวกเขาอยู่ในขั้นไหนนะ”
“ขั้นพิสุทธิ์ เฮอะ ยังไม่ถึงขั้นสร้างแกนด้วยซ้ำ”
เหวินเป่ากระอักเลือดออกมากองโต “ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านเองอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ แล้วท่านไปเอาความรู้สึกเป็นต่อนี่มาจากไหนกัน ไม่ว่าสำนักนั่นจะสวะเพียงใด แต่เจ้าสำนักก็ยังอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ ขั้นพิสุทธิ์เชียวนะ! วงโคจรของพลังอิทธิฤทธิ์ของคนพวกนี้ถูกบีบอัดจนถึงจุดหนึ่งแล้ว และอย่างไรเสีย เขาย่อมมีพลังมากกว่าเราเป็นร้อยๆ เท่าแน่นอน แล้วนี่ท่าน…”
หวังลู่พูดหยันเสียงเย็น “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว สิ่งที่เจ้าเปรียบจะเป็นจริงก็เฉพาะกับศิษย์ขั้นพิสุทธิ์ของสำนักเราเท่านั้น แต่กับสำนักสวะอย่างสำนักเจ็ดดาราแล้วนั้น ขั้นพิสุทธิ์ที่มีพลังมากกว่าเราแค่สิบเท่าก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว… อย่าลืมทฤษฎีที่ว่า หากศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณลงจากเขาแล้ว ย่อมต้องได้พบกับผู้ฝึกเซียนจากสำนักต่างๆ ที่ด้อยกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจะประเมินความสามารถพวกเขา ศิษย์อย่างเราต้องใช้กฎมากกว่าขั้นหนึ่ง นั่นคือ ศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับต่ำของสำนักเราเทียบเท่ากับศิษย์ขั้นสร้างฐานระดับต่ำของสำนักอื่นอย่างไรเล่า”
เหวินเป่าแทบจะเป็นบ้าอยู่ร่อมร่อ “นั่นมันก็แค่กฎสั่วๆ ไร้ความรับผิดชอบ! อีกทั้งยังใช้ได้เฉพาะกับขั้นสร้างฐานไปจนถึงขั้นสร้างแกนเท่านั้น เรายังเป็นแค่ศิษย์ใหม่ที่ยังมีพื้นฐานไม่มากพอจะท้าประลองกับผู้ฝึกเซียนต่างขั้น! อีกทั้งเรายังเป็นแค่ผู้ฝึกเซียนขั้นสร้างปราณระดับต่ำ เทียบกับขั้นพิสุทธิ์แล้วยังถือว่าต่างกันลิบลับ!”
หวังลู่เถียงกลับ “แต่ข้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอด เพราะงั้นหากจะบวกเพิ่มอีกขั้นนึงในการท้าประลองกับผู้ฝึกเซียนต่างขั้นมันก็เป็นไปได้ จริงไหม”
“นี่ท่านตื่นหรือยังเนี่ย!? คิดว่าการเป็นศิษย์ผู้สืบทอดมันเจ๋งขนาดนั้นเลยหรือ!? คิดจะเพิ่มตบะให้ตัวเองอีกขั้นในการท้าประลองกับผู้ฝึกเซียนต่างขั้นงั้นรึ ท่านคิดว่าตัวเองเป็นหลิวหลีเซียนหรือจูซือเหยาหรืออย่างไร!?”
เมื่อนึกถึงศิษย์พี่หญิงที่เป็นดั่ง ‘ปีศาจ’ สองคนนี้แล้ว หวังลู่จึงจำต้องอธิบายอีกหน “เจ้าก็รู้ว่าวิชาตั้งรับไร้ลักษณ์ของข้ามันน่าทึ่งแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะทนต่อการโจมตีของขั้นพิสุทธิ์ได้ เจ้าว่าไหม”
“ขั้นตบะห่างกันตั้งสองขั้น!? ท่านกล้าดียังไงถึงคาดการณ์ออกมาได้หน้าไม่อายขนาดนี้!? อีกอย่างนะมีพลังตั้งรับที่น่าทึ่งมันดีเด่ที่ตรงไหนกัน ท่านอยากเป็นกระสอบทรายงั้นหรือ!?”
