ตอนที่ 2 แกะรอยสัมผัสสิบแปด (2) โดย Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน ณ ที่ซ่อนตัวภายในหุบเขา ภายใต้แสงจันทร์สว่างเจิดจ้าที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก เหวยเหวินชิงที่กำลังบำเพ็ญเซียนด้วยวิชาของสำนักก็ลืมตาขึ้น
“…แปลก ข้ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพลังปราณวิญญาณฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลง”
สำหรับผู้ฝึกเซียนที่ใช้รากวิญญาณเทียม โดยเฉพาะพวกที่ครอบครองของไร้ราคาอย่างรากวิญญาณหกประสาน ยากยิ่งที่พวกเขาจะล่วงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณวิญญาณฟ้าดินได้ การรับรู้ถึงพลังปราณก็เหมือนนิทานเรื่องชายตาบอดกับช้าง ส่วนใหญ่คือขึ้นอยู่กับการคาดเดาของคนผู้นั้น แต่ครั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณนั้นรุนแรงมาก กระทั่งที่ว่าแม้การรับรู้ของเขาจะทึ่มทื่อเพียงใด เขาก็ยังสามารถรู้สึกได้
เหวยเหวินชิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ตัดสินใจไม่เสี่ยงและหยุดการบำเพ็ญตบะลงชั่วคราว ตามความคิดของศิษย์สำนักชั้นนอกอย่างเขา แม้เขาจะบำเพ็ญตบะล่าช้าไปสักวันหนึ่งก็คงไม่ต่างอะไร
ดังนั้นเมื่อไม่ได้บำเพ็ญเซียน…ภารกิจจับตาดูในครั้งนี้จึงน่าเบื่อยิ่งนัก
ในฐานะศิษย์ระดับสองดาว เขาจึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับหมู่บ้านตระกูลหวังมากนัก ทว่าเขารู้ได้เลาๆ ว่าสถานที่นี้อุดมไปด้วยพลังปราณวิญญาณฟ้าดิน หลังจากที่สำนักค้นพบที่นี่โดยบังเอิญ พวกเขาจึงวางแผนที่จะพุ่งเป้าพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งที่มั่นทางกลยุทธ์ในอนาคต ทว่าไม่นานมานี้กลับเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ เขาไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์นัก แต่ได้ยินมาว่ามีคนตายมากกว่าหนึ่ง… หรือคนของสำนักที่ตายไปจะกลายเป็นวิญญาณกลับมาสิงสู่ที่นี่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณวิญญาณฟ้าดิน
เมื่อได้สัมผัสแสงจันทร์นวลกระจ่าง เหวยเหวินชิงก็ยิ้มหยันตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียน เหตุใดจึงต้องหลอกให้ตัวเองกลัวด้วยเล่า ภูติผีจิ๊บจ๊อยที่เขาอาจต้องเผชิญหน้าถึงอย่างไรก็ไม่ครนามือเขาแน่!
ทว่าการรอคอยอยู่เฉยๆ ช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก หรือเขาควรฉวยโอกาสในตอนกลางคืนเช่นนี้บุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้านดี ตอนกลางวันเขามองเห็นหมู่บ้านได้จากระยะไกล และพบว่ามีสาวชาวบ้านหน้าตางดงามอยู่บ้าง เขาไม่คิดมาก่อนว่าหมู่บ้านหลังเขาเช่นนี้จะมีผลิตผลที่ดีเลิศไม่น้อย… คงน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วสาวงามพวกนี้ต้องตกอยู่ในกำมือของพวกชาวบ้านหยาบช้า ดังนั้นคงเป็นการดีไม่น้อยที่เขาจะได้ลิ้มลองโฉมของพวกนาง…และอาจคิดหาวิธีฝึกบำเพ็ญตบะคู่ไปพร้อมกันด้วยก็ได้! เมื่อคิดเรื่องนี้ เหวยเหวินชิงก็เริ่มถูกตัณหาเข้าครอบงำ
ทว่าอึดใจถัดมา กระบี่หน้าตาเรียบๆ ก็มาจออยู่ที่คอของเขา เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เหงื่อเย็นๆ ก็เริ่มหลั่งไหลลงมาท่วมตัว
ทันใดนั้นน้ำเสียงเยียบเย็นก็ดังมาจากด้านหลัง “หึ! ข้าเจอปลาจรจัดตัวหนึ่ง”
สิ่งต่อมาที่เหวยเหวินชิงรู้สึกก็คือ ใครบางคนเตะเขา มัดเขา ทรมานเขา พูดสั้นๆ คือ เขาอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเหลือทน
จากการเค้นเหวยเหวินชิง ความจริงหลายประการก็ปรากฏออกมา
สำนักเจ็ดดาราลังเลที่จะปล่อยมือจากหมู่บ้านตระกูลหวัง สำหรับสำนักชั้นสวะแล้ว สถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเช่นหมู่บ้านตระกูลหวังเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ในฝันของพวกเขา มันช่างประเมินค่าไม่ได้ จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะตัดใจ แต่เพราะเมื่อหลายวันก่อนหวังลู่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวด้วยการฆ่าคนของสำนัก พวกเขาจึงระงับการกระทำที่มุทะลุลง
