ตอนที่ 3 หวังลู่เข้าสู่อำเภออู่โหว เหวินเป่าเผชิญบททดสอบแรกในฉากเสพสังวาส (2) โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้เห็นฉากร่วมสังวาสเช่นนี้ ใบหน้าของเหวินเป่าก็เห่อร้อนขึ้นมา และในที่สุด กิริยาท่าทางภูมิฐานโออ่าที่กว่าจะปั้นแต่งขึ้นมาได้อย่างยากลำบากก็มลายหายไปราวกับหิมะในทะเลทราย
เหวินเป่าเชื่อเต็มอกว่าหากแม้ศิษย์พี่หวังลู่มาอยู่ที่นี่ ดวงตาของเขาก็จะต้องมืดบอดไปกับภาพตรงหน้าเช่นกัน! ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดาราผู้นี้เป็นบ้าหรืออย่างไรกัน เขากล้าทำตัวลามกอนาจารกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร!
“โอ้ ขออภัยด้วย ข้าลืมไปเลยว่ามีแขก”
ผู้ฝึกเซียนผู้นี้หัวเราะออกมา ผลักหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่อยู่บนตักออก โบกมือไล่นางและหญิงสาวคนอื่นๆ ให้ถอยไป จากนั้นก็ค่อยๆ ใส่อาภรณ์และถามขึ้นมาอย่างสงสัย “สหาย มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นหรือ”
เหวินเป่ารวบรวมความคิด กระแอมไอให้ลำคอโล่งและกำลังจะเปิดปาก แต่กลับตะลึงงันขึ้นมาอีกครา เพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชุดคลุมของผู้บำเพ็ญเซียนสำนักเจ็ดดาราผู้นี้ปักดาวหกดวงอย่างประณีตงดงาม!
…ผู้อาวุโสระดับหกดาวงั้นหรือ ไหนว่าทูตระดับสี่ดาวไงเล่า!? ขั้นตบะของเขาอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ หนึ่งกระบี่ของข้าจะฟันเขาเป็นสองส่วนได้หรือ!?
ผู้อาวุโสระดับหกดาวคนนี้ตบะอยู่ในขั้นสร้างฐานหรือไม่นะ หนำซ้ำเป็นไปได้ว่าชายผู้นี้จะมีตบะอยู่ในขั้นสร้างฐานระดับกลาง แค่คนผู้นี้เพียงคนเดียว ต่อให้ศิษย์พี่หวังลู่มาด้วยก็เถอะ เขาก็เกรงว่าคนผู้นี้ยังเหนือชั้นกว่าพวกเขามากอยู่ดี!แล้วนี่เขาควรจะทำอย่างไรดีเล่า!?
เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลออกมาทั่วตัว ทว่าอย่างไรเสียเหวินเป่าก็ได้รับการศึกษาอย่างดีจากสำนักกระบี่วิญญาณถึงสองปี เขาจึงกดชีพจรที่เต้นเร็วรัวให้สงบลงแล้วกล่าวถ้อยคำทักทายตามพิธีรีตองที่ควรจะกล่าว “ข้าชื่อเหวินเป่า เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่บังเอิญผ่านมา และเพราะจำต้องฝึกตบะ จึงต้องการอาศัยอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง เมื่อได้ยินว่ามีอาจารย์เซียนของสำนักเจ็ดดาราพำนักอยู่ที่นี่ ข้าจึงตั้งใจแวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกัน”
“อ้อ…”
ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราฮึมฮัมอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เพ่งสายตาไปที่เจ้าอ้วน ไม่นานนักก็โบกไม้โบกมือ “ข้าเข้าใจ เจ้าชื่อเหวินเป่าใช่ไหม อายุยังน้อยอยู่แต่ก็มีตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำแล้ว ถือว่าไม่เลวเลยจริงๆ เยี่ยงนี้ข้าว่าเจ้าน่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนไร้สำนักธรรมดาๆ เสียแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร สำนักเจ็ดดาราของเราก็ชอบผูกมิตรอยู่แล้ว ดังนั้นตราบเท่าที่เจ้าไม่สร้างปัญหา เจ้าก็สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการ… แน่นอนว่ามีกฎบางประการที่ต้องทำตาม เพื่อที่จะอยู่กันได้อย่างราบรื่น”
