ตอนที่ 2 แกะรอยสัมผัสสิบแปด (1) โดย Ink Stone_Fantasy
“พูดสั้นๆ ก็คือ ด้วยเหตุผลหลายประการ พี่หญิงหลิงผู้ปราดเปรื่องและเก่งกาจของเราตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มเพื่อปราบสำนักเจ็ดดารากับเราด้วย”
ที่นอกโรงเตี๊ยม หวังลู่แนะนำสหายร่วมศึกคนใหม่กับเหวินเป่า ผู้ที่ดูเหมือนคาดหวังให้เรื่องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
บุตรสาวนอกกฎหมายของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณ เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมตระกูลหรูแห่งเมืองธาราวิญญาณ และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือ แม่นางเฟิงหลิง!
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกทำเป็นเล่นแล้วรีบๆ จบเรื่องนี้เสียที ไม่เช่นนั้นข้าจะกลับไปนอนต่อแล้ว… ข้าว่าตอนนี้กลุ่มของเจ้าก็สมบูรณ์แล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อล่ะ มีแผนการในใจแล้วหรือยัง”
“แน่นอน แผนต่อไปก็คือทลายฐานที่มั่นหลักของสำนักเจ็ดดารา ลากตัวเจ้าสำนักไปยังหมู่บ้านตระกูลหวังเพื่ออธิบายทุกอย่างให้ชาวบ้านฟัง จากนั้น… พวกเขาจะคิดเห็นเช่นใดก็ไม่ใช่ปัญหาของข้าอีกแล้ว”
“…แล้วรู้หรือว่าฐานที่มั่นของพวกเขาอยู่ที่ไหน”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
“ระยำแท้! เรื่องนี้เจ้าเองก็ยังไม่รู้ แล้วจะให้คุยหาบิดาเจ้าหรือ!? ข้าไปนอนต่อละ!”
“อย่ากังวลไปเลยน่า ต่อให้ตอนนี้ข้าไม่รู้ แต่เราย่อมหาจนเจอได้แน่” หวังลู่ยิ้มหยัน “หากตามเบาะแสไป เราย่อมเจอฐานที่มั่นของพวกมันได้อย่างง่ายดาย”
“ไหนเล่าเบาะแส”
“แน่นอนว่าต้องอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง”
เถ้าแก่เนี้ยตะลึงงัน “ไม่ใช่ว่าเจ้าไล่คนพวกนั้นออกจากหมู่บ้านไปหมดแล้วหรือ…”
“ตัดบัวยังเหลือใยไหมเล่า”
“ใยอะไรของเจ้า… ช่างเถอะ หมู่บ้านตระกูลหวังงั้นสินะ ไม่ไกลจากที่นี่มากใช่ไหม เจ้ายังจำได้หรือเปล่าว่าความสามารถของข้ามีผลแค่เฉพาะในแคว้นธาราครามเท่านั้น เพราะฉะนั้น…”
“ข้ารู้ นั่นเพราะจุดชีพจรของพลังปราณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในแคว้นธาราครามใช่ไหมเล่า วางใจเถอะ ข้าพาท่านไปด้วยเพื่อเสริมพลังโจมตี ไม่ใช่เพื่อคอยยั้งเรา สำนักเจ็ดดาราเป็นแค่สำนักสวะๆ ดังนั้นข้าว่าฐานที่มั่นของคนพวกนั้นต้องไม่ไกลจากหมู่บ้านตระกูลหวังแน่นอน” ——
ไม่ช้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัดบัวยังเหลือใย’ ของหวังลู่ ก็ทำให้พวกเถ้าแก่เนี้ยได้เปิดโลกกว้าง
สี่วันต่อมา ทั้งหมดก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลหวัง ในคืนนั้นเอง ภายใต้การสั่งการของหวังลู่ เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของกิจการผู้ซื่อตรง ก็ได้ทำกิจที่น่ารังเกียจลงไป นั่นคือแอบย่องเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อลักพาตัวชาวบ้านออกมา
หนำซ้ำ ตามคำสั่งของหวังลู่ นางยังต้องมัดชาวบ้านผู้นั้นด้วยเชือกป่านจนร่างของเขาดูเหมือนเกี๊ยวนึ่งไม่มีผิด แถมเชือกยังรัดแน่นเสียจนผิวของคนผู้นั้นกลายเป็นสีม่วงเหมือนกุ้งย่าง
“…นี่ ข้าว่ามัดขนาดนี้เขาอาจถึงตายได้นะ”
นางแบกตัวประกันขึ้นไหล่แล้วรีบวิ่งออกจากหมู่บ้านไปยังยอดเขาของหุบเขาหูสุนัข เถ้าแก่เนี้ยไม่รู้ความตั้งใจของหวังลู่ นางจึงพูดเตือนออกไป
แต่หวังลู่ไม่ได้อธิบายอะไร เขาเดินตรงไปที่บุคคลซึ่งถูกลักพาตัวมา ยัดเศษผ้าสะอาดเข้าไปในปากคนผู้นั้น จากนั้น…
เพียะ!
