ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 3.1 หวังลู่เข้าสู่อำเภออู่โหว เหวินเป่าเผชิญบททดสอบแรกในฉากเสพสังวาส

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 3 หวังลู่เข้าสู่อำเภออู่โหว เหวินเป่าเผชิญบททดสอบแรกในฉากเสพสังวาส (1) โดย Ink Stone_Fantasy

เช้าตรู่วันถัดมา ทั้งสามคนก็รีบเร่งไปที่อำเภออู่โหว

อำเภออู่โหวเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่สลักสำคัญที่อยู่ในจังหวัดตงเต้าของประเทศต้าหมิง ทว่าพลเมืองของอำเภอนี้ก็มีนับพันคน อีกทั้งนานมาแล้วที่นี่ยังเคยเป็นสนามรบที่พันธมิตรหมื่นเซียนใช้ต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาด ดังนั้นพลังปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จึงยุ่งเหยิงและขุ่นมัว ในสถานที่เช่นนี้การจะหาคนที่ติดต่อกับเหวยเหวินชิงก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร

โชคดีที่สวรรค์ไม่เคยขวางทางใคร หวังลู่พบหนทางอื่นอย่างรวดเร็ว

“ประทานโทษ ท่านรู้ไหมว่าอาจารย์เซียนของสำนักเจ็ดดาราพำนักอยู่ที่ใด”

ณ ถนนการค้าหลักของอำเภออู่โหว หวังลู่หยุดผู้อพยพคนหนึ่งไว้ หยิบยื่นเงินให้สองสามตำลึง และก็ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจกลับมา

“อ้อ อาจารย์เซียนงั้นหรือ เขาพักอยู่ที่จวนรับรองแขกน่ะ ถือเป็นแขกพิเศษของผู้พิพากษาเชียวนะ”

คำตอบที่ได้เกินกว่าที่คาดคิดไว้

หลังจากส่งตัวผู้อพยพแล้ว หวังลู่ก็พยักหน้าด้วยความยินดี “ไม่เลว ดูเหมือนว่าชาวบ้านในอำเภออู่โหวนี้มีความรู้ไม่น้อย”

เถ้าแก่เนี้ยถามกลับ “ความรู้อะไร”

“ท่านไม่ได้สังเกตหรือ พวกทูตระดับสี่ดาวน่ะ ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านตระกูลหวังเรียกพวกเขาว่าเทพเซียน แต่ที่นี่ผู้คนเรียกเขาว่าอาจารย์เซียนเท่านั้น แถมเขายังเป็นเพียงแขกของผู้พิพากษาในอำเภอ เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเซียนไม่ถือว่าเป็นบุคคลพิเศษสำหรับที่นี่ ข้าถึงได้บอกว่า อย่างน้อยผู้คนที่นี่ก็มีความรู้อย่างไรเล่า”

เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วย “ที่นี่เคยเป็นสนามรบเก่าแก่ คงมีตำนานเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย ดังนั้นคนที่นี่จึงไม่เห็นว่าผู้บำเพ็ญเซียนเป็นเรื่องแปลก… แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป จะตรงดิ่งไปที่นั่นแล้วใช้กำลังทำให้เขาสารภาพงั้นหรือ”

หวังลู่งุนงง “นี่ท่านไปเอาความคิดโง่เง่านี่มาจากไหน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นชื่ออะไร มีสหายมาด้วยหรือไม่ เรารู้แค่ว่าเขาเป็นทูตระดับสี่ดาว หากบุ่มบ่ามบุกเข้าไป มีหวังเสียแผนหมดพอดี! ท่านนี่ช่างมุทะลุเสียจริงๆ”

“…คนบ้าอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาหาว่าข้ามุทะลุ”

แม้ปากจะพูดไปเช่นนั้น แต่เถ้าแก่เนี้ยก็เห็นด้วยกับความคิดของหวังลู่

นั่นเพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหวังลู่อยู่ในวิถีนักผจญภัยมืออาชีพเต็มขั้น มีวิสัยทัศน์ชัดแจ้งอีกทั้งจิตใจก็นิ่งสงบ เมื่ออยู่ห่างจากหมู่บ้านตระกูลหวัง สถานที่ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อคนในหมู่บ้านครอบงำการตัดสินใจของเขา อารมณ์ขุ่นมัวของเขาก็ค่อยๆ บรรเทาลง ความคิดและการกระทำกลับไปเหมือนเมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่หุบเขากระบี่วิญญาณ ซึ่งหวังลู่ผู้นี้นั้นเชื่อถือได้เป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าจะบอกว่า เราควรหยั่งเชิงก่อนหรือ”

“ถูกต้อง เราได้เปรียบที่อยู่ในที่มืด ส่วนศัตรูนั้นอยู่ในที่แจ้ง หากไม่ฉวยโอกาสนี้สืบหาสถานการณ์ที่แท้จริง ก็ถือว่าเสียเปล่าแท้ๆ… เหวินเป่า คราวนี้ข้าอยากให้เจ้าออกหน้า”

เหวินเป่าที่เพิ่งกลับมาจากการซื้อซาลาเปานึ่งสองลูกจากพ่อค้าริมทางมองอย่างประหลาดใจ “ข้า?”