“เพราะงั้นข้าถึงมาระดมพลอย่างไรเล่า ตอนแรกข้าว่าจะขอร้องศิษย์ผู้สืบทอดสักสองคนให้ช่วย แต่ในเมื่อข้าเจอเจ้าแค่คนเดียว ก็คงต้องจัดการไปเท่าที่มีนั่นแหละ”
“ข้าไม่ขอไปตายกับท่านด้วยหรอก ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้อีกนิด!”
“จะว่าไปข้าได้ยินว่าทักษะของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้วนี่”
“นั่นเพราะท่านบังคับข้าต่างหาก ศิษย์พี่หวังลู่! ทุกครั้งที่เราไปที่เขาเมฆาครามเล็ก เหมือนท่านอยากต้อนให้ข้าจนมุมเสียก่อนท่านถึงจะพอใจ!”
หวังลู่กับเถ้าแก่เนี้ยมองหน้ากัน สำหรับพวกเขา การได้เห็นเหวินเป่าใกล้เป็นประสาทนั้นน่าสนุกไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเหวินเป่าผู้ตื่นรู้”
“ผู้ตื่นรู้อะไร!?”
“พูดสั้นๆ ก็คือ ข้ารับฟังในสิ่งที่เจ้ากังวล หากเจ้าสำนักเจ็ดดารามีตบะอยู่ในขั้นพิสุทธิ์จริงอย่างที่คาดการณ์ล่ะก็ แค่เราสองคนคงไม่เพียงพอที่จะรับมือได้ไหว”
ตอนนั้นเองเถ้าแก่เนี้ยก็พูดขัดขึ้นมา “ไม่ใช่แค่เจ้าสองคนหรอก ต่อให้รวมศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนก็ยังยากที่จะต่อกรกับผู้ฝึกเซียนขั้นพิสุทธิ์เลย เพราะฉะนั้น…”
หวังลู่ยิ้ม “เพราะฉะนั้น…”
เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันที ราวกับว่ามีสิ่งโสมมสัมผัสที่หลังของนาง
“เพราะฉะนั้น พี่หญิงหลิง ครั้งนี้เราคงต้องกวนท่านช่วยเหลือเราด้วย”
“…”
“ฟังนะ ท่านไม่ใช่คนในสำนัก ต่อให้ท่านร่วมกลุ่มกับเรา ก็ไม่ถือว่าเกินจำนวนที่กำหนด อีกทั้ง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “…ข้าไม่อยากร่วมกลุ่มกับเจ้า”
หวังลู่ตะลึงงัน “หา? ทำไม ข้าไม่เห็นท่านจะมีงานอะไรทำเลยในโรงเตี๊ยมเนี่ย”
“ไม่มีงานอะไรทำ? พูดจาบาดหูยิ่งนัก!”
“ลูกค้าท่านก็พอๆ กับโรงอาหารยอดเข้าเร้นลับนั่นแหละ ข้าพูดเรื่องจริง ต่อให้ท่านไม่อยากยอมรับก็เถอะ”
“เจ้า เจ้ากล้าเทียบข้ากับแม่ครัวหมาเน่าจากตะวันตกงั้นรึ!? ข้าจะบอกให้นะ แม้แต่สำนักเองก็ยังบังคับให้ข้าทำภารกิจไม่ได้เลย!?”
เมื่อได้ยินคำตอบที่เด็ดขาดเช่นนั้น หวังลู่ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เหวินเป่า เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ”
“หา!? เอ่อ ก็ได้” เหวินเป่าอ้วนเดินออกไปในทันทีโดยไม่คิดตั้งคำถามอะไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงโชคดียิ่งนักที่ไม่ต้องได้คำพูดภายในโรงเตี๊ยม
“โธ่ท่านอาจารย์ โปรดช่วยศิษย์คนนี้ด้วยเถอะ!”
“ระยำ! เจ้าใช้อุบายแบบนี้อีกแล้วนะ!?”
“ท่านอาจารย์ ช่วยศิษย์ของท่านด้วยนะ!”
“เจ้า… ก็ได้ ก็ได้ ข้ารับปากเจ้าก็ได้! พอที เลิกคุกเข่าคำนับได้แล้ว!”
………………………………………………………
[1] 自作多情 zì zuò duō qíng แปลว่าคิดเข้าข้างตัวเอง ตอนแรกหวังลู่ใช้คำว่า 自作多精 ซึ่ง 精 jīng แปลว่าน้ำอสุจิ