ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 30 ขอความช่วยเหลือ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 30 ขอความช่วยเหลือ โดย Ink Stone_Fantasy

 

ในงานเลี้ยงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดขึ้นมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น

ก็คือประมุขหยวนชูบรรลุเป็นเทพอากาศ!

“ยินดีด้วยๆ”

“ยินดีกับพี่หยวนชูด้วย”

“คิดไม่ถึงว่าท่านก็จะก้าวข้ามขั้นนี้ไปได้เช่นกัน”

พวกบรรพชนหุบเหวลึก ประมุขเกาะกาลมิติ เจ้าแม่กานเหอ ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและผางอีต่างพากันแสดงความยินดี วิญญาณของประมุขหยวนชูวิวัฒน์ไปในพริบตา กลิ่นอายของเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมาก เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วโค้งคำนับทันที “ติดค้างน้องตงป๋อมากทีเดียว หากไร้ซึ่งคำชี้แนะของน้องตงป๋อ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะบรรลุได้เมื่อใด”

“ข้าก็แค่พูดคร่าวๆ เล็กน้อยเท่านั้น ประมุขหยวนชูท่านสามารถบรรลุได้ ก็เพราะการสั่งสมของท่านเองก่อนหน้านี้มากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ตงป๋อ” ผู้ครองชิงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะพูดเกี่ยวกับอากาศไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…”

“ข้าก็แค่ได้อะไรมาบ้างเท่านั้น ข้าจะพูด ส่วนท่านก็ฟังแล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อไป ผู้ครองชิงก็ตั้งใจฟังโดยละเอียด

……

ในงานเลี้ยงของตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งนี้ ถูกผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมถาม แต่ก็จนใจที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญในด้านระลอกคลื่น การเข่นฆ่าและโลกเทียมเพียงสามอย่างเป็นที่สุดเท่านั้น ด้านอากาศเขาก็พอจะเข้าใจเป็นพิเศษอยู่บ้าง ส่วนด้านอื่นๆ เนื่องจากเขาอ่านคัมภีร์ของวังทวีสูญและคัมภีร์ของจักรพรรดิเก้าเมฆามาจนหมดแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถออกความเห็นได้บ้างคร่าวๆ

แต่สิ่งเหล่านี้ กลับทำให้เหล่าผู้ปกครองซึ่งได้แต่บำเพ็ญอยู่ในจักรวาลทั้งหลายดีใจดุจได้แก้ว พวกเขารู้สึกราวกับได้เปิดหูเปิดตาขึ้นมา

******

หลังงานเลี้ยง

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เป็นเพื่อนอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาพลางชี้แนะภรรยาอย่างเต็มที่ อีกด้านหนึ่งก็คิดค้นศาสตร์ลับต่อไป เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปพันกว่าปีแล้ว

“เสวี่ยอิง เจ้าเขียนศาสตร์ลับขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพลิกอ่านคัมภีร์ต่างๆ ภายในห้องตำราสะสมแล้วก็อดชมเชยขึ้นมามิได้ “แต่ละวิชาล้วนมุ่งหน้าไปสู่ขั้นเทพอากาศ ข้าก็เคยสร้างศาสตร์ลับขึ้นมาหลายเล่ม แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วกลับห่างชั้นกว่ามากทีเดียว ศาสตร์ลับมากมายถึงเพียงนี้…มีส่วนช่วยสำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งจักรวาลอย่างมหาศาล”

“บ้างก็เป็นสิ่งที่ข้าเขียนขึ้น บ้างก็เป็นสิ่งที่ข้าบังเอิญได้มา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

ในโลกทิพย์ ในดินแดนเก้าเมฆา เขาล้วนเคยต่อสู้และเข่นฆ่ามา เช่นหลังจากประมุขหุบเขาเปลวอัคคีสู้จนตัวตายแล้ว เขาพกคัมภีร์ศาสตร์ลับติดตัวมาไม่น้อย ซึ่งล้วนแต่เป็นคัมภีร์ของหุบเขาเปลวอัคคี

ภายในขุมทรัพย์ เขาก็เคยบีบบังคับให้ศัตรูมอบสมบัติล้ำค่าทั้งหมดมา! ในบรรดาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดย่อมรวมไปถึงคัมภีร์ศาสตร์ลับด้วย

คัมภีร์มากมายยิ่งนัก…ในนั้นมีของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ และมีระบบอื่นๆ ด้วย

ตงป๋อเสวี่ยอิงวางสิ่งเหล่านี้เข้าไปในห้องตำราสะสม

“ตอนเพิ่งเริ่มต้น ข้าเกิดแสงสว่างพรั่งพรูออกมาดุจน้ำพุ จึงเขียนศาสตร์ลับออกมาได้เป็นกอง จากนั้นเมื่อการรับรู้ผ่านคืนวันอันยาวนานก็แทบจะเขียนไปจนหมด จึงยากมากที่จะเขียนออกมาได้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ ท่านก็ช่วยข้าดูคัมภีร์เหล่านี้เสียหน่อยเถิด นอกจากนี้ ควรจะเผยแพร่ให้บรรดาผู้บำเพ็ญเช่นไร ท่านก็ช่วยข้าออกความคิดด้วยเถิด”

