ส่วนที่ 4 ตอนที่ 104 เก็บขยะ

ความลับแห่งจินเหลียน

เจียหยวนฮวาพูด “ขอแค่คุณซีเหมินต้องการหา ก็ยังมีหินหยกที่คุณหาไม่เจอด้วยเหรอครับ?”

 

“คุณก็เยินยอฉันเกินไปแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม ถ้าหากหินหยกมากองไว้ตรงหน้าเธอ เธอก็จะค่อยๆ เลือก ไม่สนว่าเป็นหยกแบบไหน เธอก็จะหาจนเจอให้ได้ แต่ถ้าหากแม้ได้เห็นยังไม่มีโอกาสได้เห็น แล้วเธอจะไปหามาจากที่ไหน?

 

เจียหยวนฮวาพูด “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ครับ อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก และฟังคำสั่งจากฟากฟ้าแล้ว ถ้าหากหาไม่เจอจริงๆ ก็โทษใครไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายทางใต้เองก็หามาตั้งหลายปีแล้ว แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น”

 

ซีเหมินจินเหลียนพูด “ท่านผู้อาวุโสเจียคะ เอ่อ…ถ้าหากหินปกปิดฟ้าเบื้องบนก้อนนั้นความจริงแล้วตกไปอยู่ในการครอบครองของคนอื่น หรือไม่แน่อาจถูกตัดไปทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ แล้ว คุณว่าความตั้งใจของผู้อาวุโสหูคงจะไม่เสียแรงเปล่าใช่ไหม?”

 

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อผู้อาวุโสหูพูดถึงเรื่องหินปิดฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือกระทั่งเกือบลากเธอลงน้ำไปด้วย ตามหาไปด้วยกัน ซีเหมินจินเหลียนเคยสงสัยมาก่อนแล้วการขุดแร่หยกมีความเป็นมายาวนาน มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหินปกปิดฟ้าของเทพธิดาก้อนนั้นถูกคนนำไปใช้แล้วหรือยัง?

 

เจียหยวนฮวาส่ายหน้าพูดเสียงดังชัดเจน “ไม่มีทาง!”

 

“ผู้อาวุโสเจียมีอะไรเป็นหลักฐานยืนยัน?” จ่านป๋ายถาม เพราะว่าเขาก็สงสัยในปัญหานี้เช่นเดียวกัน

 

“ผู้มีพระคุณบอกว่าถ้าหากหินปิดฟ้าถูกค้นพบ เช่นนั้นก็จะปิดบังตัวตนกับใครไม่ได้หรอกครับ” เจียหยวนฮวาพูด

 

“คุณบอกกับพวกเราได้ไหมว่า หินปิดฟ้าก้อนนั้นลักษณะเป็นเช่นไร?” ซีเหมินจินเหลียนถาม ปัญหานี้เธอคิดมานาน หินปิดฟ้าก็เป็นหยก หรือจะเป็นหยกสายรุ้ง? หยกหลากสี?

 

“ผมก็ไม่รู้” เจียหยวนฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูด-7ho

 

 ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าเขาคงไม่รู้จริงๆ ดูไม่เหมือนกับคนโกหก ถ้าแม้แต่เขายังไม่รู้ แล้วจะให้เธอไปหาสิ่งของที่เหมือนไม่มีอยู่จริงมาจากที่ไหนกัน?

 

“ถ้าแม้แต่พวกคุณยังไม่รู้ ถึงหินปิดฟ้าจะมาวางอยู่ตรงหน้า พวกเราก็อาจจะพลาดโอกาสได้นะครับ” จ่านป๋ายถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เพราะว่าในสายตาของผม หินหยกทั้งหมดก็เหมือนกับหินก่อสร้างด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง”

 

“แน่นอนว่าคุณย่อมดูไม่ออกอยู่แล้ว แต่คุณซีเหมินทำได้แน่นอน!” เจียหยวนฮวาพูด

 

“ผู้อาวุโสเจียก็พูดยกย่องฉันเกินไป ถ้าหากลักษณะภายนอกของหินปิดฟ้ามีลักษณะธรรมดา ฉันก็ไม่สามารถดูออกได้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดถ่อมตน เขาเห็นว่าเธอเป็นเทพเจ้าหรืออย่างไรกัน เมื่อมองแล้วก็จะดูออกว่าเป็นหินปิดฟ้าน่ะ?

 

เจียหยวนฮวาขมวดคิ้วขึ้นแล้วถามขึ้นว่า “คุณซีเหมินน่าจะรู้เรื่องการเกิดแสงใช่ไหมครับ?”