จากนั้นเขาก็โบกมือ เหวินเป่าเห็นเป็นภาพพร่าเลือนอยู่เบื้องหน้า แล้วกระดาษเหลืองที่เขียนกฎพื้นฐานเอาไว้ก็ปรากฏอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญเซียน
ส่วนแรกเป็นข้อปฏิบัติทั่วไป เช่น เจ้าบ้านและแขก หรือทั้งสองฝ่ายต้องเคารพซึ่งกันและกัน หากเกิดความขัดแย้งและไม่ลงรอยกัน ต้องแก้ปัญหาด้วยการประนีประนอม โดยหลีกเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด
จากนั้นก็คือธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อจัดการกับกรณีต่างๆ เช่น หากแขกพบเจอสิ่งของวิเศษในท้องถิ่น แขกต้องไม่ซุกซ่อนสิ่งของวิเศษนั้น และต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ และเจ้าบ้านมีสิทธิ์ซื้อสิ่งของวิเศษนั้นเป็นคนแรก หากแขกต้องการสิ่งของวิเศษนั้น แขกต้องเสนอราคาขึ้นมาก่อน จากนั้นแขกและเจ้าบ้านต้องแข่งกันประมูลสิ่งของวิเศษนั้น…
นี่คือกฎที่พันธมิตรหมื่นเซียนสร้างขึ้นตั้งแต่แรกที่มีการรวมกลุ่มกัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทระหว่างสำนัก และตอนนี้ก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นกฎและข้อบังคับที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทว่าในการนำมาใช้จริง กฎมักถูกล้มด้วยหมัดอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าสำนักเจ็ดดาราได้สำเนาของกฎเหล่านี้มาได้อย่างไร ถึงได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
เหวินเป่ากวาดตามองที่กฎเหล่านี้คร่าวๆ และรับปากจะยึดมั่นอย่างเคร่งครัด เมื่อเขาสังเกตปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม เขาพบว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ดูหงุดหงิดไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ติดใจสงสัยตัวตนของเขา…ดูเหมือนว่าเหวินเป่าจะหวาดระแวงเกินไปหน่อย สำนักสวะเช่นนี้ไม่มีทางมีผู้ที่เก่งกล้าที่ถึงขนาดมองเขาได้ทะลุปรุโปร่งอย่างแน่นอน แต่หากฝ่ายตรงข้ามเป็นขั้นสร้างฐานจากสำนักเซิ่งจิงล่ะก็ เป็นไปได้สูงว่าแค่ปรายตามองคนผู้นั้นก็จะรู้ได้ทันทีว่าเหวินเป่ามาจากสำนักกระบี่วิญญาณ
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เหวินเป่าก็เริ่มผ่อนคลายและเดินออกไปจากห้องอย่างสุขุม ทว่าก่อนที่เขาจะพ้นประตูไป ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราก็หันไปส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยราคะให้เหล่าหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยพวกนั้นเสียแล้ว ——
ไม่นานนัก เจ้าอ้วนก็กลับไปยังจุดนัดพบที่ตกลงกันไว้
ก่อนที่หวังลู่และเสี่ยวหลิงเอ๋อร์จะทันเอ่ยปาก เหวินเป่าก็บ่นออกมาทันที
“ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านผิดแล้ว มีผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดารามากกว่าหนึ่งคนในอำเภอนี้ แถมอีกคนนึงก็ไม่ได้เป็นเพียงทูตระดับสี่ดาว แต่เป็นถึงผู้อาวุโสระดับหกดาว!”
“ระยำ! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!? เล่ามาเร็วเข้า!?”
