ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 4 เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ของบ้านเราไม่เคยน่ารักเท่านี้มาก่อน

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 4 เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ของบ้านเราไม่เคยน่ารักเท่านี้มาก่อน โดย Ink Stone_Fantasy

หวังลู่ลุกขึ้นยืน ส่ายศีรษะไปมาแล้วพูดกับเหวินเป่า “เล่ารายละเอียดของฉากนั้นให้ข้าฟังเร็วเข้า มันมีข้อมูลมีค่าอยู่ในนั้น”

ทันทีที่ได้ยิน เถ้าแก่เนี้ยก็ตัวแข็งทื่อจากนั้นก็ส่งเสียงฮึออกมา เมื่อตระหนักได้ว่านางอาจเข้าใจอีกฝ่ายผิด จึงไม่คิดจะห้ามเขาอีก

เมื่อไม่มีความคิดเห็นอื่น เหวินเป่าจึงเล่าฉากร่วมสังวาสอีกรอบ

หวังลู่เดาะลิ้น “ตาแก่นี่นกเขายังขันได้อยู่… และจากที่เจ้าเห็น หญิงสาวคนเดียวที่เสพสังวาสกับเขาคือคนที่นั่งอยู่บนตัก ส่วนหญิงสาวคนอื่นแค่เปลือยอกเท่านั้น เจ้าจำได้ไหมว่ามีร่องรอยใดบ้างที่บ่งบอกว่าหญิงสาวคนอื่นก็เสพสังวาสกับเขาเช่นเดียวกัน”

เหวินเป่าทำหน้าแตกตื่น “เอ่อ…ขอข้าคิดก่อน”

ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ส่ายศีรษะ “ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยที่ว่าเลย”

“…ถ้าเช่นนั้น ข้าก็น่าจะอธิบายได้ว่าเหตุใดทูตระดับสี่ดาวจึงกลายเป็นผู้อาวุโสระดับหกดาวไปได้”

เถ้าแก่เนี้ยถามด้วยความสงสัย “อธิบายเร็วเข้า”

“เจ้าปลาเน่าที่หุบเขาหูสุนัขไม่ได้โกหกเรา คนที่เขาติดต่อคือทูตระดับสี่ดาวจริงๆ และทูตระดับสี่ดาวไม่อาจกลายเป็นผู้อาวุโสระดับหกดาวได้ในชั่วข้ามคืน… ความจริงก็คือ ผู้อาวุโสระดับหกดาวที่เจ้าอ้วนเห็นเป็นอีกคนหนึ่ง”

เถ้าแก่เนี้ยเบิกตาโพลง “เป็นอีกคนหนึ่ง? งั้นทูตระดับสี่ดาวเล่าอยู่ที่ไหนกัน”

หวังลู่ยิ้ม “ใครจะคาดคิดว่าคนผู้นั้นจะอยู่บนตัวของผู้อาวุโสระดับหกดาวกันเล่า”

“อยู่บนตัว?” เถ้าแก่เนี้ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นสองแก้มของนางก็ขึ้นสีแดงก่ำ นางพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้าจะบอกว่าสองคนนั้น…”

“อาจจะเป็นประเภทบำเพ็ญตบะคู่กระมัง สำนักสวะเช่นนี้ชอบที่จะฝึกตนด้วยวิธีน่ารังเกียจเช่นนี้มิใช่หรือ ไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น วิธีนี้จะช่วยเพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาอย่างมาก แม้ไม่อาจเลี่ยงผลข้างเคียงได้ แต่ข้าว่าพวกเขาคงไม่สนใจเท่าไหร่หรอก”

เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว “หากสองคนนี้บำเพ็ญตบะคู่…แล้วพวกหญิงสาวที่เหลือทำอะไรเล่า”

หวังลู่รำพึง “ตอนท่านร้องเพลง เป็นไปได้ที่จะมีนักเต้นจำนวนไม่น้อยเต้นอยู่ด้านหลังมิใช่หรือ”

“… แค่เพื่อความสนุกงั้นหรือ เหอะ ช่างเป็นคู่ที่เลวทรามอะไรเช่นนี้!” เถ้าแก่เนี้ยขบฟันอย่างขุ่นข้อง

“หึ ตอนพวกเขาบำเพ็ญตบะคู่ จิตใจก็ยิ่งเสื่อมทรามได้ง่าย ทว่าแบบนี้ถือว่าดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไปคว้าหญิงสาวมาจากข้างถนน เบื้องหลังประตูพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ตราบเท่าที่ไม่ไปวุ่นวายกับคนภายนอก และนี่ก็ถือเป็นรายละเอียดที่สำคัญมากทีเดียว”

“หา?”