 

“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้ตอบ จ่านป๋ายก็สีหน้ามึนงงถาม “คุณเจียพูดอะไร เรื่องนี้จะพูดจาพล่อยๆ ไม่ได้นะครับ”

 

เจียหยวนฮวาสงสัยแต่ไม่ทันไรก็เข้าใจขึ้นมาได้ ตัวอักษรสองตัวนี้เป็นเสียงเดียวกัน แต่ความหมายต่างกันอย่างลิบลับ การเดิมพันสายนี้มีการพูดถึงแหล่งกำเนิดแสงมาช้านาน แต่คนที่เข้าใจในแหล่งกำเนิดแสงตอนนี้กลับหาได้ยาก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะผู้มีพระคุณมาเปิดโปง เขาก็คงไม่สามารถเข้าใจได้ ทำไมซีเหมินจินเหลียนอายุน้อยขนาดนี้ถึงเข้ามาอยู่ในสายการเดิมพันหิน สามารถแยกแยะอะไรได้ภายในเวลาสั้นๆ และเก็บหยกชั้นดีหลายหลายสีและชนิดมาไว้ในมือ

 

หยกเจไดต์ที่มีเนื้อหยกอยู่ในนั้น แน่นอนว่าต้องมีความโปร่งใสส่องแสงได้ มีแต่หยกชั้นดีเท่านั้นถึงทำให้แสงทะลุผ่านเปลือกมาได้ ภายในรุ่งสางหรือยามพลบค่ำต่างส่องแสงเรืองรองสุดจะหาไม่

 

ในอดีตเวลาดูหินมักจะเป็นช่วงกลางคืน และใช้แค่เทียนเพียงเล่มเดียวเท่านั้นคอยนำทางส่องแสง

 

เผาเครื่องหอมให้ควันฟุ้งกระจายคั่งค้างอยู่ในบรรยากาศที่ลึกลับและมืดสลัวปกครอบคลุมยิ่งทำให้ดูมีความลึกลับ มีกลิ่นอายของความขมุกขมัว นี่เป็นการทดสอบทางสายตา มากกว่านั้นก็คือ ถ้ามีคนเข้าใจและรู้ในเรื่องของความโปร่งใส่ส่องแสงในหยก สภาพแวดล้อมแบบนี้น่าจะดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แต่ตอนนี้ การกำเนิดความโปร่งแสงบางทีอาจจะจัดอยู่ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง คนที่เดิมพันส่วนมากจะพึ่งพาในแสงของไฟฉายและแว่นขยาย รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ทันสมัยของสมัยนี้

 

 เขาจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นที่โรงงานแปรรูปหยก เขาเห็นซีเหมินจินเหลียนหยิบไฟฉายและรู้สึกว่าไม่สบอารมณ์ เหมือนมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ภายหลังลองคิดดูแล้ว เดิมทีเธอหยิบไฟฉายอาจจะไม่ใช่นำมาเป็นอุปกรณ์ หากแต่ทำไว้เพื่อปกปิด

 

เพราะว่าคนอื่นอาจจะใช้วิธีนี้ในการเดิมพันหิน เพราะฉะนั้นเธอเลยแกล้งทำตามเพื่อปิดบังตัวเองไม่ให้ตกไปเป็นสายตาหรือขี้ปากของใคร

 

“คุณจ่าน แหล่งกำเนิดแสงที่ผมพูด นั่นหมายถึงเนื้อหยกที่สามารถส่องแสงได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดคำนั้น” เจียหยวนฮวายิ้มอธิบาย

 

 จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็หุบยิ้มไม่หยุด ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็หน้าแดงขึ้นมา พร้อมจ้องไปที่จ่านป๋าย ในใจแอบพูดว่า คุณไม่เข้าใจก็อย่ามาพูดจาไร้สาระสิ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะได้นะ

 

 “คุณซีเหมิน…” เจียหยวนฮวาตามถามเธออีกครั้ง “ผู้มีพระคุณบอกว่า หินปิดฟ้าผ่านจากการเล่นหินของเทพธิดา ทำให้มีแสงอยู่พร่างพราย เปลือกผิวคงห้ามการส่องแสงทะลุออกมาไม่ได้แน่ ถึงคนที่ไม่เข้าใจในการเดิมพันหิน บางทีก็ยังคาดเดาออกได้ แล้วยิ่งถ้าเป็นคุณล่ะ?”