หวังลู่ตบเข้าที่แก้มของคนผู้นั้น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “หากเจ้าไม่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไป ก็คงไม่ต้องมารับผลเช่นนี้หรอก อย่างน้อยเราก็คนร่วมหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่อยากฆ่าเจ้าเลยจริงๆ เสี่ยวหู”
หวังเสี่ยวหูที่ถูกมัดแน่นจนดูเหมือนกุ้งย่างตื่นตกใจ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าเขาจะจำเสียงของหวังลู่ได้
“พี่หวังลู่ อย่าฆ่าข้าเลยนะ”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือและแผ่วเบา
หวังลู่ส่งเสียงฮึ “ข้าอยากถามคำถามเจ้านิดหน่อย หลังจากนั้นข้าจะปล่อยเจ้ากลับไป”
“…ตกลง”
“เจ้ารู้ฐานที่มั่นของสำนักเจ็ดดาราหรือไม่”
“ข้า ข้าไม่รู้ มีเพียงอาจารย์ของข้า…กับทูตระดับสี่ดาวเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้ฐานที่มั่นของสำนัก”
“อาจารย์ของเจ้าคือใคร”
“เขาชื่อเหอถาน… ผู้ฝึกเซียนที่เจ้าฆ่าตายไปเมื่อวันนั้น”
“นอกจากอาจารย์ของเจ้าแล้ว เจ้ารู้จักคนของสำนักเจ็ดดาราอีกบ้างไหม”
“โจวหมิงรุ่ย… ทูตคนที่เจ้าฆ่า”
“นอกนั้นล่ะ”
“ข้ายังเป็นแค่เด็กใหม่ เพราะงั้น…จึงไม่รู้อะไรมากนัก” เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวังเสี่ยวหูก็เริ่มสั่นกลัว เขาเกรงว่าหากเขาไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวังลู่จะโมโหจนฆ่าเขาทิ้งเสีย
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น เขากลับพบว่าดวงตาของหวังลู่นั้นเยือกเย็นราวกับดวงจันทร์ อารมณ์ของเด็กหนุ่มมิได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“หลายวันมานี้ มีคนจากสำนักเจ็ดดารามาหาเจ้าบ้างไหม”
“อ้า มี!”
“ใคร”
“หนึ่งในนั้นเป็นลูกศิษย์ระดับสองดาว ส่วนอีกคนข้าไม่รู้จัก เขาเป็นคนมาหาข้าเองแล้วเอาจดหมายจากสำนักให้ข้า”
“จากนั้นเล่า”
“เขาไม่ให้ข้าทำอะไรบุ่มบ่าม สำนักไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเจ้า แต่เขาต้องการให้ข้าคอยสอดส่องสถานการณ์แล้วรีบรายงานหากมีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“แล้วเจ้ารายงานพวกเขาไปหรือยัง”
“ข้าไม่ได้รายงานอะไร… ทั้งยังพยายามห้ามชาวบ้านบางคนที่คิดจะไปหาเรื่องพ่อของเจ้าด้วยซ้ำ ข้า…”
“เงียบปาก แล้วคนที่เจ้าต้องติดต่อด้วยอยู่ที่ไหน”
“เขาบอกว่าช่วงนี้เขาจะซ่อนตัวฝึกวิชาอยู่ที่นอกหมู่บ้าน หากอยากจะพบเขาต้องใช้เครื่องมือวิเศษช่วย… ข้าซ่อนสิ่งนั้นไว้ที่บ้าน มีเพียงข้าที่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”
พูดจบหวังเสี่ยวหูก็เงยหน้ามองหวังลู่อย่างคาดหวัง เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อให้หวังลู่ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยปาก “อยากให้ข้าไปตามหาหมอนั่นไหม”
หวังลู่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น อีกอย่างสติปัญญาระดับท่านจะให้ไปตามหาเจ้านั่นคงจะยากเกินไป”
“…”
จากนั้นหวังลู่ก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กระดูกกระบี่สองร้อยหกชิ้นที่สั่นสะท้านอยู่ใต้กระดูกจักรพรรดิซึ่งส่องแสงเรืองรอง ก็ระเบิดพลังดูดซับรุนแรงผิดธรรมดาออกมา
กำลังในการดูดซับพลังปราณฟ้าดินสำหรับตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนมาก พลังปราณฟ้าดินถูกพลังดูดซับจำนวนมหาศาลดูดเข้ามา และกำลังรวมตัวกันเป็นพายุที่มองไม่เห็น
เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ แต่กับผู้บำเพ็ญเซียนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หวังลู่แล้วนั้น พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวงยิ่งนัก
“พี่หวังลู่ นี่มัน…!?”