หลังจากที่เจ้าอ้วนดื่มน้ำเย็นและกินอาหารแล้ว เขาก็สงบลงมากพอที่จะเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เพิ่งประสบมา ท้ายที่สุดหวังลู่และเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเรื่องในครั้งนี้ช่างระยำจริงๆ
“สี่ดาวกลายเป็นหกดาว แบบนี้มันไม่มากไปหน่อยหรือ”
ครั้งนี้แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยซึ่งไร้ชะตาเซียนยังรู้สึกได้ว่าเรื่องในครั้งนี้ยุ่งยากไม่น้อย เพราะเมื่อผู้บำเพ็ญเซียนสำเร็จถึงตบะขั้นสร้างฐาน พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาจะไหลเวียนทั้งภายในและภายนอก ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นมาก และความสามารถในการเอาตัวรอดจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ยากมากที่จะใช้เพียงวิทยายุทธ์ของโลกมนุษย์ในการเอาชนะ แม้ฝีมือนางจะเชื่อถือได้ก็ตาม
หวังลู่ก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะ “นี่ก็ไม่กี่วันเอง แต่จำนวนดาวของเขากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว… หรือหมอนี่จะมาจากพรรคที่ก่อกบฏ”
“หือ”
“ช่างเถอะ… เอาเป็นว่าการสืบข้อมูลในครั้งนี้สำคัญยิ่ง ดีที่ข้ามองการณ์ไกลเลยให้เหวินเป่าไปตรวจสอบสถานการณ์จริงๆ มาก่อน ไม่เช่นนั้น หากเราผลุนผลันบุกเข้าไป ผลลัพธ์คงยากที่จะคาดเดาแน่ๆ”
เถ้าแก่เนี้ยถอนใจอย่างสิ้นหวัง “แม้กระทั่งตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่ลืมที่จะยอตัวเองนะ”
“เหวินเป่า เล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เจ้าเห็นให้ข้าฟังอีกรอบ ห้ามเล่าข้ามแม้แต่นิดเดียวนะ”
หวังลู่มีคุณสมบัติที่จะหลงตัวเอง เพราะดวงตาทั้งสองข้างของเขาลุกโชน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาปลดปล่อยความเป็นนักผจญภัยมืออาชีพอย่างเต็มตัวแล้ว
เห็นดังนั้น เถ้าแก่เนี้ยจึงรู้ว่าไม่ควรรบกวนเขา นางจึงรออยู่เงียบๆ ทางด้านข้าง
หลังจากที่สงบอารมณ์ลงแล้ว การบรรยายถึงสิ่งที่เผชิญในรอบที่สองก็ดูเป็นระบบระเบียบมากขึ้น เขาบรรยายแม้กระทั่งฉากที่พบระหว่างประตูทางเข้าจนถึงโถงหลักด้วยซ้ำ
แม้เจ้าอ้วนจะทึ่มทื่อไปบ้าง แต่หลังจากฝึกบำเพ็ญเซียนมานานกว่าสองปี ร่างกายของเขาก็สามารถสูดหายใจเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเข้าไปได้ ทั้งยังเรียนรู้พื้นฐานการฝึกจิตมาแล้วด้วย ดังนั้นแม้ระดับสติปัญญาจะไม่พัฒนามากนัก แต่ประสาทสัมผัส หูที่เฉียบคม และดวงตาที่เฉียบแหลมก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
เพราะตระหนักได้ว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต เหวินเป่าจึงไม่กล้าปิดบังแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย เขาบรรยายแม้ถึงฉากเสพสังวาสกลางแจ้งของผู้อาวุโส ทำให้เถ้าแก่เนี้ยต้องถอยหลังไปเงียบๆ สองสามก้าว
ครั้งนี้การบรรยายของเขายาวนานกว่าคราวก่อน แต่หวังลู่ก็ไม่ได้พูดขัด เมื่อเหวินเป่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เขาจึงกล่าวเสียงนิ่มว่า “เล่าฉากร่วมสังวาสให้ข้าฟังอีกครั้งซิ”
เหวินเป่าอดจะมองหน้าหวังลู่อย่างตะลึงงันไม่ได้ ส่วนเถ้าแก่เนี้ยก็เอ็ดขึ้นมาในทันที “นี่เจ้าอยู่ในช่วงกระสันหรืออย่างไร เหตุใดถึงอยากฟังเรื่องน่ารังเกียจนั่นซ้ำสองด้วย!?”
หวังลู่ขมวดคิ้ว “ท่านต่างหากที่จิตใจสกปรก ไม่แปลกที่อายุสามสิบแล้วยัง…”
พูดไม่ทันจบ หมัดเบาะๆ ก็เหวี่ยงเขาคว่ำในทันที
………………………………………..