“ใช่ เจ้า ข้าอยากให้เจ้าไปที่นั่น บอกพวกเขาว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนพเนจร เจ้าบังเอิญผ่านมาทางนี้แล้วกำลังมองหาที่พักชั่วคราว เมื่อพวกเขาให้เจ้าเข้าไป เจ้าต้องไปคารวะผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดาราผู้นั้น แล้วใช้โอกาสนี้สืบมาให้ได้ว่าสถานการณ์ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไร”

เหวินเป่ารู้สึกว่าซาลาเปานึ่งหน้าตาชวนกินในปากของตนนั้นช่างกระด้างจนยากที่จะกลืนลงคอได้ลง “ศิษย์พี่หวังลู่ ภารกิจนี้ไม่ยากไปหน่อยหรือ”

“ระยำเอ๊ย! ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงศิษย์สำนักในของห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน แค่ไปเจรจากับคนจากสำนักสวะๆ มันจะยากสักเท่าไหร่กัน ตอนนี้สถานะของข้าถูกเปิดเผยแล้ว แถมพี่หญิงหลิงก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียน จะทำทีว่าใช่ก็คงไม่ได้ หากไม่ใช่เจ้า แล้วใครจะทำ”

เมื่อเห็นว่าเหวินเป่ายังดูลังเลใจ หวังลู่จึงใช้ท่าไม้ตายจู่โจม

“ศิษย์น้องเยว่ นาง…”

“ก็ได้ศิษย์พี่หวังลู่ ข้าเข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ละ!”

หลังจากที่กลืนซาลาเปานึ่งลงไปสองลูกพร้อมกัน เจ้าอ้วนเหวินเป่าพร้อมจิตวิญญาณของการ ‘เห็นความตายเหมือนเห็นบ้านเกิด’ ก็ออกไปยังจวนรับรองแขกของผู้พิพากษาอำเภอในทันที

——

“หยุดนะ! กล้าดีอย่างไร…”

ก่อนที่ผู้คุ้มกันรูปร่างสูงใหญ่สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูจะพูดจบ พวกเขาก็กลืนคำพูดที่เหลือลงไปในทันที

ตรงหน้าพวกเขาคือชายร่างอ้วนส่วนสูงมาตรฐาน ที่ปลายนิ้วของเขาปรากฏเปลวไฟดวงน้อย สีของมันเปลี่ยนจากแดงเป็นน้ำเงิน และจากน้ำเงินเป็นขาว…แม้สิ่งนี้จะเป็นทักษะที่เห็นได้ทั่วไป แต่ก็แสดงให้เห็นสถานะที่แท้จริงของชายผู้นี้

ผู้บำเพ็ญเซียน

อำเภออู่โหวนั้นต่างจากหมู่บ้านตระกูลหวังที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบระหว่างพันธมิตรหมื่นเซียนกับสัตว์ประหลาดจอมวายร้าย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะได้พบเห็นสมาชิกของโลกบำเพ็ญเซียนบ้าง บางครั้งบางคราวพวกเขาก็อาจได้พบเทพเซียนเดินทางผ่านมา ทว่า…ผู้บำเพ็ญเซียนก็คือผู้บำเพ็ญเซียนวันยังค่ำ ผู้คุ้มกันทั้งสองจึงไม่อาจล่วงเกินได้

“ขอประทานโทษ ขอทราบจุดประสงค์ที่ท่านต้องการพบนายท่านของข้าด้วย”

ชายอ้วนกำมือของตนเพื่อดับพลังวิเศษ ในใจก็อดรู้สึกดีไม่ได้ แม้ศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักกระบี่วิญญาณจะคิดว่าอาคมนี้ช่างไร้ประโยชน์ และแม้เขาจะเลือกวิถีแห่งกระบี่โดยมุ่งเน้นฝึกหนึ่งกระบี่ทำลายทุกอาคม ทว่าอาคมนี้ซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนสายร่ายอาคมสามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย ก็ยังสามารถใช้ลวงผู้คนในโลกมนุษย์ได้