“คิดดูให้ดีสิ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับเรา ศัตรูของเราไม่ใช่เพียงทูตระดับสี่ดาว แต่เป็นถึงผู้อาวุโสระดับหกดาว และเพราะพวกเขาเป็นคู่บำเพ็ญเซียน ไม่แน่ว่าเขาอาจแสดงแสนยานุภาพของ ‘ความรักแข็งแกร่งกว่าทองคำ’ ออกมาก็เป็นได้ แถมตอนนี้อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของข้าก็อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เพราะฉะนั้นแล้ว เราไม่ได้เปรียบในการปะทะครั้งนี้เลย”

เถ้าแก่เนี้ยเห็นด้วยกับดุลพินิจของเขา “แล้วอย่างไรต่อ”

“แต่เรายังมีข้อได้เปรียบขนานใหญ่อยู่ นั่นคือเราอยู่ในที่มืด ส่วนศัตรูอยู่ในที่แจ้ง ตราบใดที่เรายังยึดข้อได้เปรียบนี้อยู่ เราก็อาจจะแก้ปัญหาในครั้งนี้ได้โดยง่ายก็เป็นได้”

“เจ้าอยากวางแผนลอบจู่โจมไหมเล่า แต่ข้าก็เกรงว่ามันอาจจะไม่ง่ายนัก เพราะสองคนนั้นดูท่าจะเสพติดการบำเพ็ญเซียนคู่ พวกเขาคงไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน หากพวกเขาเอาแต่อยู่ในห้องแล้วจะลอบโจมตีได้อย่างไร”

เพราะไม่ได้ยึดคุณธรรมมากมายนัก เถ้าแก่เนี้ยจึงไม่ได้ต่อต้านวิธีลอบโจมตี แต่กลับยกตัวอย่างแผนที่อาจทำตามได้ยากขึ้นมา

สำหรับเรื่องนี้ หวังลู่มีแผนในใจแล้ว “ง่ายมาก หากพวกเขาไม่ออกมา งั้นเราก็เข้าไปข้างในแทน”

เถ้าแก่เนี้ยพยายามกลั้นขำแต่ก็หลุดหัวเราะออกมา “พวกเขาอยู่ในที่ของตัวเอง ทั้งยังมีการคุ้มกันหนาแน่น แถมเจ้ากับเหวินเป่าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนสายบู๊ที่ห่วยแตกด้านร่ายอาคม แล้วเจ้าจะแอบย่องเข้าไปข้างในได้อย่างไร”

“ทำไมเราจะต้องย่องเข้าไปด้วย เราจะเดินเข้าไปโต้งๆ นี่ล่ะ”

“…นี่เจ้าบ้าหรือเปล่า แผนการอะไรของเจ้าให้เดินเข้าไปแบบโต้งๆ”

หวังลู่ถอนหายใจ “ไม่แปลกเลยโรงเตี๊ยมห่วยแตกของท่านจะเจ๊งภายในเร็ววันนี้ เพราะท่านในฐานะเถ้าแก่ดันมีมันสมองที่น่ากังวลแบบนี้ไง”

“บิดาเจ้าสิ! โรงเตี๊ยมของตระกูลข้ามีเงินหมุนเวียนรายวันเป็นหมื่นๆ ตำลึง ยังห่างไกลจากคำว่าเจ๊งอยู่โขย่ะ!”

“งั้นอีกหนึ่งร้อยปีให้หลัง เงินหมุนเวียนอาจจะเหลือเพียงร้อยเดียวก็ได้”

“งั้นอีกร้อยปีข้างหน้าค่อยมาว่ากันเถอะ! หยุดพล่ามเรื่องข้าได้แล้ว ไหนบอกซิเจ้าจะใช้มันสมองของนักผจญภัยมืออาชีพแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร”

หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย “ทางออกของปัญหาน่ะแจ่มชัดอยู่แล้ว ผู้อาวุโสระดับหกดาวนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกตาแก่วิตถาร หากเราไม่จู่โจมจุดอ่อนที่แจ่มแจ้งแดงแจ๋ของหมอนั่น จิตวิญญาณนักผจญภัยมืออาชีพของข้าต้องร่ำไห้เป็นแน่”

“เจ้าคิดจะฉวยโอกาสจากความบ้าตัณหาของตาแก่นั่นเนี่ยนะ” เถ้าแก่เนี้ยยังคงไม่เข้าใจนัก แต่นางรู้สึกสังหรณ์อยู่รางๆ

จากนั้นนางก็พบว่าสายตาที่จริงจังของทั้งหวังลู่และเหวินเป่าจ้องมองมาที่ตัวเองอย่างคาดหวัง เถ้าแก่เนี้ยจึงเข้าใจแผนการของหวังลู่ในทันที “อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ!”

