“ผู้นำตระกูล นายยอมที่จะให้สูตรยาโบราณหลุดลอยไปเช่นนี้เหรอ?” ผู้อาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของตระกูลมู่ถาม

“ผมไม่สนว่าพวกคุณจะคิดยังไง แต่ผมไม่ยอม ไม่ว่าตระกูลมู่จะมีวัตถุดิบยาที่เขาต้องการหรือไม่ เขาจะไม่มีวันนำสูตรยานี้ออกไปได้!” ความโลภประกายอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสระดับสูงคนนั้น และสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นดุร้ายเล็กน้อย

สำหรับความโลภของผู้อาวุโสคนนั้นแล้ว สมาชิกของตระกูลมู่ที่เหลือไม่เพียงไม่เกลี้ยกล่อมเขา แต่กลับแสดงสีหน้าเห็นด้วย

“ผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสสามพูดถูก ไม่ว่าจะยังไง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคืนสูตรยานี้ให้เขา” ผู้อาวุโสระดับสูงอีกคนของตระกูลมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ถูกต้อง ไม่สามารถคืนให้เขาได้อย่างแน่นอน!” นอกจากมู่เจิ้งเฟิงแล้ว สมาชิกอาวุโสระดับสูงของตระกูลมู่ต่างแสดงสีหน้าหนักแน่น

มู่จือเสว๋รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน เขาพยักหน้า มีความเจ้าเล่ห์ประกายอยู่ในดวงตา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกคุณก็รีบคัดลอกสูตรยานี้ออกมาอีกหนึ่งชุด”

“ครับ!” มีคนรีบคัดลอกทันที

มู่จือเสว๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อทำแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด พวกเราถือโอกาสนี้เอาของทุกอย่างของเจ้าเด็กนั้นมาให้หมด!”

“ผู้นำตระกูลหมายความว่าอย่างไร?” มีคนถามด้วยความสงสัย

มู่จือเสว๋กล่าวว่า “ในเมื่อเขาสามารถนำสูตรยาวิเศษล้ำเลิศนี้ออกมาให้พวกเราทดสอบได้ง่าย ๆ แสดงว่าเขาไม่ให้ความสำคัญกับสูตรยานี้ นั่นหมายความว่าเขายังมีสูตรยาที่ล่ำค่ากว่าสูตรยานี้ บางทีมันอาจจะเป็นสูตรยาเซียนก็ได้!”

“ผู้นำตระกูลพูดถูก เจ้าเด็กนั้นต้องมีความลับอย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสสามกล่าว

“ถูกต้อง วันนี้ถ้าไม่ล้วงความลับของเขาออกมาหมด พวกเราก็จะไม่ปล่อยให้เขาออกไปจากสำนักยาเซียน!”

ทันใดนั้น เกิดเสียงดังขึ้น และสีหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความสุข

มู่เจิ้งเฟิงวิ่งออกมาด้วยใบหน้ามอมแมม หัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “กลั่นยาวิเศษล้ำเลิศสำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว!”

สมาชิกทุกคนของตระกูลมู่มองยาใสแวววาวที่อยู่ในถาด ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ถึงแม้ว่ายานี้จะแตกต่างจากยาของเฉินโม่มาก แต่มันเป็นยาวิเศษล้ำเลิศจริง ๆ

“กลั่นครั้งแรกก็สำเร็จแล้ว สูตรยานี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ เป็นสูตรยาโบราณอย่างแน่นอน!” มู่เจิ้งเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หลังจากได้ยินคำพูดของมู่เจิ้งเฟิงแล้ว มู่จือเสว๋ยิ่งแน่วแน่มากยิ่งขึ้น

“ไปกันเถอะ พวกเราไปกันเถอะ!” มู่จือเสว๋กล่าว

เฉินโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงอย่างเงียบ ๆ และดื่มชาด้วยความผ่อนคลาย

สมาชิกของตระกูลมู่เดินเข้ามาในห้องโถง และนั่งตำแหน่งเดิม

นอกจากมู่เจิ้งเฟิงแล้ว สมาชิกที่เหลือของตระกูลมู่มองเฉินโม่ด้วยสายตาแปลก ๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังมองกล่องที่เต็มไปด้วยสมบัติ

เฉินโม่เยาะเย้ยอยู่ในใจ มองมู่จือเสว๋และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผู้นำตระกูลมู่ ผลการทดลองเป็นอย่างไรบ้าง?”

มู่จือเสว๋กระแอมสองครั้ง และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ล้มเหลว!”

“สูตรยาของนายไม่สามารถกลั่นยาได้สำเร็จ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสูตรยาปลอม!” มู่จือเสว๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มู่เจิ้งเฟิงที่กำลังยิ้มด้วยความลำพองใจ ตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะตอนนั้นเขากำลังกลั่นยาอยู่ และไม่ได้มีส่วนร่วมในการสมรู้ร่วมคิดของสมาชิกตระกูลมู่ แต่เมื่อเขาเห็นมู่จือเสว๋เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน และพูดโกหกหน้าตาย มู่เจิ้งเฟิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที

มู่เจิ้งเฟิงเป็นคนที่รังเกียจพฤติกรรมที่โลภเช่นนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลภายนอกแล้ว มู่เจิ้งเฟิงจึงไม่สามารถเปิดโปงเขาได้

มีความเย็นชาประกายอยู่ในดวงตาของเฉินโม่ และกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ในเมื่อการกลั่นยาล้มเหลว งั้นก็คืนสูตรยามาให้ผม!”

“นี่คืนให้นาย!” มู่จือเสว๋คืนสูตรยาให้เฉินโม่อย่างง่ายดาย

เฉินโม่รับสูตรยาคืนมาโดยไม่มองด้วยซ้ำ เขาลุกขึ้นยืนและมองมู่จือเสว๋ด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ และกล่าวว่า “ผมได้ทำกลอุบายเล็ก ๆ กับสูตรยานี้ อีกไม่นานความทรงจำของพวกคุณที่เกี่ยวกับสูตรยาเม็ดนี้ก็จะหายไป รวมทั้งข้อความที่คัดลอกเหล่านั้นก็จะหายไปด้วย เมื่อถึงเวลานั้นพวกคุณก็ไม่ต้องแปลกใจน่ะ”

“พวกเราไปกันเถอะ!” เฉินโม่มองโจวลี่เต๋อที่กำลังมึนงงด้วยรอยยิ้ม

โจวลี่เต๋อไม่อยากจากไปเช่นนี้ และเขาเชื่อว่าเฉินโม่ไม่อยากจากไปเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเชื่อใจเฉินโม่