ที่สำคัญกว่านั้นคือเขารู้ว่าทักษะนี้ศิษย์พี่หวังลู่ไม่สามารถใช้ได้ เส้นทางของหวังลู่นั้นสุดโต่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพราะแม้สำเร็จตบะขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดแล้ว หวังลู่ก็ยังมิอาจร่ายอาคมใดๆ ของโลกบำเพ็ญเซียนได้เลยสักอาคมเดียว

“ข้าไม่ได้มาพบนายท่านของเจ้า แต่มาพบอาจารย์เซียนจากสำนักเจ็ดดาราต่างหาก”

เจ้าอ้วนพยายามกดน้ำเสียงของตนให้ทุ้มต่ำ เพื่อแสดงตัวว่าเป็นคนที่มีทักษะสูง ตามที่ศิษย์พี่หวังลู่กล่าวไว้ ขั้นตบะของทูตสำนักเจ็ดดาราเต็มที่ก็อยู่แค่ขั้นฝึกปราณระดับสูง ซึ่งแม้ระดับจะต่างจากเขามากพอควร แต่หากสู้กันในระยะประชิดตัว กระบี่เหล็กนิลดำของเขาย่อมสามารถตัดร่างทูตผู้นี้ออกเป็นสองส่วนได้แน่

ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัว

ผู้คุ้มกันทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นคนที่ยืนอยู่ทางขวาก็พยักหน้า “โปรดตามข้ามา”

ในจวนรับรองแขกของผู้พิพากษาในตอนนี้ มีผู้บำเพ็ญเซียนเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเจ็ดดารา ที่เหลือคือเหล่าคนใช้และผู้คุ้มกัน ผู้คุ้มกันคนดังกล่าวพาเหวินเป่าเดินมาถึงโถงหลัก ทว่าก่อนที่จะถึงหน้าประตูเสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างใน

“หยวนซาน ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญห้ามรบกวน”

เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมหน้าผากของผู้คุ้มกันนามว่าหยวนซานในทันที เขารีบคุกเข่าลง “ทะ ท่านอาจารย์เซียน มีผู้บำเพ็ญเซียนผ่านมาผู้หนึ่ง และเขาต้องการพบท่าน ดังนั้น…”

“โอ้ ผู้บำเพ็ญเซียนผ่านทางมางั้นหรือ เช่นนั้นพาเขาเข้ามา”

หยวนซานรีบลุกขึ้น สืบเท้าไปข้างหน้าอย่างงกๆ เงิ่นๆ โดยไม่กล้าหันมามองเหวินเป่า จากนั้นก็ยืนก้มหัวต่ำอยู่ที่หน้าประตู ไม่เขยื้อนกายแม้เพียงสักชุ่นหนึ่ง

หน้าของเหวินเป่าซีดลงเพราะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเสียงของชายผู้นี้จะมีพลังวิเศษที่สั่นสะท้านจิตใจของผู้คนได้… ซึ่งน่าแปลก เพราะเท่าที่เขารู้ ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงคนไหนที่มีความสามารถเช่นนี้

ทว่าแม้เขาจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วก็ตาม แต่ตัวตนของฝ่ายตรงข้ามก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าคนผู้นี้ยังห่างไกลจากความเก่งกาจมากนัก

เหวินเป่าก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยความหวั่นวิตกเล็กน้อย

จากนั้นดวงตาของเขาก็พร่าบอดไป

ภายในห้องมีผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดาราอยู่จริงๆ ผมและเคราสีดอกเลาของเขาแตกต่างจากที่เหวินเป่าจินตนาการไว้ ทั้งยังมีหญิงสาวแต่งตัววับๆ แวมๆ สามถึงห้าคนห้อมล้อมผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นอยู่ พวกนางต่างร้องครวญคราง ดวงตาเต็มไปด้วยไฟราคะ แถมบางคนเกือบเปลือยเสียด้วยซ้ำ ฝ่ามือทั้งสองของผู้บำเพ็ญเซียนเคล้าคลึงผิวนุ่มลื่นและจุดสงวนของหญิงสาวเหล่านั้นไปทั่ว ที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าก็คือ มีหญิงสาวทรงเสน่ห์คนหนึ่งนั่งอยู่บนตักของผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้น ส่วนล่างของพวกเขาทั้งคู่แนบชิดกัน นางขยับสะโพกขึ้นลงซึ่งทำให้เกิดเสียงที่ชวนให้ผู้ฟังวาบหวาม… อีกทั้งนางยังไม่เกรงกลัวที่จะถูกพบเห็นแม้สักนิดเดียว!

……………………………………………………….