“ฮ่าๆๆๆ พี่หญิงหลิง อย่าเขินอายไปหน่อยเลย ท่านคือดาวมฤตยูของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียน ตราบเท่าที่ท่านจู่โจมฉับพลันได้ แม้คู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นกำเนิดใหม่ ท่านก็สามารถจัดการพวกเขาจนปางตายได้ นับประสาอะไรกับปลาตัวเล็กๆ ในขั้นสร้างฐานกัน ดังนั้นท่านจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในแผนการครั้งนี้แล้ว!”

“เฮอะ” เถ่าแก่เนี้ยสบถเสียงเย็น

“อีกอย่างพี่หญิงหลิง ท่านงดงามราวกับดอกไม้แย้มบาน… ไม่สิ ท่านงามยิ่งกว่าดอกไม้ทั้งมวลเสียอีก! ข้าเกรงว่าแค่ได้เห็นท่าน ตาแก่วิตถารนั่นอาจหลงท่านหัวปักหัวปำ เขาอาจพ่ายแพ้โดยที่เรายังไม่ต้องลงแรงด้วยซ้ำ! เพราะงั้นหากไม่เป็นท่านแล้วจะใครกัน!?”

“หึๆ เจ้านี่ตาถึงดีจริงๆ… ผิดแล้ว!” เถ้าแก่เนี้ยที่ดูผ่อนคลายไปเมื่อชั่วครู่กลับจริงจังขึ้นมาทันที “แล้วเจ้าโง่ตัวไหนที่เพิ่งบอกว่าข้าทั้งหยาบช้า โหดเหี้ยม ไม่เป็นอิสตรีแม้แต่น้อยกัน”

หวังลู่หันไปหาเหวินเป่าอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย “เจ้าพูดหรือ”

เหวินเป่ากลัวตาลีตาลาน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะเนี่ย!?”

หวังลู่ส่ายศีรษะอย่างเศร้าสร้อย “พี่หญิงหลิง ดูเหมือนว่าตอนนี้เราจะตามล่าคนที่พูดจาดูหมิ่นท่านได้ยากแล้ว เพราะฉะนั้นข้าขอให้ท่านวางเรื่องขัดแย้งที่ไม่สลักสำคัญนี้ลงเสียก่อน แล้วมาใช้ความงามจนตาพร่าของท่าน…”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เหยียดยิ้มแล้วพูดขัดขึ้น “โอ้โลมเจ้าแพะแก่นั่นน่ะนะ!? หวังลู่ เจ้ากล้ามากนะที่ขออะไรเช่นนี้ออกมาได้!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังลู่ก็อดแตกตื่นไม่ได้ ความจริงแล้ว แม้ว่าพี่หญิงหลิงจะไม่ต่างจากสาวชาวบ้านทั่วๆ ไป แต่นางก็เป็นถึงบุตรีของเจ้าสำนัก เป็นรุ่นที่สองอย่างถูกต้อง การขอให้นางไปทำอะไรเช่นนี้ความจริงแล้วค่อนข้างจะ…

ค่อนข้างจะน่าตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย! ฮ่าๆๆ!

“พี่หญิงหลิง ข้ารู้ว่าในฐานะหญิงสาว ท่านมีข้อจำกัดในการกระทำเรื่องดังกล่าว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เงินคือพระเจ้า หากหย่อนข้อจำกัดลงบ้างผู้หญิงก็จะสามารถไล่ตามความสุขได้อย่างเปิดเผยขึ้น หญิงสาวคนอื่นๆ ถอดโซ่ตรวนเพื่อสิ่งนี้แล้ว เหลือเพียงท่านเท่านั้น พวกนางมีอิสระที่จะฉกฉวยโอกาสแห่งความสุข ทิ้งให้ท่านอยู่กับของเหลือเดน! ลองคิดดูสิ…”

ก่อนที่จะได้พูดต่อ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็พูดขัดเสียงเย็น “นี่เจ้าคิดจะลวงข้าเหมือนเจ้าของหอนางโลมล่อลวงเด็กสาวอ่อนต่อโลกงั้นหรือ”

หวังลู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ขอโทษที ข้าเข้าผิดช่องไปหน่อย ขอลองอีกทีได้ไหม”

“ลองอีกทีบิดาเจ้าสิ! ข้าจะบอกให้นะ เจ้าลืมเล่ห์สกปรกในหัวของเจ้าไปได้เลย!”