“ได้ รอหลังข้าอ่านจบแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าออกความคิดเอง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตลุ่มหลงอย่างสิ้นเชิง เขายิ่งอ่านก็ยิ่งถอนใจออกมาโดยมิอาจควบคุม ศิษย์ของตนคนนี้เหนือกว่าตนไปเสียแล้ว

แคว่ก

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังจมจ่อมกับการอ่านคัมภีร์ตรงหน้าแวบหนึ่ง จากนั้นก็ผลักประตูห้องตำราสะสมออกแล้วเดินเข้าไปในลาน เขาเหลือบมองผ่านประตูลานลงไปยังอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ไกลออกไป

ประกายกระบี่ฉายแววหนาวเหน็บออกมา บริเวณที่อวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาสำแดงวิถีกระบี่ออกมานั้น ล้วนมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมเอาไว้

“ยังไม่หลุดพ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “เห็นทีคำชี้แนะของข้าและศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อนคงจะยังไม่พอ ยังคงต้องใช้ ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ อยู่ดี น่าเสียดาย จวบจนบัดนี้ยังหาหัวใจหลิวเมฆาแดงไม่พบเลย”

สมบัติล้ำค่าอย่างหัวใจหลิวเมฆาแดงนี้

ภายในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! เป็นไปได้มากว่าผู้ที่ครอบครองหัวใจหลิวเมฆาแดงจะกำลังเก็บตัวอยู่ จึงย่อมไม่รู้ว่าตนขอเสนอข่าวที่ตนซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงเป็นธรรมดา

“รอก่อนเถิด นี่ก็แค่เวลาพันปีเท่านั้น สำหรับเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนและเทพจักรวาลทั้งหลาย เวลาเพียงน้อยนิดเท่านี้สั้นเกินไปแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หากในหนึ่งร้อยล้านปีข้าหาข่าวคราวของหัวใจหลิวเมฆาแดงไม่พบ เขาก็จะทำหน้าหนาไปขอความช่วยเหลือจากบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว”

ถึงอย่างไรบรรพชนเทียนอวี๋ก็เป็นประมุขวัง

หากไม่ถึงคราวจำเป็น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากบากหน้าไปขอท่าน

เวลาร้อยล้านปี…เป็นขีดจำกัดที่ค่อนข้างเหมาะสม ถ้าเวลายาวนานเพียงนี้ยังหาไม่พบ การเสาะหาตามปกติก็คงหาได้ยากมากแล้ว หากขอให้ท่านบรรพชนช่วยเหลือ ด้วยสถานะของท่านบรรพชนแล้ว ก็สามารถตามหาได้ง่ายกว่า

“เอ๊ะ”

สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปลี่ยนแปรไป เขาพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีคำสั่งส่งสารปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นภายในคำสั่งส่งสารก็มีสารหนึ่งถูกส่งมา

“ดินแดนเก้าเมฆา มือกระบี่มารเผชิญกับการไล่สังหารของ ‘ประมุขวังฉีอู่’ ชีวิตแขวนอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ภารกิจแต้มความดีความชอบสามล้านแต้ม…” ในสารนี้ยังมีพิกัดโดยละเอียดของมือกระบี่มารในขณะนี้แนบมาด้วย

“สารขอความช่วยเหลือหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

ภายในดินแดนเก้าเมฆา สงครามระหว่างโลกทิพย์ทั้งสามและสองลัทธิใหญ่

ในจำนวนนั้นโลกทิพย์ทั้งสามช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เห็นได้ชัดว่าในระบบข่าวสารภายในวังทวีสูญ ถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในดินแดนเก้าเมฆา ดังนั้นสารนี้จึงถูกส่งให้เขาด้วยเช่นเดียวกัน

“มือกระบี่มาร ระดับผู้บัญชาการแห่งเมืองราชันย์มีด เป็นผู้แกร่งกล้าที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ประมุขวังฉีอู่เป็นยอดฝีมือซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือของลัทธิทิพย์โบราณ เชี่ยวชาญในการใช้พิษ ซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าเช่นเดียวกัน มือกระบี่มารถูกไล่สังหารจนต้องขอความช่วยเหลืออย่างเปิดเผยเชียวหรือนี่”

“รับ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับภารกิจทันที ขณะเดียวกันเขาก็ส่งสารไปว่า “ข้าอยู่ใกล้กับสถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กันมาก กำลังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ คาดว่าจะสามารถไปถึงได้ภายในชั่วจอกชาหนึ่ง”

ระบบข่าวสารภายในวังทวีสูญได้รับสารนี้ก่อน จากนั้นก็มีการแก้ไขเล็กน้อยค่อยส่งให้มือกระบี่มาร