และเมื่อได้ข่าวว่าหวังลู่ออกจากหมู่บ้านไปเมื่อสองสามวันก่อน ความละโมบของสำนักก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ผู้อาวุโสของสำนักคนหนึ่งที่ลงแรงกับแผนการครั้งนี้มากที่สุดได้ส่งศิษย์ระดับสองดาวมาลาดตระเวนแถวๆ หมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อดูสถานการณ์
โชคร้ายที่การกระทำครั้งนี้เป็นการเดินหมากผิดตา เหล่าลิ่วล้อที่ได้รับภารกิจให้สอดแนมไม่เพียงล้มเหลวในการรายงานข่าวให้สำนักเจ็ดดาราได้รับรู้ หนึ่งในนั้นยังถูกหวังลู่จับตัวไว้ได้และคายเบาะแสให้ศัตรูได้รู้ด้วยซ้ำ
“พูดมา ฐานที่มั่นหลักของสำนักเจ็ดดาราอยู่ที่ใด”
เมื่อถูกมัดราวกับเป็นปาท่องโก๋เกลียว ใบหน้าของเหวยเหวินชิงจึงคั่งไปด้วยเลือด นัยน์ตากึ่งหวาดผวากึ่งงุนงง พอได้ยินคำถามของหวังลู่ เขาก็แหกปากโหยหวนอยู่เนิ่นนานจนเสียงเริ่มจะแตกพร่า
ทว่าหวังลู่ยังจับความได้
“อ้อ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่แน่ใจ ศิษย์ระดับสองดาวไม่มีคุณสมบัติพอจะล่วงรู้ที่ตั้งของสำนัก แถมเจ้าแค่ทำตามคำสั่งของทูตระดับสี่ดาวเท่านั้น… ระยำแท้ สำนักไก่กาของเจ้านี่ช่างซับซ้อนยิ่งนัก งั้นบอกมาก็ได้ว่าทูตระดับสี่ดาวของเจ้าอยู่ที่ไหน”
เหวยเหวินชิงโหยหวนอีกพักใหญ่จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหวังลู่ด้วยสายตาหมดอาลัยปนมีความหวัง
“…อำเภออู่โหวกระมัง?”
——
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้”
ภายใต้แสงจันทร์สลัว เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจอย่างขุ่นข้องขณะมองไปที่ร่างเย็นเยียบไม่ไหวติงที่อยู่บนพื้น
“ข้านึกว่าอย่างน้อยเจ้าจะไว้ชีวิตเขาเสียอีก”
หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ความจริงข้าก็อยากจะไว้ชีวิตเขาหรอกนะ ปล่อยให้เขานอนสลบอยู่ตรงนี้สักสี่ห้าวัน จากนั้นพอตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเรื่องทุกอย่างก็คงจบสิ้นไปแล้ว เพราะแมลงวันอย่างเขาไม่อาจกลับไปยังทะเลที่บ้าคลั่งได้หรอก”
เถ้าแก่เนี้ยถามกลับด้วยความสงสัย “งั้นทำไมเจ้า…”
“ตอนที่ข้าลังเลอยู่ ข้าไม่ทันรู้ตัวว่าออกแรงเกินไปหน่อย ใครใช้ให้เขามีร่างกายบอบบางเช่นนี้เล่า” หวังลู่สะบัดข้อมือพลางถอนใจอย่างเศร้าสร้อย
เถ้าแก่เนี้ยนิ่งอึ้งไปอึดใจใหญ่ “…หมอนี่ตายอย่างอยุติธรรมโดยแท้ แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าปล่อยเขาไป ไม่แน่ว่าเขาอาจวิ่งโร่ไปฟ้องทูตอะไรนั่น จากนั้นพวกเขาอาจตอบโต้ด้วยการลงแส้หมู่บ้านตระกูลหวังก็ได้”
แต่หวังลู่กลับพูดเยาะออกมา “หึ หากพวกเขากล้าหาญถึงเพียงนั้นล่ะก็ ข้าจะฆ่าทุกคนที่ถูกส่งมาให้สิ้นซากเลยทีเดียว แล้วยิ่ง…หากพวกเขาลงมือฆ่าคนในหมู่บ้าน นั่นก็นับว่าดี พวกชาวบ้านโง่เง่าสมควรโดนแล้ว หากไม่เห็นโลงศพก็คงจะไม่หลั่งน้ำตา งั้นก็ให้พวกเขาได้เห็นโลงศพเสียเถอะ น่าเสียดายที่ข้าลงมือเองไม่ได้”
เถ้าแก่เนี้ยเสียวสันหลังวาบในทันที “เจ้าโหดเหี้ยมต่อคนในหมู่บ้านตระกูลหวังของเจ้าเกินไปแล้ว”
หวังลู่พูดหยันเสียงเย็น “ข้าเคยเป็นเหมือนท่าน เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่สุภาพและเป็นมิตร จนกระทั่งถูกธนูปักที่หัวเข่า… พวกชาวบ้านที่โง่เขลาหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ ข้าอดทนกับพวกเขาจนถึงขีดสุดแล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจเบาๆ “เรื่องมันไม่แย่ถึงขนาดที่เจ้าคิดหรอก หวังลู่ ข้าว่าเจ้าทำเกินไปหน่อย…”
“เกินไป? เกินไปสิยิ่งดี จุดประสงค์หนึ่งของการเดินทางเรียนรู้ประสบการณ์ในครั้งนี้คือตัดขาดจากโลกปุถุชน หากข้าไม่ทำเกินไป แล้วข้าจะตัดขาดได้อย่างไร”
“เจ้าตีความผิดแล้ว!”