เมื่อถูกปฏิเสธเสียงแข็ง หวังลู่ก็ผงะไปแต่แล้วเขาก็เหยียดยิ้มออกมา “หึ พี่หญิงหลิง ว่ามาตามตรงเถอะ ท่านไม่มั่นใจในตัวเองถูกไหม”

“หน็อย! อย่าพยายามยั่วยุข้าหน่อยเลย!”

“ข้ายอมรับว่าหากมองภายนอก ในฐานะสตรี ท่านก็ถือว่างดงามครบเครื่องอย่างแท้จริง”

เถ้าแก่เนี้ยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำท่าพึงพอใจ

ทว่าประโยคต่อมาของหวังลู่กลับทำให้นางโกรธขึ้งขึ้นมา

“แต่ความงามของสตรีมิพึงมีเพียงภายนอก สิ่งสำคัญอยู่ที่นิสัย ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังภายในของจอมยุทธ์หรือจิตเซียนของผู้บำเพ็ญเซียน ข้าไม่ได้จะดูหมิ่นท่านหรอกนะพี่หญิงหลิง แต่ในฐานะผู้หญิงแล้วนั้น นิสัยท่านนับว่าเลยร้ายสุดๆ”

“หึๆ”

“พูดตามตรง หากมีตัวเลือกอื่น ข้าก็ไม่อยากให้พี่หญิงหลิงต้องมาเสี่ยงด้วยหรอก เพราะความเป็นไปที่จะล้มเหลวนั้นสูงมาก และมันอาจทำให้จิตใจของท่านเป็นแผลขึ้นมาได้… แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ข้ากับเจ้าอ้วนคงต้องไปที่หอนางโลม จับจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อแลกกับนางโลมสักสองสามคนก็น่าจะได้”

เถ้าแก้เนี้ยโมโห “นี่เจ้าหมายความว่าข้ามีค่าเท่ากับนางโลมสองสามคนเองงั้นรึ!?”

หวังลู่ส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่กล้าหรอก มันก็แค่ในวงการนี้เน้นที่คุณภาพของอิสตรี แต่ว่าท่าน พี่หญิงหลิง…”

“พอที!”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์คำรามลั่น ลมปราณของนางแตกซ่าน ทำให้ทั้งตรอกสั่นสะเทือนจนฝุ่นสองข้างทางร่วงหล่นลงมา

เมื่อเห็นเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ปลดปล่อยความเดือดดาลผ่านเสียงคำราม หวังลู่ก็อดแตกตื่นมิได้ เขาไม่เคยเห็นนางโกรธเพียงนี้มาก่อน หรือครั้งนี้เขาจะทำเกินไปนะ

พอหวังลู่และเหวินเป่ามองหน้ากัน ทั้งคู่ก็รู้สึกว่าพวกตนเล่นลูกไม้เกินไป หากพวกเขายั่วยุ ‘ท่านป้า’ ผู้นี้มากเกิน นางอาจจะผลุนผลันกลับเมืองธาราวิญญาณไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ได้ และหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาสองคนก็จะหมดโอกาสเอาชนะเจ้าสำนักเจ็ดดาราที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์ได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์หรอก แค่คนในสำนักระดับสี่ดาวกับหกดาว พวกเขายังทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ

ทันใดนั้น…ความคิดหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในหัวของเหวินเป่า เขาแอบขยิบตาให้หวังลู่จากนั้นก็ใช้สัญลักษณ์ลับๆ ที่ตกลงร่วมกันก่อนหน้านั้นบอกให้รู้ถึงแผนอันชาญฉลาดที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้

คุกเข่าคำนับ! ศิษย์พี่หวังลู่ คุกเข่าคำนับเร็วเข้า!

หากจะต่อรองกับพี่หญิงหลิง วิธีนี้มีโอกาสสำเร็จถึงสิบส่วน!