 

“ถ้าหากมีหยกแบบนี้จริงๆ คงจะทำให้ใจคนเต้นแรงไม่หยุดแน่” ซีเหมินจินเหลียนพูด เธอไม่ปฏิเสธที่เธอสามารถดูแหล่งกำเนิดแสงได้ ขอแค่มีแสงทะลุออกมาให้เห็นจากเปลือกผิว ย่อมเป็นหยกชั้นดี ข้อนี้ต่างเป็นที่ยอมรับ

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ รอให้งานนิทรรศการเสร็จสิ้นไปก่อน หลังจากนั้นรบกวนให้คุณซีเหมินไปเมืองหยางโจวสักครั้งดีไหมครับ?” เจียหยวนฮวาพูด

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ราชาหยกกับราชางูมีความสัมพันธ์กัน เธอเองก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นหน้าที่นี้เธอยินดีที่จะทำ

 

แน่นอนว่าจ่านป๋ายไม่มีความคิดเห็นอะไร เมื่อคิดถึงบรรยากาศที่สวยงาม แม้ว่าฤดูนี้จะไม่ได้สวยเพลิดเพลินตาอะไร แม้ว่าหาราชาหยกไม่เจอ แต่สามารถไปเที่ยวที่เมืองหยางโจวกับซีเหมินจินเหลียนสักครั้งก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

 

เจียหยวนฮวาเห็นซีเหมินจินเหลียนตกปากรับคำก็ดีใจเป็นอย่างมาก ถูฝ่ามือไปมาเตรียมตัวจะพูดแต่ก็หยุดไป ซีเหมินจินเหลียนรู้ความตั้งใจของเขาเลยหันไปสื่อสารทางสายตากับจ่านป๋าย จ่านป๋ายยิ้ม “รู้ว่าผู้อาวุโสเจียจะมา ผมเลยเตรียมหยกราชางูไว้เรียบร้อยแล้ว คุณเจียเชิญนั่งรอก่อน ผมจะไปย้ายมันออกมาให้”

 

“รบกวนด้วยครับ” เจียหยวนฮวายิ้มเจ้าเล่ห์

 

จ่านป๋ายหมุนตัวเดินไปทางห้องใต้ดิน ไม่นานก็ย้ายหยกราชางูออกมาวางไว้บนโต๊ะไม้แข็ง เจียหยวนฮวาเห็นแล้วก็ควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ รีบเดินเข้าไปใช้มือสัมผัสอย่างไม่หยุดหย่อน ปากก็พูดบ่นพึมพำอย่างไม่หยุด

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะ คนที่ชื่นชอบในหยก เมื่อเห็นหยกก็มักจะเป็นอย่างนี้ ผู้เชี่ยวชาญเปิดหินหมายเลขสิบห้าคนนั้นเมื่อเห็นหยกสีม่วงประกายแดงคอยส่องแสงก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปสัมผัสเช่นกัน ถ้าหากเขาเห็นหยกราชางู เกรงว่าน่าจะถึงขั้นกราบไว้บูชา

 

เจียหยวนฮวาใช้เวลาในการดูไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ไม่มีความคิดที่อยากจะจากไปแต่อย่างใด      จ่านป๋ายมองดูเวลาก็เห็นว่าดึกแล้ว พรุ่งนี้ยังจะต้องไปส่งหยกในงานนิทรรศการอีก ส่วนซีเหมินจินเหลียนได้แต่หาวหวอดๆ ไม่หยุด ไม่นานก็ยืนขึ้นเดินไปทางเจียหยวนฮวาเพื่อเริ่มกดดัน

 

“คุณเจีย คุณดูเสร็จแล้วหรือยังครับ” จ่านป๋ายถาม

 

“อ้อ?” เจียหยวนฮวาได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นพูดขึ้นมาว่า “เสร็จแล้วๆ เห็นหยกแบบนี้เลยอึ้งไปหน่อย คุณจ่านอย่าถือสาผมเลยนะ”

 

“นี่ก็ดึกมากแล้ว พอดีพรุ่งนี้พวกเรายังมีธุระอีกน่ะครับ” จ่านป๋ายเจตนาพูดขึ้น

 

“ขอโทษด้วย รบกวนพวกคุณแล้ว” เจียหยวนฮวามองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง เวลาใกล้จะตีสองแล้ว ตนเองก็รบกวนเกินไปจริงๆ เลยรีบลุกขึ้นกล่าวลา

 

“ครั้งหน้าถ้าผู้อาวุโสเจียยังคงคิดถึงราชางูอยู่ ก็สามารถมาดูได้นะคะ” ซีเหมินจินเหลียนส่งเขาอย่างมีมารยาท

 

ตอนที่จ่านป๋ายย้ายราชางู ไม่รู้ว่าทำไมเขาเหมือนรู้สึกว่างูที่อยู่ข้างในหยกราชางูนั่นมีดวงตาที่กลมโต ราวกับสื่อว่ากำลังเหนื่อยล้า จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณจะเหนื่อยอะไรกัน พรุ่งนี้คุณก็ได้พักผ่อนแล้ว ผมนี่สิที่ต้องร่อนไปทั่ว”

 

ซีเหมินจินเหลียนเคยกำชับว่า หยกราชางูนำมาจัดแสดงแค่วันเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ไม่ต้องนำหยกพลังชั่วร้ายก้อนนี้ไปงานนิทรรศการแล้ว