เรื่องการบำเพ็ญเซียน เหวินเป่าเองก็ถือว่ายอดเยี่ยม ทว่าเรื่องการดูดซับเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าไปนั้น พลังปราณรอบตัวที่เขาสามารถดึงเข้าร่างได้ไกลสุดก็เพียงห้าวาเท่านั้น อีกทั้งแรงต้านของพลังปราณก็มีมหาศาล ในระยะห้าวานี้ หากเขาสามารถสูดเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเข้ามาได้หนึ่งส่วน ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ทว่าที่หวังลู่เพิ่งสูดหายใจเข้าไปกระทบถึงพลังปราณวิญญาณฟ้าดินในระยะนับร้อยๆ วา ทำให้เหวินเป่านึกไปถึงปรมาจารย์ขั้นสร้างแกนที่อยู่ในสมาธิขั้นลึกของสำนัก
ตบะของหวังลู่อยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ เหตุใดการสูดเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินของเขาจึงรุนแรงยิ่งนัก!?
ทว่าในสายตาของหวังเสี่ยวหู ผู้ฝึกเซียนอีกคนหนึ่งนั้น ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ตื่นตะลึงจนทำให้จิตใจแทบกระเจิง
พอได้พึ่งพาหกประสานและโอสถเพาะรากวิญญาณ เมื่อสองปีก่อนหวังเสี่ยวหูจึงได้เข้าไปเป็นศิษย์สำนักชั้นนอกของสำนักเจ็ดดารา และจากการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของผู้เป็นบิดา เขาก็ได้ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างหนักหน่วงมากกว่าสองปีจนในที่สุดก็สำเร็จตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้าและได้เรียนรู้วิธีหายใจเพื่อดึงพลังปราณฟ้าดิน ในการฝึกฝน เขาสามารถสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกเพื่อดึงพลังปราณเข้าร่างได้เพียงหยดเล็กๆ แต่ก็ถือว่าดีไม่น้อยแล้วตามคำพูดของอาจารย์ และหากเขาพากเพียรฝึก ชั่วชีวิตนี้เขาก็อาจไปถึงขั้นสร้างฐานก็เป็นได้…
ทว่าสิ่งที่เขาอุตสาหะบำเพ็ญตบะมาตลอดสองปีนั้นยังมิอาจเทียบได้กับปริมาณของพลังปราณวิญญาณฟ้าดินที่หวังลู่เพิ่งสูดเข้าไปเมื่อครู่นี้เลย! หรือว่า…นี่ถึงเรียกว่าผู้ฝึกเซียนที่แท้จริง หากนี่เรียกว่าผู้ฝึกเซียนที่แท้จริง แล้วที่เขายากลำบากมาตลอดสองปีนี่…ก็ถือว่าเสียเปล่าโดยแท้!
ความเศร้าโศกเอ่อท่วมหัวใจชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหวังลู่ เขาไม่ได้ตั้งใจสูดเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่ออวดอ้างคุณความดีของรากวิญญาณนภา ความจริงแล้วสำหรับเขา สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างแท้จริง เพราะแม้เขาจะสูดเอาพลังปราณเข้าไปได้จำนวนมหาศาล แต่มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่เหลือรอดอยู่ภายใน
ครั้งนี้เขาสูดหายใจเพื่อหาบางอย่างต่างหาก
รากวิญญาณนภาย่อมตอบสนองได้ไว ดังนั้นในตอนที่พลังปราณยังเอ่อล้นอยู่ หวังลู่ก็จับร่องรอยการเคลื่อนไหวจางๆ ได้
“เจอตัวแล้ว ตามข้ามา”
……………………………………………………..