ทว่าวิธีที่เหวินเป่าคิดได้ มีหรือหวังลู่จะคิดไม่ได้ ขณะที่เขากำลังยิ้มย่องอยู่ในใจและเตรียมพร้อมจะเรียกนางว่าอาจารย์อีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ดังขึ้นมา

“หวังลู่ คิดจะยั่วยุให้ข้าตกหลุมพรางงั้นหรือ…ข้าไม่ใช่พวกโง่เง่านะ”

หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่หญิงหลิง ท่านเป็นยอดจอมยุทธ์ที่แสนปราดเปรื่อง ใครจะกล้าดูหมิ่นท่านเป็นคนโง่กัน”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เมินเฉยต่อคำเยินยอเสแสร้ง “ข้าว่าเจ้าได้เผยความคิดส่วนลึกในประโยคก่อนหน้านี้ออกมาแล้ว หึ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดกับข้าเยี่ยงนี้”

รอยยิ้มของเถ้าแก่เนี้ยเย็นชาขึ้นทุกที แม้ปฏิกิริยาของนางจะไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ แต่หวังลู่ก็อดตื่นตะลึงมิได้

“เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ คือ…”

“อย่าคิดพูดแก้ตัว ในเมื่อถูกต้อนขนาดนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะกล้าหรือไม่ก็ตาม ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะก้าวไปเผชิญหน้ากับมัน”

เมื่อได้ยินดังนี้ หวังลู่ก็ประหลาดใจและอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นสีหน้าก็สดใสขึ้น “อ้า พี่หญิงหลิง แน่นอนว่าท่านช่างเที่ยงธรรมนัก เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเราทั้งสองเหลือเกิน!”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เหยียดยิ้ม “อย่าเพิ่งดีใจไปหน่อยเลย! เรื่องครั้งนี้อาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะยอมขายตัวเองเพียงเพราะคำพูดของเจ้างั้นหรือ ทำไมช่างดูต่ำค่ายิ่งนัก”

“เอ่อ พี่หญิงหลิง นี่ท่านจะคิดเงินงั้นหรือ”

“ระยำเอ๊ย! หากข้าคิดเงิน ข้าจะกลายเป็นอะไรกันเล่า!? ข้าจะเดิมพันกับเจ้าต่างหาก…หากข้าตกลงทำ งั้นเรื่องคุณภาพความเป็นอิสตรีอะไรที่เจ้าพูดถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ”

หวังลู่รีบเอาใจนางในทันที “มันก็ไร้สาระมาตั้งแต่แรกแล้ว ท่านอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลยนะ พี่หญิงหลิง!”

“งั้นข้าอยากให้เจ้าขอโทษ”

“ข้าขออภัยต่อท่าน!”

“หืม ขอโทษสั่วๆ เช่นนี้จะมีความหมายอะไร”

“งั้นท่านอยากให้ข้าทำอะไร”

“…ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก ถือซะว่าเจ้าติดค้างข้าอยู่แล้วกัน” เมื่อพูดจบ เถ้าแก่เนี้ยก็เงยหน้าขึ้นมองหวังลู่ นัยน์ตากลอกไปมา ส่วนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง

“แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่าคิดว่าจะหนีจากข้าไปได้ง่ายๆ เชียว!”

“เอ่อ…” เมื่อถูกดวงตาวับวาวทั้งสองข้างจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มระเรื่อ หวังลู่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

ทว่าเขาก็สลัดมันทิ้งไปแล้วตอบกลับเสียงดัง

“วางใจเถอะ ใบหน้าที่สวยสดและจิตใจที่งดงามของพี่หญิงหลิงจะประทับอยู่ในหัวใจของข้าอย่างแน่นอน! ข้าจะนึกถือมันทุกค่ำคืนก่อนจะเข้านอน!”

“หึ ระวังอย่าเสียน้ำเกินขนาดจนขาดใจตายไปซะก่อนเล่า”

“ไม่มีทาง ตราบใดที่ข้านึกถึงท่าน ข้าก็จะผงาดดั่งมังกรทั้งยังดุร้ายดั่งเสือ”

“ระยำ! ข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเจ้าอีกเป็นอันขาด! แล้วนี่เราจะคุยกันต่อได้หรือยัง เจ้ามีแผนในใจแล้วหรือไม่ ข้าต้องแต่งองค์ทรงเครื่องหรือเปล่า”

จิตวิญญาณของหวังลู่สั่นไหว เขาตอบทันควัน “ข้ามีแผนแล้ว แต่ข้าไม่เห็นว่าท่านจะต้องแต่งองค์อะไร ความงามของพี่หญิงหลิงเปรียบได้กับหยดน้ำบริสุทธิ์ที่อยู่บนยอดของดอกบัว เป็นงานศิลปะที่แสนวิจิตร! ท่านแต่งเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว!”

“อืม ที่จริงข้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน…”

…………………………………………..