 

“เสี่ยวป๋าย คุณพูดกับใครอยู่น่ะ” ซีเหมินจินเหลียนกลับมาข้างในหลังจากที่ส่งเจียหยวนฮวาเสร็จก็ถามขึ้นอย่างสงสัย

 

“ราชางูครับ” จ่านป๋ายถาม

 

“คุณโดนเวทมนตร์สะกดเหรอไง?” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำออกมา

 

จ่านป๋ายนำราชางูไปเก็บไว้ในห้องใต้ดินเป็นที่เรียบร้อย ตอนที่ขึ้นมาก็พูดว่า “ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อกี้ตอนที่เห็นดวงตาของงูนั่น ผมกลับเห็นว่ามันเหมือนกำลังเหนื่อยมาก จินเหลียนผมก็สงสัยมาตลอดว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต”

 

ซีเหมินจินเหลียนนวดขมับที่ปวดจี๊ดแล้วพูดขึ้น “ใช่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ แต่คุณเคยคิดหรือเปล่าว่าถึงจะมีชีวิตแล้วจะยังไง? มันก็แค่งูแปลกประหลาดตัวหนึ่งเท่านั้น!”

 

จ่านป๋ายถอนหายใจพูด “งูนี้ก็ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษทำบาปร้ายแรงอะไร ถึงมาถูกกักขังอยู่ในหยกนี้”

 

ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงอยู่บาโซฟาพร้อมกอดเข่าทั้งสองข้าง ไม่นานก็ถอนหายใจเบาๆ เทพธิดาในตำนานถ้าเกิดมีหน้าเป็นคนมีลำตัวเป็นงู แถมงูที่อยู่ในหยกก้อนนี้รูปร่างลักษณะเหมือนคนเช่นนี้ ความมหัศจรรย์มีจริงนั่นเหรอ? ราชาหยกก้อนนี้กับราชางูมีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่

 

การเดินทางไปหยางโจวนั่น จู่ๆ เธอก็รู้สึกแทบอดทนรอไม่ไหวแล้ว

 

วันที่สองของงานนิทรรศการ ตอนช่วงกลางวันคนแห่กันมาอย่างกระหน่ำ จนถึงตอนกลางคืน จ่านป๋าย หลินเสวียนหลาน จ่านมู่ฮวา แม้กระทั่งฉินเฮ่าที่หาเวลาว่างมาสนุกสนานก็พร้อมใจมาดูงานเดิมพันหยกใหญ่

 

จ่านป๋ายรู้ว่าเมื่อคืนจ่านมู่ฮวาและซีเหมินจินเหลียนร่วมมือกันและได้เงินมาไม่น้อย ในใจก็รู้สึกเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เลยพูดออกไปว่า “คืนนี้ใครจะเล่นอะไรก็เล่นไปสิ”

 

“ถึงคุณจะไล่พวกเราไป พวกเราก็จะวางเดิมพันตามพวกคุณอยู่ด้านหลัง นี่เรียกว่าตามทิศทางลม!” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้น

 

ส่วนหลินเสวียนหลาน ฉินเฮ่าก็พยักหน้าตาม

 

“คืนนี้ฉันไม่เล่นอันนี้ พวกคุณก็ลองไปเสี่ยงดวงกันเองเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด เธอเพิ่งเข้ามาก็เห็นห้องโถงใหญ่ข้างนอกวางกองหินหยกไว้มากมาย แม้จ่านมู่ฮวาจะพูดว่า เปลือกผิวของหินหยกพวกนี้ไม่ดี ถ้าไม่ใช่หินหยกความโปร่งใสต่ำในเมืองเจียหยางที่ขายไม่ออก ก็ต้องเป็นเศษหินหยกที่เหลือจากการตัดหินหรือไม่ก็หินหยกที่กองไว้ไม่ได้ใช้มาตั้งนานจากบริษัทอัญมณีบางแห่ง เป็นหินที่ไร้ซึ่งความหวังในการนำไปใช้ เป็นสินค้าขยะที่โดดเด่นที่สุด

 

แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ยังรู้สึกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากเธอไปเดิมพันสีหรือเข้าร่วมการเดิมพันหินใหญ่สักครั้งก็เท่ากับว่าขี้โกง oujเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ มักจะทำให้คนอื่นคอยถอยห่างออกไป เพราะฉะนั้นไม่สู้ให้พวกผู้ชายพวกนี้ไปเสี่ยงดวงกันเอง ส่วนตัวเธอเองจะตามติดเก็บขยะภายในกอง ดูสิว่าสามารถเจอหินหยกที่ชื่นชอบได้ไหม คิดเสียว่าเป็นความบันเทิงก็แล้วกัน