……

ณ ดินแดนเก้าเมฆา

กลางป่าแห่งหนึ่งมีชนเผ่าหนึ่งดำรงชีวิตอยู่ พวกเขาบำเพ็ญ และสกัดกั้นอันตรายต่างๆ อย่างลำเค็ญและอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

“ฮ่าฮ่า มาๆๆ มาโจมตีข้าอีกสิ” บนผืนดินว่างเปล่าแห่งหนึ่งภายในชนเผ่า บุรุษอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งกำลังสั่งสอนเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มเหล่านี้เป็นชีวิตเหนือธรรมดาแทบทั้งหมด และมีทวยเทพอยู่บ้าง ส่วนบุรุษอาภรณ์เขียวผู้นั้นกลับเป็นเทพโลกาแล้ว

ทันใดนั้น…

ฟิ้วๆ

เงาร่างสองสายกะพริบวาบกลางท้องฟ้าเหนือผืนป่าแล้วหายวับไป

“มือกระบี่มาร เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสะท้อนก้องอยู่กลางอากาศ ขณะเดียวกันกลิ่นอายอันไร้รูปร่างระลอกหนึ่งก็แผ่กำจายออกไปตามธรรมชาติ กวาดผ่านแมกไม้และผืนป่าจำนวนนับไม่ถ้วน และกวาดผ่านชนเผ่านี้ด้วย

แมกไม้และผืนป่าพลันสูญสิ้นชีวิตชีวาและเหี่ยวเฉาไปจนหมด ต้นไม้บางต้นยังห้อยลงมาอีกด้วย

แต่ชาวเผ่าหลายพันคนของชนเผ่านั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงลักษณะเดิมก่อนหน้านี้เอาไว้ได้ แต่สายตาของพวกเขากลับหม่นแสงลงแล้วไร้ซึ่งวิญญาณอีกต่อไป

เห็นได้ชัดว่าเมื่อชั่วครู่นี้ ชาวเผ่าหลายพันคนได้สิ้นใจไปหมดแล้ว นี่เป็นเพียงลูกหลงจากหมอกพิษระลอกหนึ่งที่ ‘ประมุขวังฉีอู่’ สำแดงออกมาเท่านั้น

“ทำอย่างไรดี”

มือกระบี่มารเป็นชายหนุ่มท่าทางเยียบเย็นซึ่งสะพายกระบี่สีดำเอาไว้ เขาพยายามหลบหนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลัง แต่ ‘ประมุขวังฉีอู่’ ที่อยู่ด้านหลังกลับไล่สังหารมาตามร่องรอยในอากาศ ทำให้หัวใจของมือกระบี่มารเกิดความสิ้นหวังขึ้นมา “ข้าขอความช่วยเหลือไปทางเมืองราชันย์มีด ท่านแม่ทัพก็ถูกส่งตัวมายังดินแดนเก้าเมฆาเป็นระยะทางไกลโพ้น แต่คลาดเคลื่อนจากจุดที่ข้าอยู่มากเกินไป ต่อให้เร่งเดินทางมาตามทางเชื่อมกาลมิติก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน”

มือกระบี่มารู้สึกอดสูใจนัก

เขาถูกลอบคิดบัญชีและถูกพิษเข้าก่อน จากนั้นก็ถูกไล่สังหารมาตลอดทาง

ขอความช่วยเหลือจากขุมอำนาจทางฝ่ายตนก็แล้วกัน! แต่การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลลิบก็เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นได้ ให้ขั้นอลวนคนหนึ่งต้องใช้เวลาเป็นวันเร่งเดินทางมา…ความคลาดเคลื่อนเช่นนี้ เมื่อดูจากระยะห่างอันไกลลิบระหว่างดินแดนเก้าเมฆาและโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้ว ก็เป็นเรื่องปกตินัก

“เวลาหนึ่งวันหรือ ข้าจะต้านทานได้ถึงหนึ่งวันเสียที่ไหนกัน” มือกระบี่มารร้อนใจขึ้นมา

เนื่องจากร้อนรนยิ่งนัก

ดังนั้นเขาจึงขอความช่วยเหลือผ่านระบบภายในของสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สารขอความช่วยเหลือถูกส่งให้กับผู้ที่มีหวังจะช่วยเหลือเขาได้ทั้งหมดทันที…เช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน หรืออย่างยอดฝีมือเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าทั้งหลายที่อยู่ในดินแดนเก้าเมฆา

“อะไรนะ”

ทันใดนั้นมือกระบี่มารที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังก็พลันเผยสีหน้ายินดีออกมา เพราะเขาเพิ่งได้รับสารที่ทางวังทวีสูญส่งมา…ชั่วจอกชาให้หลัง ยอดฝีมือแห่งวังทวีสูญคนหนึ่งก็จะสามารถมาถึงพิกัดที่มือกระบี่มารอยู่ได้

สำหรับมือกระบี่มารแล้ว จะต้านทานให้ได้สักชั่วจอกชาหนึ่งก็ยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง

……………………….