หวังลู่หงุดหงิดใจกับวาจาโต้เถียงของเถ้าแก่เนี้ย ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง “เหวินเป่า เจ้าอธิบายให้นางฟังที”
เมื่อได้รับภารกิจแสนยิ่งใหญ่ เหวินเป่าก็สำเริงสำราญใจอย่างที่สุด เขาก้าวเท้ามาหานางและอธิบายอย่างกระตือรือร้น “พี่หญิงหลิง ครั้งนี้ท่านผิดแล้ว เห็นได้ชัดว่าความโง่เขลาของชาวบ้านปุถุชนนั้นมีมาแต่กำเนิด มันติดแน่นอยู่ในตัวไม่อาจลบล้างได้ การจะจัดการกับคนโง่เช่นนี้ เราควรต้องอำมหิตราวแม่ทัพผู้มากประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะลากเราลงไปที่ระดับเดียวกันแล้วใช้ประสบการณ์ชีวิตแสนโชกโชนจัดการเราเสีย ดังนั้นเราจึงไม่ควรปฏิบัติกับเขาเช่นมนุษย์ทั่วไป พวกเขาไม่คู่ควรเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ควรเกิดมาเป็นหมู สุนัข หรือแมลงเสียมากกว่า เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า สวรรค์ไร้ความปรานี จึงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ต่างจากสุนัขชั้นต่ำ กล่าวอีกนัยก็คือ…”
เหวินเป่าพล่ามไม่หยุดปาก แต่ทันทีที่เขาหันไปเห็นสายตาเย็นชาของเถ้าแก่เนี้ย เสียงของเขาก็มลายไปถึงเก้าส่วน
“กล่าวอีกนัยก็คือ เราควรขจัดความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อกลุ่มคนผู้โง่เขลาทิ้ง และปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนเป็นเครื่องมือที่จะนำพาไปสู่เป้าหมาย เพื่อที่ว่าชีวิตที่ไร้ความสำคัญของพวกเขาจะมีคุณค่าขึ้นมาอีกนิด…”
เมื่อถูกสายตาเย็นชาของเถ้าแก่เนี้ยทิ่มแทง เสียงของเหวินเป่าก็ค่อยๆ เบาลงทีละนิด จนในที่สุด เสียงของเขาก็แผ่วเสียจนแทบไม่ได้ยินไม่ต่างไปจากเสียงของแมลงภูเขา
โชคร้ายที่แม้สายตาของเถ้าแก่เนี้ยจะหยุดปากของเหวินเป่าได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของหวังลู่ได้ หากเขาอารมณ์ดี ชายหนุ่มผู้นี้นั้นแสนร่าเริงและเป็นคู่สนทนาที่ดี แต่หากเขาโกรธขึ้นมาล่ะก็ เขาจะดื้อด้านอย่างหนักเลยทีเดียว… ทว่าก็ไม่แปลกที่หวังลู่จะโกรธ เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากของเขา นางก็รู้ได้ว่าเขาต้องทนทุกข์ต่อความอยุติธรรมในหมู่บ้านของตัวเองมากเพียงไร หากการเหมารวมของเหตุการณ์ฉ้อฉลและการกระทำของชาวบ้านผู้โง่เขลาเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น มันก็อาจเป็นเพียงเรื่องขบขัน แต่หากเกิดกับพวกของตนเอง นั่นถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมโดยแท้
ดังนั้นตอนนี้นางจึงทำได้เพียงทีละขั้นเท่านั้น หากดูท่าแล้วว่าหวังลู่จะทำการอะไรที่อุกอาจ นางก็แค่ต้องชกเขาให้สลบแล้วลากกลับหุบเขากระบี่วิญญาณก็เท่านั้น
————————————————